คู่ที่ 3 สรรเสริญ -นินทา ข้อนี้เป็นทุกข์กันมาก ไม่มีใครเลยที่จะพ้นจากสรรเสริญ และนินทา และไม่มีใครเลยที่จะได้รับแต่สรรเสริญ ไม่มีใครเลยที่จะได้รับแต่นินทา ทุกผู้ทุกนามต้องได้รับทั้งนั้น พระอาจารย์พยอมท่านบอกว่า นินทานั้น เราจะไปทุกข์กับมันทำไม แค่ลมปากเขานั้นโดนเรากระเด็นเลยหรือเปล่า เขามาต่อยมาตีมาขว้างปาเสียยังเจ็บกว่า เขามาสัมผัสเรา เรายังรู้สึก แต่คำพูดคือลมปากเนี่ย มันโดนเราซะที่ไหน ไม่ใช่ว่าโดนเรากระเด็นไปสิบเมตรเลย มันไม่ใช่
อาตมายกตัวอย่างบ่อย ๆ ว่า ถ้าเขาให้ของเราแล้วเราไม่รับซะ ของนั้นก็เป็นของเจ้าของเดิม ถ้าเขาด่าเขานินทาเรา เราก็อย่าไปรับสิ บางคนนะ คนด่าเขาเลิกด่าไปเป็นอาทิตย์แล้วหรือเป็นเดือนแล้ว บางทีคนด่าเขาลืมไปแล้วคนถูกด่ายังคิดอยู่เลย ยังเจ็บ ยังแค้น ยังกลับมาคุกรุ่นควันขึ้นอยู่เลย คนด่าบางทีเขาก็พูดของเขาไปเรื่อย เขาก็ไม่คิดอะไรหรอก เขาเลิกด่าไปตั้งนานแล้ว แต่เรายังนำมาเก็บไว้ เรายังมาย้ำอยู่เรื่อย ๆ ก็เหมือนกับเรานำมาด่าตัวเองนั่นแหละ
เล่ากันว่า มีคนหนึ่งเป็นคนปากเสีย เรียกว่า ปากเสียประจำหมู่บ้านก็ว่าได้ ทุกคนรู้กันดีว่าคนคนนี้เป็นอย่างนี้เอง แต่มีอยู่คนหนึ่งพอถูกด่าเข้าไป ทนไม่ได้ คนอื่นเขาไม่ถือ เพราะเขารู้ว่า พูดไร้สาระ แต่คนนี้ทนไม่ได้ ด่าว่าเราถึงตระกูลถึงบรรพบุรุษ ทนไม่ได้จึงไปฆ่าคนนั้นตาย
ถ้าอดทนต่อสิ่งที่เล็กน้อยไม่ได้
วันข้างหน้าจะจำเป็นต้องอดทนในสิ่งที่ยากยิ่งกว่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เป็นไง! อดทนต่อคำด่าไม่ได้ สุดท้ายต้องไปอดทนทรมานอยู่ในคุก เพราะฆ่าเขาตาย มีตัวอย่างเยอะในเรื่องสรรเสริญนินทานี่นะ เรื่องในคัมภีร์พระพุทธศาสนาก็มี เช่น มีอุบาสกคนหนึ่งตั้งใจไปฟังธรรมที่วัด ไปถึงก็ไปกราบพระเถระผู้หลีกเร้นอยู่ในที่สงบแห่งหนึ่ง คือท่านเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ที่มีจิตใจสะอาดสว่างสงบ ท่านไม่ชอบคลุกคลีในหมู่คณะ ไม่ชอบวุ่นวาย อุบาสกไปถึงก็กราบท่าน ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ท่านก็นั่งนิ่งเฉยอยู่ก็ไม่แสดงธรรมให้ฟัง อุบาสกก็นั่งอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็ไม่สนทนาอะไรเลย อุบาสกคนนี้ก็โกรธกระฟัดกระเฟียด แล้วไปหาพระสารีบุตรไปเล่าให้ฟังว่า เขาไปกราบพระเถระท่านหนึ่งต้องการจะฟัง จะสนทนาธรรม แต่ท่านกลับไม่พูดอะไรเลย พระสารีบุตรก็เลยแสดงธรรมให้ฟัง เพราะเห็นว่าอุบาสกอยากฟังธรรม มีความตั้งใจจะฟังธรรมมาก ๆ เลย วันนี้ ท่านก็แสดงธรรมขั้นสูงเรื่องอภิธรรมเป็นเรื่องของรูปนาม ขันธ์ห้า เรื่องของมรรคผลนิพพาน อุบาสกคนนี้ฟังไปก็งงไป รู้สึกไม่พอใจ กราบพระเถระเสร็จก็เดินกระฟัดกระเฟียดไปอีก ไปหาพระอานนท์ แล้วเล่าให้ฟังว่า นี่นะรูปแรกไม่พูดอะไรเลย พอรูปที่สองพระสารีบุตรพูดอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่องเลย พระอานนท์ท่านฟังแล้วก็เลยแสดงธรรมที่ง่าย ๆ ที่เป็นพื้นฐาน สอนเรื่องทาน เรื่องศีลธรรมดาพื้น ๆ อุบาสกฟังไปก็ไม่พอใจ คิดในใจว่า อะไรเห็นเราเป็นเด็กหรือไง เราเข้าวัดตั้งนานแล้วมาพูดเรื่องทาน เรื่องศีล เราฟังไม่รู้กี่หนแล้ว ก็เลยลาพระเถระไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจ แล้วไปหาพระพุทธเจ้าทูลให้พระองค์ทราบ
พระพุทธเจ้าเลยตรัสให้ฟังว่า คนเราก็เป็นอย่างนี้ละ ชอบติโน่นตินี่ ชอบนินทาว่าร้าย ชอบมองผู้อื่นในแง่ร้าย สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งดี ไม่เป็นผลดีทั้งแก่ผู้กระทำ และแก่ผู้คนรอบข้าง อย่างพระเถระองค์แรกนั้นแท้จริงท่านแสดงธรรมนะเป็นธรรมะเบื้องสูงด้วยคือความสงบกิเลส เพราะธรรมะที่แท้หรือสัจธรรมนี่ พูดให้ฟังไม่ได้ คำพูดมันเป็นคำสมมติ มันเป็นสมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ ภาษาแต่ละภาษาเห็นไหมความหมายอันนี้เรียกอย่างนี้ มันสมมติกันขึ้นมา แล้วก็พยายามทำความเข้าใจให้ตรงกันเท่านั้นเอง
จริง ๆ แล้วปรมัตถสัจจะ คือความจริงอย่างแท้ที่สุด จริงอย่างสูงสุดมันพูดแทนด้วยอักษรด้วยภาษาไม่ได้ มันเป็นปรมัตถสัจจะ แต่คำพูดมันเป็นแค่สมมติสัจจะ จึงมีคำกล่าวว่า ถึงพูดไปก็ไม่ใช่ ถ้าไม่พูดเสียเลยก็ยิ่งไม่รู้ แต่ถึงพูดไปก็ไม่ใช่ว่าจะรู้ ลองคิดดูเถิด เรื่องนินทาว่าร้ายนี่เยอะแยะมาก ทุกที่ ทุกถิ่น ทุกวงการ ทุกประเทศชาติบ้านเมือง และแม้แต่พระพุทธเจ้าก็หนีไม่พ้น พระพุทธเจ้าเองก็โดนใส่ร้ายเยอะแยะ หาว่าพระสมณะโคดมนะเที่ยวแสดงธรรม เอาลูกชายเขาไปบวช ทำให้ไม่มีผู้สืบตระกูลต่อ หาเรื่องว่าจนได้ทั้งที่พระองค์มีมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ที่จะนำพาสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าพระองค์จริงเลย แม้แต่พระพุทธรูป พระอิฐ พระปูน ยังไม่วายโดนนินทาว่า แหม! อะไรๆ ก็งามไปหมด พระเนตร พระกัณห์ พระนาสิก พระศอ พระเศียร ทั่วสรรพางค์กายงดงามหมด เสียอย่างเดียวพูดไม่ได้ นั่น คนช่างติ เรื่องเกี่ยวกับสรรเสริญนินทามีเยอะแยะ แต่กล่าวมากไปก็จะเกินหน้ากระดาษ เท่านี้คงเห็นกันแล้วว่า มนุษย์ทั้งหลายถูกสรรเสริญนินทาครอบงำอย่างหนัก มาปลดเปลื้องพันธนาการให้อิสระแก่ชีวิตด้วยการไม่หวั่นไหวต่อคำสรรเสริญนินทากันดีกว่า เพราะว่า
“ คำนินทาใด ถ้าผู้ถูกนินทามั่นคงดี คำนินทานั้นเปล่าประโยชน์
แต่คำสรรเสริญใด ถ้าผู้ถูกสรรเสริญไม่มั่นคงดี
คำสรรเสริญนั้นก็เปล่าประโยชน์เช่นกัน ”
คู่ที่ 4 สุข-ทุกข์ โลกธรรมทั้ง 8 นั้น ถ้าย่อจริง ๆ แล้วก็คือ ฝ่ายที่น่าปรารถนากับไม่น่าปรารถนา ได้แก่ สุขกับทุกข์นั่นเอง ถ้ารวมจริงๆ แล้วมันอยู่ในสองคำนี้ ไม่มีใครเลยที่จะมีแต่สุข ไม่มีใครเลยที่จะมีแต่ทุกข์ ถ้ามีสุขอย่างเดียวชีวิตมันคงจะเลี่ยน ๆ เหมือนกันนะ อาหารชนิดไหนอร่อย แต่ให้กิน ทุกวันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ มีเรื่องเล่าว่า นักโทษถูกยัดเยียดให้กินไข่ดาวทุกวัน ๆ สุดท้ายพอเห็นไข่ดาวเข้าก็ผูกคอตายเลย
เราต้องไม่เหลิงในสุข และไม่ถูกทุกข์ท่วมทับ
คนเราต้องมีทั้งสุขทั้งทุกข์นั่นแหละ ที่สุดแห่งสุขก็คือทุกข์ ที่สุดแห่งทุกข์ก็คือสุข สุดทางของสุขก็คือเข้าเขตทุกข์ สุดทางของทุกข์ก็คือเข้าเขตสุข มันอยู่ด้วยกัน มันใกล้ชิดกัน ถ้าใครมาชมว่าสุดหล่อ สุดสวย นั่นเขาด่านะ สุดหล่อแสดงว่าที่สุดแห่งหล่อมันก็เข้าเขตขี้เหร่แล้ว สุดสวยก็เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้น สุขทุกข์เป็นของที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนต้องเจอ มันอยู่ที่ว่าเจอแล้วจะทำอย่างไรกับมัน อย่างเช่นโดนแฟนทิ้งถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ฆ่าตัวตายไปก็มี แต่บางคนอาจจะแค่ยิ้ม ๆ ไม่ใช่ไม่รักก็รักนั่นแหล่ะ แต่จะทำยังไงได้ เขาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เขา ไปบังคับเขาให้ก้าวซ้าย ก้าวขวาไม่ได้หรอก บางคนโดนอาจารย์ว่าเข้าหน่อย ตำหนิหน่อย ไม่ยอมมาเรียนถึงกับเลิกเรียนไปเลยอย่างนี้ก็มี สุดท้ายใครเสีย ? ก็ตัวของเรานั่นแหละเสีย เสียโอกาส ตัดทางเจริญของตนเอง อย่างนี้นี่แสดงว่าไม่เข้าใจในเรื่องของโลกธรรม ไม่เข้าใจในเรื่องของสุขทุกข์ เพราะฉะนั้น ถ้าเราเจอทุกข์ นี่แปลกไหม ? ไม่แปลก ใคร ๆ ก็เจอ แล้วเจอสุขนี่แปลกไหม ? ไม่แปลก แต่ต้องไม่เหลิงในสุข แล้วก็ไม่ถูกทุกข์ท่วมทับ
เพราะฉะนั้น โลกธรรม 8 ฝ่ายสิ่งที่น่าพอใจนี่ แนวทางปฏิบัติก็คือ หนึ่งอย่าให้มันครอบงำ ชักจูงไปโดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด ไม่คำนึงถึงวิธีการ อย่าให้แสวงหาในทางที่ผิด สองได้มาแล้วอย่ามัวเมาลุ่มหลง สามเมื่อมันจากไปก็อย่าเศร้าโศก ส่วนฝ่ายที่ไม่น่าพอใจนั้น สิ่งที่เราต้องปฎิบัติกับมันก็คือ หนึ่งเมื่อยังไม่ประสบอย่าประมาท (อย่าเพลิดเพลินในความไม่มีทุกข์) อย่ามัวเมาในความสุข ทุกข์มันต้องมาอยู่แล้ว ต้องเตรียมรับมันซิ เหมือนกับประเทศชาติเตรียมทหารไว้ป้องกัน ไม่ใช่จะรบแล้วค่อยฝึกทหาร กว่าถั่วจะสุขงาก็ไหม้แล้ว ต้องเตรียมตัวไว้ ไม่ใช่ถึงเวลาจะใช้เงินก้อนโตค่อยหาเงิน เก็บเงินนะ มันไม่ทันมันต้องเก็บไว้ล่วงหน้า อย่าประมาท สองประสบแล้วอย่าระทมทุกข์
สิ่งเหล่านี้สมาธิช่วยได้ เมื่อฝึกจิตดีแล้วเราจะเห็นตามความเป็นจริง แล้วเราจะไม่หลงใหลไปตามสิ่งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนานั้น ถ้าเราหลงใหลไปกับสิ่งเหล่านี้ วัน ๆ หนึ่งเราจะดีใจ เสียใจ พอใจ ไม่พอใจ ยินดี ยินร้าย เดี๋ยวสบายใจ เดี๋ยวทุกข์ใจ อารมณ์จะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เรียกว่า ๆ ฟู ๆ แฟบ ๆ ทั้งวัน เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจเหนื่อยตาย
เสียใจก็ไปนรก ดีใจก็ไปสวรรค์
แต่เย็นใจไปนิพพาน ชีวิตจะสงบเย็นเป็นประโยชน์
ถ้าเราทำจิตอิสระได้อย่างนี้ ปัญญาจะมีแล้วความคิดดี ๆ ก็จะเกิด
โลกก็จะเป็นโลกแห่งความสุข
เพราะว่า “ที่ใด ๆ ในโลกล้วนเป็นทุกข์
ยกเว้นละเหตุแห่งทุกข์เสียได้ ก็เป็นสุขในที่ทั้งปวง”
ตีพิมพ์ในนิตยาสาร “การศึกษาอัพเกรด” ฉบับที่ 038 ประจำวันพฤหัสบดี ที่ 12 - 19 กรกฎาคม 2550
ไม่มีความเห็น