เป็นเวลา 2 สัปดาห์เต็มกับการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย HARVARD (เอ...รั้วอยู่ตรงไหน ตั้งแต่มาก็ยังไม่เห็น!) เกิดคำถามว่า นักเรียนที่นี่ต่างกับนักเรียนไทยอย่างไร ถ้าใช้เพียง 3 ตัวแปรที่นิยม คือ "ดี มีสุข เก่ง" ขอเริ่มจากดีก่อน จริง ๆ แล้วตัวแปรนี้ต้องมีกิจกรรมร่วมมากจึงจะพอมองเห็น แต่วัดง่าย ๆ หยาบ ๆ เช่นตรงเวลา ไม่หยิบข้าวของคนอื่น ไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่นรอตามคิว ทั้งการเข้าพบอาจารย์และการยืมหนังสือ การเข้าคิวเรื่องอื่น ๆ เช่นซื้อของ รอรถ ข้ามถนนเฉพาะที่อนุญาตข้าม การปฏิบัติตามกฎ กติกา มารยาท แล้วพอจะบอกได้ว่าเด็กที่นี่ไม่เลวนัก ขยันมากด้วย และที่น่าชื่นชมมากคือจิตสาธารณะ นักเรียนที่นี่จะรวมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคม เช่นวันนี้(ถ่ายรูปมาอวดด้วย) นักเรียนปริญญาโทจะรวมตัวกันไปช่วยนักเรียนโรงเรียนประถมและมัธยมในเรื่องทักษะการอ่าน เรียกว่าโครงการ “Reading Buddies” โดยมี อาจารย์ของคณะสนับสนุน ดิฉันไปถามอาจารย์เขาว่านี่เป็นหนึ่งใน Job description ของอาจารย์หรือเปล่า เขาตอบว่าไม่ใช่นักเรียนเขาทำกันเองและประกาศรับอาสาสมัครในคณะและต่างคณะ ตัวอาจารย์มาช่วยด้วยใจ เป็นเพียง”คุณเอื้อ” และคุณ”อำนวย” เอื้อสถานที่ในคณะ ในการทำจุดนัดพบ ก่อนแยกย้ายกระจายไปตามโรงเรียน อำนวยความสะดวกในการหาโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ทำหนังสือขออนุญาตไปยังโรงเรียน และอื่น ๆ เท่าที่จะเอื้อและอำนวยนักศึกษา
มาถึงตัวแปร”เก่ง” นักศึกษาที่นี่ถูกทำให้เก่งจริง ๆ (แน่นอนหลายคนบอกว่าก็เขารับและคัดแต่คนเก่งอยู่แล้ว อันนี้ไม่เถียงค่ะ) หมายความว่านักศึกษาจะต้องอ่านหนังสือมากจริง ๆ และต้องเขียนรายงานส่งมาก นักศึกษาปริญญาโทไม่ทำวิทยานิพนธ์ก็จริง แต่ทุกรายวิชาต้องส่งโครงการ(Project) ที่นักศึกษาสังเคราะห์มาเอง หมายความว่าแต่ละรายวิชานี่กว่าจะออกมาเป็น Project ต้องพบอาจารย์บ่อยมาก เช่นไปอ่านบทความที่ได้รับการเผยแพร่ตีพิมพ์มาแล้วต้องมาสรุปให้ฟังว่ามีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร และข้อเสนอแนะของนักศึกษาต่อเรื่องนี้คืออะไร กว่าจะได้ Project ที่อาจารย์ยอมรับต้องอ่านกันมากจริง ๆ แต่อาจารย์ที่นี่ดีมากมีความเป็นครูสูงไม่ดูถูกเด็กว่าโง่ ถ้าความเห็นไม่เข้าท่าจะแนะนำและให้ไปอ่านเพิ่มเติมฝึกฝนใหม่ และนัดมาพบใหม่ อาจารย์จะให้เวลากับนักศึกษามาก และขยันตอบและให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆผ่าน e mail ดิฉันมีโอกาสคุยเด็กไทยที่มาเรียนที่นี่ทุกคนบอกว่าไม่คิดเลยว่าจะต้องอ่านและทำรายงานมากขนาดนี้ ตอนเรียนปริญญาตรีไม่ค่อยได้ฝึกฝนการอ่าน paper มาแม้ว่าตนเองจะได้เกียรตินิยมมาจากมหาวิทยาลัยเบอร์ต้นของไทยก็เถอะ มาถึงที่นี่ต้องปรับตัวและอดทนมาก ต่างกับเด็กของเขาเองทุกคนฝึกฝนการอ่านมาตั้งแต่ประถม ฝึกการแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนมาตั้งแต่ประถม ฝึกการค้นคว้าและทำ Project มาตั้งแต่ประถม จึงไม่ต้องปรับตัวมาก หนังสือ บทความก็เข้าถึงง่าย อาจารย์ก็เป็นกันเอง เด็กเขาได้เปรียบหลายเท่านัก เห็นไหมว่าเด็กเขาถูกทำให้เก่ง จริง ๆ ส่วนเด็กเราก็ถูกทำให้เก่งเจง ๆ !!
มาถึงตัวแปร”มีสุข” อันนี้ก็ต้องบอกว่าสังเกตได้หยาบ ๆ ต้องให้นักจิตวิทยามาวิเคราะห์เอง เท่าที่เห็นเด็กเขาค่อนข้างเครียด เอาจริงเอาจังในทุกเรื่อง ไม่ค่อยเฮฮา (ไม่รู้ว่าเด็กเราเฮฮามากไปหรือไม่!) แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้บอกว่าเขาไม่มีสุข อาจจะสุขก็ได้ตามแบบสังคมทุนนิยม ที่มีการแข่งขันสูง
สรุปว่าดูได้อย่างเดียวเรื่องเก่ง ถ้าวัดกันตัวต่อตัว(ไม่นับความสูง เพราะเด็กเขาสูง) สายพันธุ์ หรือยีนส์เราไม่น้อยหน้าเขาหรอกค่ะ สมองก็มีเท่ากันคือประมาณ 1,300 กรัม แต่สิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ของเขานี่ละค่ะที่ทำให้เด็กส่วนใหญ่ของเราสู้ไม่ได้ ยิ่งผนวกความรู้เรื่องพัฒนาการสมองมนุษย์แล้วทำให้ดิฉันเข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงไปไกลนัก ไว้ในบันทึกหน้าจะเขียนเรื่องการบ่มเพาะ ส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กที่นี่ มาถึงตรงนี้ครูหลายคนคงอยากเถียงว่าเพราะเขามีเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัย ดิฉันถามกลับว่าถอดเครื่องมือเหล่านั้นออกไปล่ะ! แท้จริงแล้วเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้คือคุณครูนี่แหละค่ะ จึงอยากจะขอให้เพื่อนครูที่ดีอยู่แล้วช่วยสะกิดเพื่อนครูที่กำลังทำร้ายเด็กด้วยการปล่อยปละละเลยเด็ก ไม่ใส่ใจ ตั้งใจในการเรียนการสอน ครูไม่มีสิทธิทำร้ายสมองที่พร้อมพัฒนาของเด็ก ไม่มีใครเกิดมาโง่หรอกค่ะ สมองของเด็กรวยหรือจนก็พร้อมจะพัฒนาทั้งนั้นหากแต่ครูจะเปิดหน้าต่างแห่งโอกาสนั้นมากน้อยเพียงใด (อย่าเพิ่งไปเถียงเรื่องผู้ปกครองนะคะ เอาตัวเราก่อนดีกว่าว่าเราเป็นครูที่มีมือตบ แต่ง ปั้นดีเพียงใด ถ้าไม่มีก็ต้องไปพัฒนา สรรหามือตบต่อไปนะคะ)
วอนผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลาย เจ้าสำนักทั้งหลายช่วยกันส่งเสริม พัฒนาสมองของลูกหลานไทยให้ก้าวไกลต่อไปด้วยค่ะ
ขอบคุณมากสำหรับข้อคิดดีๆ ทำให้นึกถึงตัวเองก็เป็นครู จะพยายามเป็นครูที่ดีเพื่อประเทศชาติของเรานะ
ขอบคุณค่ะคุณครูอรนาท ที่เข้ามาเยี่ยมชม มีอะไรก็ ลปรร แก่กันและกันนะคะ ด้วยความนับถือค่ะ
สวัสดีค่ะ อ.เหม่ง
หนูตามอาจารย์ขจิตมาติดๆ มาเรียนรู้โลกกว้างจากบันทึกของอาจารย์คะ
เรื่องอ่านนี่ สำคัญมากๆ ค่ะ เด็กไทยบ้านเราส่วนใหญ่ทักษะด้านนี้น้อยค่ะ หนูเจอมากับตัว ต้องมาอ่าน paper เยอะๆ เล่นเอามึนไปเหมือนกันค่ะ
ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่นำเรื่องราวดีๆ มาเล่าสู่กันอ่านค่ะ ^_^
ขอบพระคุณน้องมะปรางเปรี้ยวและอาจารย์ขจิต ดีใจที่อย่างน้อยก็มีชุมชนของพวกเราที่จะเป็นที่ support ให้แก่กันและกันค่ะ ขอส่งความคิดถึงและปรารถนาดีมายังทุกท่านค่ะ (ขอตะโกนดัง ๆ ว่า "อยากกลับบ้าน" แล้ว)
การอ่านเป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด เด็กเขารักการอ่านทำให้มีช่องทางที่ยาวไกลสำหรับการเรียรู้ ต่างกับเด็กเราที่ห่างไกลการอ่านครับ
ขอบคุณอาจารย์จารุวัจน์ค่ะ เห็นด้วยค่ะเรื่องความแตกต่างในการรักการอ่านของเด็กไทยและเด็กอเมริกัน เป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้จริง ๆ ค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์เหม่ง เล่าเรื่องราวมาสนุกมากเลย เล่ามาบ่อยๆ นะคะ
ห่างไกลกันอย่างนี้ คิดถึงเนอะ
สวัสดีค่ะ
ขออนุญาติ ตามมาเชียร์ด้วยคนนะคะ
ยินดีที่ได้แวะมาอ่านประสบการณ์ค่ะ