"..กระบวนการดังกล่าวนี้ ก็เหมาะสมกับการทำวิจัยในบางเรื่องและบางลักษณะเช่นกัน โดยเฉพาะการวิจัยและปฏิบัติการเชิงสังคม ขับเคลื่อนชุมชนนักวิชาการที่มีประสบการณ์ทางการปฏิบัติหลากหลายแบบสหสาขา ..."
การปรับกลวิธีการจัดสนทนากลุ่ม ให้ผสมผสานการจัดเวทีประชาคม ขับเคลื่อนพลังชุมชนทางวิชาการ รวมทั้งพัฒนากลุ่ม ให้เป็นชุมชนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของกลุ่มสหสาขา ทำอย่างไรได้อีก ? และการสนทนากลุ่ม กับการจัดกระบวนการเวที แตกต่างกันตรงไหน ?
เคยมีอาจารย์และนักวิจัยตั้งคำถามเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผมในลักษณะดังกล่าวอยู่เสมอ เพราะมักจะเห็นผมเลือกทำสนทนากลุ่มกับกระบวนการเวทีของกลุ่มประชาคม แตกต่างกัน ทั้งๆที่ดูแล้วน่าจะเหมือนกัน
ผมตอบว่า "..ต่างครับ ต่างมากด้วย ทั้งมิติกระบวนการทางสังคม บทบาทของนักวิจัย และฐานการคิดว่าความรู้คืออะไร ซึ่งลึกลงไปถึง ญาณวิทยา (Epistimology).." คือ...
- การสนทนากลุ่ม เป็นเทคนิคซึ่งใช้ประเด็นที่สนใจ เป็นตัวตั้ง เพื่อมุ่งให้กระบวนการสนทนาเป็นกลุ่มเจาะลึกลงไปในรายละเอียด ได้ข้อมูลที่นักวิจัยและประเด็นการสนทนาเป็นศูนย์กลาง
- การสนทนากลุ่ม มักต้องสนทนากันไปเป็นลำดับและอยู่ในประเด็นที่นักวิจัยพัฒนาขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ ข้อมูลและการสนทนาที่อยู่นอกเหนือประเด็นที่ตั้งไว้ รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆที่เกิดขึ้นจริงระหว่างดำเนินการ นอกจากจะถีอว่าไม่ใช่ประเด็นแล้ว ยังอาจจัดว่าเป็นการจัดกระบวนการที่ไม่ดี
- นักวิจัย มีบทบาทในการกำกับการสนทนา และเป็นบทบาทนักวิจัยภายนอกที่ค่อนข้างชัดเจน
- กลุ่มผู้ช่วยนักวิจัย และนักวิจัย กับกลุ่มสนทนา เกิดการปฏิสัมพันธ์กันโดยจำกัดไปตามประเด็น ไม่เป็นแนวราบ รวมทั้งขาดมิติการปฏิสัมพันธ์ระหว่างภายในกลุ่มสนทนา เพราะทุกคนจะมุ่งสนทนากับนักวิจัย
- ข้อมูลและสิ่งต่างๆ จากการสนทนากลุ่ม จัดเป็นเพียงข้อมูลของแหล่งความเชี่ยวชาญ ที่นักวิจัยจะต้องมีบทบาทในการวิเคราะห์ สร้างเป็นความรู้ และสรุปไปตามจุดยืนของนักวิจัย
- นักวิจัยต้องเป็นจัดวางความเป็นนักวิจัย รักษาระยะห่าง และเดินตามแนวการสนทนาอย่างเคร่งครัด
- จุดมุ่งหมาย คือ การได้ข้อมูลในรายละเอียดเชิงลึก ตามประเด็นที่นักวิจัยต้องการ สำหรับนำไปวิเคราะห์โดยนักวิจัยต่อไป ความรู้และความจริงที่สร้างขึ้นวางอยู่ในกรอบพลังของการวิเคราะห์และตีความในเชิงทฤษฎี ซึ่งจะจำเป็นในการศึกษาในบางลักษณะ
ส่วนการจัดกระบวนการเวทีของกลุ่มสหสาขานั้น.....
- มิติความรู้และความจริงที่จะได้ เน้นการวิเคราะห์และยุทธศาสตร์การคิดของเวที วางอยู่บนกรอบการร่วมสร้างความเป็นจริงจากหลายจุดยืนและหลายเงื่อนไขของการปฏิบัติ อีกทั้งใช้เป็นฐานชี้นำการปฏิบัติชั่วคราว คืบหน้าและพัฒนาการไปตามการปฏิบัติในแต่ละบริบท
- กระบวนการสนทนา มีแบบแผนเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มากกว่าจำกัดไปตามประเด็นและลำดับการสนทนาของนักวิจัย เปิดโอกาสให้สามารถสนทนาข้ามประเด็นไปมา อีกทั้งนอกประเด็น หรือเพิ่มประเด็น เพราะฐานความคิดเชื่อว่า ทุกคนต่างเป็นปัจจัยป้อนซึ่งกันและกัน
- นักวิจัย ลดบทบาทความเป็นนักวิจัย เพิ่มบทบาทสู่การเป็นกระบวนกร (Process Facilitator: FAC)
- ข้อมูลจากเวที มีมติการร่วมสร้าง หรือมีมิติความเป็นสาธารณะของความรู้ ในขณะที่การสนทนากลุ่มซึ่งจำกัดไปตามประเด็น ยังคงเป็นทรรศนะส่วนบุคคลมากกว่า
- เทคนิคและวิธีการในการระดมความคิด รวมทั้งการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเวที มุ่งความรอบด้าน ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์เชิงการเรียนรู้แนวราบ และต้องใช้หลากหลายวิธี
- ลดบทบาทการตีความเชิงทฤษฎี สู่การสังเคราะห์โดยพัฒนาขึ้นจากจุดยืนร่วมกันกับกลุ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้การสกัดความรู้จากประสบการณ์และการสะท้อนกลับเป็นความรู้จะเพาะตนของทุกคน เกิดขึ้นอย่างเป็นองค์รวมในกระบวนการเวที
- วิธีคิด เชื่อว่า ความรู้ การเรียนรู้ และผลการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือสิ่งที่ทุกคนในกระบวนการได้ปฏิสัมพันธ์และสร้างขึ้นด้วยตนเอง ส่วนข้อมูลและความรู้ที่เกิดขึ้นโดยนักวิจัย เป็นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นของนักวิจัยเองเช่นกัน
ผลได้ลองให้นักศึกษาปริญญาโท ของมหาวิทยาลัยศิลปากรในสาขาเทคโนโลยีการศึกษานี้เช่นกัน ออกแบบการระดมพลังการทำงานเป็นกลุ่มร่วมกันของปัจเจก เพื่อทำวิจัยวิทยานิพนธ์ทางเทคโน ทว่า มาเชื่อมโยงกับเรื่องสุขภาวะชุมชน และการสร้างเสริมสุขภาพชุมชนแบบองค์รวม
ผลของกระบวนการวิจัยของนักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งทำที่ ตำบลสามง่าม อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ทำให้ อบต ให้ทุนอุดหนุนและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการในขั้นตอนต่างๆของการวิจัย ดำเนินโครงการพัฒนาสุขภาพในชุมชน ขึ้นเป็นปฏิบัติการจริงในชุมชนไปด้วยได้
อีกคนหนึ่ง ขับเคลื่อนเป็นโครงการเครือข่ายเยาวชนและเครือข่ายชุมชน เชื่อมโยงกับบทบาทของ อบต ตำบลมหาสวัสดิ์ อำเภอพุทธมณฑลได้ ผ่านปฏิบัติการสื่อสารสุขภาพชุมชนทางรายการวิทยุเสียงตามสายของชุมชน
อีกคนหนึ่ง หลังจากทำวิจัยวิทยานิพนธ์ซึ่งได้ทุนอุดหนุนจาก สสส ด้วย ก็ถ่ายเทรูปแบบและองค์ความรู้จากการวิจัยทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษาแนวนี้ ไปสู่การสร้างเครือข่ายเยาวชนด้วยการพัฒนาชุดสื่อการเรียนรู้ ขับเคลื่อนงานอนามัยโนงเรียนครอบคลุมทั้งจังหวัดนครปฐม คือ 127 โรงเรียน ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม ซึ่งน้อยแห่งนักในระดับประเทศที่จะสามารถทำได้ครอบคลุมทั้งจังหวัด
การออกแบบให้ผสมผสานกันผ่านกระบวนการวิจัยและปฏิบัติการเชิงสังคม ของการจัดการทางความรู้กับนัวตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา อย่างลงตัว จึงทำให้นักวิชาการและนักพัฒนาตัวเล็กๆ มีกำลังสร้างความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ ในขณะที่การการทำโดยทั่วไปจะไม่สามารถทำได้ เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม กระบวนการดังกล่าวนี้ ก็เหมาะสมกับการทำวิจัยในบางเรื่องและบางลักษณะเช่นกัน โดยเฉพาะการวิจัยและปฏิบัติการเชิงสังคม ขับเคลื่อนชุมชนนักวิชาการที่มีประสบการณ์ทางการปฏิบัติหลากหลายแบบสหสาขา ก่อเกิดทั้งองค์ความรู้และพลังกลุ่มก้อน ซึ่งสะท้อนความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในยุทธศาสตร์การคิดเป็นกลุ่ม และกระแสความรู้ของกลุ่มผู้นำทางการปฏิบัติ.