สวนทุเรียนที่มียางพาราแซมอยู่เมื่อฤดูเก็บเกี่ยวกรกฎาคม 2551 ที่ตำบลต้นยวน อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ปีหน้าจะเป็นสวนทุเรียนเหมือนปีนี้ หรือเปล่ารอดูสถานการณ์
หลังจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ที่ประเทศไทยมีสถานการณ์ระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับรัฐ สถานการณ์เศรษฐกิจวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis) ทั้งสถานการณ์ภายในประเทศ และของโลก ดังกล่าว มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกระดับจนถึงระดับรากหญ้า ในภาคการเกษตรเองก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่ราคาน้ำมันลดลง ราคายางพาราก็ถดถอย ต่อเนื่องทุกวัน เหลือกิโลกรัมละ 48 – 49 บาท ราคาผลปาล์มทะลายสด ต่อกิโลกรัม ลดเหลือ 2.70 – 2.80 บาท (ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2551) ราคาผลไม้ฤดูกาลผลิต ปี 2551 ค่อนข้างทรงตัว ส่งผลต่อการตัดสินใจที่จะเลือกปลูกและโค่นพืชบางชนิดเพื่อปลูกพืชชนิดหนึ่งชนิดใดทดแทน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาประมาณ ปี พ.ศ. 2540 ราคากาแฟกิโลกรัมละเกือบ 100 บาท เกษตรกรที่เคยโค่นกาแฟเมื่อปี 2537 – 2540 ก็หันมาปลูกกาแฟเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้ราคากาแฟ ตั้งแต่ ปี 2544 จนถึงปัจจุบันตกต่ำ เหตุการณ์ที่ผ่านมาน่าจะเป็นบทเรียนให้เกษตรกรและนักส่งเสริมการเกษตรได้นำมาเป็นข้อคิดในการให้คำแนะนำการปลูกพืชได้ในวันนี้
เกษตรกรหลายท่านในจังหวัดสุราษฎร์ธานี กำลังสับสนกับการเลือกปลูกพืช ทั้งปลูกใหม่ และปลูกทดแทนพืชชนิดเดิม บางรายปลูกทุเรียน กำลังให้ผลผลิตที่ดี เข้าโครงการระบบจัดการคุณภาพพืช GAP ของจังหวัดสุราษฎ์ธานี มีรายได้ดีกับผลผลิตทุเรียนมาหลายปี แต่เนื่องจากราคายางพารา มีเสถียรภาพมากตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2547 จนถึง กันยายน 2551 ทำให้เกษตรกรรายนี้ปลูกยางพาราแซมในสวนทุเรียน แต่ ณ วันนี้ราคายางพารา มีแนวโน้มลดลงทุกวัน ตามสถานการณ์เศรษฐกิจจึงเกิดความลังเล ในการเปลี่ยนสวนทุเรียนเป็นสวนยางพารา แปลงนี้ บางรายปลูกปาล์มน้ำมันแซมสวนผลไม้ (เงาะ, มังคุด, ลองกอง) บางรายโค่นมังคุด นำต้นมาทำเป็นเสาบ้าน ก็มาจากปัญหาด้านราคา
แนวทางการส่งเสริมการปลูกพืช เพื่อความยั่งยืนขณะนี้ จึงขอให้เน้นหลักศักยภาพของพื้นที่ ตามเขตการปลูกพืช (Zoning) หากพื้นที่ใดมีความเหมาะสมกับหลายชนิดพืช ก็พิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น การใช้แรงงาน การปฏิบัติดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว แต่ศักยภาพด้านการตลาดก็เป็นสิ่งสำคัญ เช่นกัน ที่ผ่านมาการตลาดก็มีความผันผวนตามสถานการณ์โลก อย่างเช่นเหตุการณ์ขณะนี้ เกษตรกรก็คงต้องคำนึงถึงความเสี่ยงด้านการตลาดไว้ด้วย บทเรียนที่ผ่านมาบอกได้ว่าไม่มีพืชนิดใดที่ราคามีเสถียรภาพอย่างแท้จริง
-ขอบคุณที่แวะมาคุยกัน
-พอเพียงและยั่งยืนน่าจะคู่กันน่ะ
เป็นของธรรมดาที่สินค้าล้นตลาดแล้วราคาก็ต้องตกเป็นธรรมดา ต้องทำใจล่ะครับ ในราคา แต่ถ้าลดต้นทุนได้เยอะล่ะจะดีมากๆ ล่ะครับ และเราก็ต้องหาตลาดใหม่ๆ คู่ไปด้วย และหาวิธีที่จะแปรรูปของที่เรามีอยู่ไว้ด้วย ก็จะได้เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งจะดีมากๆ เช่นกัน