การเตรียมการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ
ผมเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยอยู่ 4 แห่ง เข้าประชุมทีไรก็ได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ช่วยให้มีความรู้กว้างขวางขึ้น ได้เรียนรู้จาก “ผู้รู้” จริงหลากหลายสาขา
วันนี้ (5 ส.ค.48) ประชุมสภา มศว. ได้ฟัง ศ. ดร. วิจิตร ศรีสะอ้าน ให้ความเห็นเรื่องการเตรียมการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐแล้ว รู้สึกเหมือนได้เรียนรู้จากสุดยอดปรมาจารย์ด้านการบริหารระบบอุดมศึกษาและบริหารมหาวิทยาลัย จึงอดไม่ได้ที่จะนำมาเขียนเล่าไว้
ท่านบอกว่า หัวใจของการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐคือ การเปลี่ยนสถานภาพเพื่อให้ทำภารกิจของอุดมศึกษาในยุคใหม่ได้ดียิ่งขึ้น ผมตีความว่าการเปลี่ยนสถานภาพไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นเครื่องมือหรือกลไก โดยที่เป้าหมายคือการทำงาน ทำหน้าที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้ดีและมากกว่าเดิม
หัวใจคือการมีระบบบริหารที่คล่องตัวและเหมาะสมต่อการปฏิบัติงานด้านอุดมศึกษา และการบริหารที่สำคัญที่สุดมี 2 ระบบคือ ระบบการบริหารงานบุคคล กับระบบการบริหารเงินและงบประมาณ จะต้องออกแบบ 2 ระบบนี้ใหม่ให้ดีกว่าของระบบราชการเมื่อมองจากมุมของการปฏิบัติหน้าที่อุดมศึกษา
ในเรื่องคน จะต้องตัดสินใจเลือกระบบ ซึ่งมีอยู่ 2 ระบบคือ ระบบ tenure system (จ้างงานตลอดชีพ) กับระบบ contract system (จ้างงานตามสัญญาเป็นช่วงเวลา) ซึ่งมีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งคู่ จะต้องออกแบบระบบที่มีความพอดีและเหมาะสมต่อบริบทไทย
ในเรื่องเงิน เดิมเมื่อเป็นมหาวิทยาลัยในระบบราชการ มีระบบการเงิน 2 ระบบคือ ระบบงบประมาณแผ่นดิน กับระบบเงินรายได้ เมื่อเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐก็จะมีระบบเดียว แต่มีรายรับจาก 2 แหล่งคือ จากงบประมาณแผ่นดินกับจากลู่ทางอื่น แต่จะมารวมกัน จัดการโดยกฎระเบียบเดียวกัน มหาวิทยาลัยจะต้องอาศัยโอกาสที่ไม่ต้องผูกมัดอยู่กับระเบียบราชการ ออกแบบระบบการเงินของตนให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ โดยอาจศึกษาระบบกองทุนของสถาบันพระปกเกล้าหรือของมหาวิทยาลัยเอกชน
ความเป็นอิสระ ความคล่องตัวจะต้องคู่ไปกับระบบกำกับและตรวจสอบ ซึ่งเวลานี้จะมีการตรวจสอบ/ประเมินภายนอกโดย ทริส, สมศ., และ สตง. มหาวิทยาลัยในกำกับฯ ควรออกแบบ ระบบข้อมูล ให้สนองต่อระบบตรวจสอบภายในและขณะเดียวกันสนองต่อระบบตรวจสอบภายนอกทั้ง 3 ระบบ หรือแม้มีการตรวจสอบในรูปแบบอื่น ๆ อีก ก็สามารถมีข้อมูลให้ตรวจสอบได้โดยไม่เป็นภาระยุ่งยาก
สรุปว่า การออกนอกระบบราชการ เป็นโอกาสให้มหาวิทยาลัยได้ออกแบบโครงสร้างองค์กรและกระบวนการบริหารขึ้นใหม่ ให้เป็น infrastructure ต่อการทำหน้าที่สถาบันอุดมศึกษาในกระบวนทัศน์ใหม่ ในยุค “สังคมที่มีความรู้เป็นฐาน” ผมหวังว่ามหาวิทยาลัยทั้งหลายจะไม่ปล่อยให้โอกาสดีเช่นนี้หลุดมือ (สมอง) ไป
ตอนรับประทานอาหารเย็น ผมได้เสนอต่ออธิการบดี ศ. ดร. วิรุณ ตั้งเจริญว่า มหาวิทยาลัยควรออกแบบกติกาการทำงานของอาจารย์เสียใหม่ โดยมีเงื่อนไขให้ต้องออกไปเรียนรู้ร่วมกับสังคมชุมชน ซึ่งอาจเป็นการเรียนรู้ร่วมกับภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจบริการ ภาคเกษตรกรรม หรือภาคชุมชน – ชนบทก็ได้
วิจารณ์ พานิช
5 ส.ค.48
โรงแรมดุสิตรีสอร์ท พัทยา
ไม่มีความเห็น