"ทักษิณ" รื้อปฏิทินงบปี"50 ใหม่ พิษการเมืองเร่งเบิกเงินอุตลุด
พิษการเมืองทุบเงินสดเกลี้ยงคลัง กองทุนหมุนเวียน องค์กรอิสระ
ส่วนราชการ หวั่นรัฐบาลใหม่หั่นงบฯ แห่วางฎีกาเบิกเงินตรึม
จนท้องพระคลังแทบโล่ง มติ ครม. ล่าสุดยอมรับขอยืดหนี้
รองรับเงินสดขาดมือช่วงเม.ย.-พ.ค. พร้อมรื้อปฏิทินงบฯ ปี 2550 ใหม่
เลื่อนยาวถึง 6 พ.ย. 49 หวั่นทำงบฯ ลงทุนหดฉุดจีดีพีทรุด
จากกรณีที่มีข่าวว่ารัฐบาลถังแตก เมื่อเดือนตุลาคม 2548
จนถึงขณะนี้ยังเป็นข่าวต่อเนื่อง
ล่าสุด เมื่อวันจันทร์ที่ 27 มีนาคม
กระทรวงการคลังได้ยืนยันว่า ไม่ได้ถังแตก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (28 มี.ค.)
มีมติอนุมัติแผนการปรับปรุงการบริหารหนี้สาธารณะ ปีงบประมาณ
2549 ครั้งที่ 3 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โดยแบ่งเป็นการปรับเพิ่มแผนการบริหารและการจัดการเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจากวงเงินเดิม
260,000 ล้านบาท เป็น 265,000 ล้านบาท
และการปรับวิธีการบริหารหนี้ต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจให้สามารถเลือกแนวทางบริหารหนี้ต่างประเทศด้วยวิธีการต่าง
ๆ ได้แก่ การ prepayment การ roll-over การ refinance และการ swap
arrangement ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด
โดยอยู่ภายใต้วงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไปแล้วที่วงเงินรวม
326,347.06 ล้านบาท ทั้งนี้
กระทรวงการคลังได้ชี้แจงถึงเหตุผลการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวว่า
การเพิ่มวงเงินในแผนการบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในส่วนราชการ
roll-over พันธบัตรตราสารหนี้ของรัฐบาลอีกจำนวน 5 พันล้านบาท
เพื่อเป็นการรักษาระดับเงินสดให้เพียงพอกับการเบิกจ่ายงบประมาณ
เนื่องจาก ในระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม
คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายในวงเงินที่สูงขึ้น
ขณะที่รายได้จากภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปีจะได้รับเงินจากการนำส่งคลังในสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน
ทำให้เงินคงคลังไม่เพียงพอที่จะรองรับธุรกรรมรายจ่ายของรัฐบาล
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังเห็นสมควร roll-over
ตั๋วสัญญาใช้เงินปีงบประมาณ 2543 ครั้งที่ 3
ที่มีกับธนาคารออมสิน
อายุ 6 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ที่จะครบกำหนดในวันที่ 26
เมษายน 2549 วงเงิน 5 พันล้านบาท
โดยขอตกลงกับธนาคารออมสินเพื่อขยายอายุตั๋วสัญญาใช้เงินออกไปหรือพิจารณาจัดหา
แหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมทดแทน
โดยการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือในการบริหารเงินสดรับ-จ่ายของรัฐบาล
ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่การปรับวิธีการบริหารหนี้ต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ
คณะรัฐมนตรีได้มอบให้กระทรวงการคลังสามารถใช้และปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของตลาด
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า มติ ครม.
ได้ปรับปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ใหม่
โดยเลื่อนจากปฏิทินเดิม อาทิ การเสนอ
พ.ร.บ.งบประมาณต่อสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 จากเดิม 14-15 มิถุนายน
2549 เป็น 9-10 สิงหาคม 2549 และเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวาระที่
2-3 จาก 23-24 สิงหาคม เป็น 27-28 กันยายน 2549
และงบประมาณต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังให้ความเห็นว่า
การเลื่อนปฏิทินดังกล่าวจะทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2550
ล่าช้าออกไป และคาดว่าจะกระทบต่องบฯ ลงทุนในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ
2550 ซึ่งตรงกับ ไตรมาส 4 ของปี 2549 ซึ่งงบฯ
ลงทุนเฉลี่ยไตรมาสละ 60,000 ล้านบาท
ดังนั้นคาดว่าจะกระทบต่อจีดีพีในปีนี้อย่างแน่นอน
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้กระแสเงินสดของรัฐบาลในช่วงนี้ค่อนข้างตึงตัว
โดยมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจำนวนมากจนเกิดปัญหาเงินสดขาดมือ
เป็นผลมาจากมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ทำให้ดุลการคลังตามระบบกระแสเงินสดของรัฐบาลขาดดุลมาตลอด 4-5
เดือนที่ผ่านมา ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้น
ภายหลังจากที่รัฐบาลได้มีการประกาศยุบสภา
หลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
องค์กรอิสระ กองทุนหมุนเวียนและส่วนราชการอื่น ๆ
ทยอยกันเข้ามาวางฎีกาขอเบิกเงินงบประมาณจากกรมบัญชีกลางกันเป็นจำนวนมาก
ด้วยเกรงว่าจะเบิกเงินงบประมาณไม่ได้
หากรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
แล้วมีความเห็นที่ขัดแย้งกับนโยบายของ รัฐบาลชุดเก่า
อาจจะสั่งการให้มีการทบทวนหรือชะลอโครงการออกไปได้
จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในช่วงนี้กระจุกตัวจนขาดดุลกระแสเงินสด
ด้านนายบุญศักดิ์ เจียมปรีชา อธิบดีกรมบัญชีกลาง
เปิดเผยว่า ในขณะนี้ทางกรมบัญชีกลาง
กำลังเร่งสำรวจกองทุนหมุนเวียนทั้ง 93 กองทุน
และอีกหลายส่วนราชการที่มาวางฎีกาเบิกเงินแล้วไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์
พบว่ามีกองทุนหมุนเวียนบางแห่งมาวางฎีกาเบิกเงินงบประมาณออกไปจำนวน
5,000 ล้านบาท แล้วไปฝากธนาคารพาณิชย์
จากนั้นก็มีการเบิกดอกเบี้ยออกมาจ่ายเป็นเงินเดือนลูกจ้างในหน่วยงาน
ซึ่งผิดเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จัดตั้งองค์กรนั้น ๆ
ขณะนี้ทางกรมบัญชีกลางกำลังอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูล
ว่ามีหน่วยงานใดบ้าง เพื่อนำไปสรุปหาแนวทางการแก้ไข
เสนอให้กับทางกระทรวงการคลังพิจารณา
นายบุญศักดิ์กล่าวว่า บทบาทของกรมบัญชีกลางในสถานการณ์ขณะนี้
ต้องรักษาวินัยการเงิน การคลังอย่างเคร่งครัด
โดยการจัดระเบียบการใช้จ่ายเงินตามความจำเป็นเท่านั้น
หากไม่เร่งหามาตรการมาแก้ไขแล้ว
ในปีงบประมาณถัดไปอาจจะประสบปัญหาเช่นนี้อีก
ส่วนการจัดทำงบประจำปี 2550 นั้น
จากสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น
ไม่ทราบว่าจะจบลงอย่างไร และไม่ทราบว่าจะยืดเยื้อออกไปนานแค่ไหน
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 อย่างแน่นอน
หากไม่สามารถจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550
ได้ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ให้ใช้กรอบของวงเงินงบประมาณรายจ่ายของปี
2549 ได้ รายจ่ายสำคัญ ๆ
อาทิ เงินเดือน สวัสดิการ การเบิกจ่ายวัสดุครุภัณฑ์
ยังคงดำเนินการเบิกจ่ายเงินได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าเป็นโครงการใหม่ ๆ อย่างเช่นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐ
คงจะต้องรอนโยบายรัฐบาลชุดใหม่มาอนุมัติบรรจุรายการใช้จ่ายเข้าไป
นอกจากนี้ แหล่งข่าวจากนักวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคกล่าวว่า
ปีนี้รัฐบาลคาดว่าจะมีรายรับ 1.3 ล้านล้านบาท โดยมาจากภาษีสรรพากร 64%
ภาษีสรรพสามิต 19% ภาษีศุลกากร 7.5% และ อื่น ๆ 10%
ทั้งนี้คาดว่าปีงบประมาณ 2549
จะมีรายรับจากภาษีมูลค่าเพิ่ม 400,000 ล้านบาท ภาษีเงินได้ นิติบุคคล
350,000 ล้านบาท ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 150,000 ล้านบาท
ที่เหลือเป็นภาษีอื่น ๆ ดังนั้น
หากเศรษฐกิจชะลอ การใช้จ่ายชะลอตัวก็จะกระทบภาษีตัวหลัก ๆ ได้
ประชาชาติธุรกิจ
29 มีนาคม 2549
คำสำคัญ (Tags): #uncategorized หมายเลขบันทึก: 21711เขียนเมื่อ 30 มีนาคม 2006 11:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น