ความเป็นมาของคัมภีร์สุวรรณโคมคำ (โดยย่อ)
สุวรรณโคมคำ เป็นชื่อดินแดนในอดีต มีมาตั้งแต่สมัยพระกกุสันธพุทธเจ้า ในสมัยนั้นเรียกว่า “ถ้ำกุมภ์” เป็ นสถานอันพระกกุสันธสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาฉันบิณฑบาต และทรงมีพุทธทำนายไว้ว่า พระสัมมาสัมะพุทธเจ้าที่เหลืออีก ๔ พระองค์ ในอนาคตจะมาฉันบิณฑบาตที่ถ้ำนี้เหมือนเช่นกับพระองค์ เพราะเป็นสถานที่ที่จะทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาไว้อย่างมั่น คงในอนาคต ภายหลังสถานที่แห่งนี้ ได้มีชื่อว่า เมืองสุวรรณโคมคำ แปลว่า โคมทอง เมืองสุวรรณโคมคำมีอาณา เขตกว้างใหญ่ไพศาล (ดูในตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ) มีอาณาบริเวณสุดลูกหูลูกตา เป็นเมืองแห่งพุทธศาสนา มีพระ พุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมใจ
ครูบาอาจารย์ในสายสุวรรณโคมคำ เล่าสืบมาว่า ท่านผู้มีฤทธิ์ฌานและบรรลุธรรมขั้นสูงในพุทธศาสนาได้รจนาไว้ เพราะเห็นว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมก็จริง แต่จะรู้ได้เฉพาะผู้ที่มีบารมีธรรมและฤทธิ์ฌานแก่กล้า สำหรับปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจจะรู้ได้ ทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความประมาท อย่างไม่รู้โลก ด้วยเหตุนี้ ท่านเหล่านั้นจึงได้รจนาคัมภีร์สุวรรณโคมคำขึ้น เพื่อใช้คำนวณบุญกรรมให้เห็นเป็นรูปธรรม คัมภีร์สุวรรณโคมคำจึงถืออุบัติขึ้นแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และเพราะเหตุว่า คัมภีร์นี้เกิดขึ้นในแผ่นดินสุวรรณโคมคำ บูรพาจารย์สุวรรณโคมคำจึงได้เรียกขานคัมภีร์นี้ว่า “คัมภีร์สุวรรณโคมคำ” หรือเรียกอีกชื่อว่า "คัมภีร์มหาจักรพรรดิราช"
คัมภีร์นี้แสดงสูตรคำนวณบุญบาปที่ให้ผลตามกาลเวลาไว้ และยังรวมเอาศาสตร์อื่น ๆ ที่มีหลักการเดียวกันผนวกไว้อย่างครอบคลุม รวมทั้งหมด ๑๖ ส่วน ได้แก่
๑. ลคฺนา ว่าด้วย สภาพชีวิต ความเป็นอยู่ รูปร่าง บุคลิก
๒. โหรา ว่าด้วย ความเจริญ ความเสื่อมฐานะ
๓. ตรียางฺค ว่าด้วยความสุข ทุกข์ทั้งหลาย
๔. จตุรทฺสํส ว่าด้วย ความรุ่งโรจน์สูงสุด
๕. ตมสํส ว่าด้วย อนาคตอันใกล้ (แบ่งออกเป็น ๗ ปกรณ์)
๖. นวางฺค ว่าด้วย อุบัติกาลคู่
๗. ทสมสํส ว่าด้วย ตำแหน่ง อำนาจ อิทธิพล บารมี (แบ่งออกเป็น ๑๐ ปกรณ์)
๘. ทวาทสํส ว่าด้วย ผู้อุปถัมภ์ บุพพการี วงศ์สกุล (แบ่งออกเป็น ๒๐ปกรณ์)
๙. โสทสํส ว่าด้วย ทรัพย์อันเป็นมรดก ดินแดน การยึดครอง
๑๐ วิมสํส ว่าด้วย กรรมเก่า ( แบ่งออกเป็น ๒๐ ปกรณ์)
๑๑. จตุรวมสํส ว่าด้วยความสำเร็จในการศึกษาวิทยาการ (แบ่งออกเป็น ๒๐ ปกรณ์)
๑๒. ภงฺส ว่าด้วยธาตุ ปราณ และสมุนไพร (แบ่งออกเป็น ๒๗ ปกรณ์)
๑๓. ตริมสํส ว่าด้วยข้าศึก ศัตรู อุบาทว์ และอุปสรรค (แบ่งออกเป็น ๓๐ ปกรณ์)
๑๔. อคฺคเวทสํส ว่าด้วยพฤติแห่งอาชีวะ (แบ่งออกเป็น ๑๕ ปกรณ์)
๑๕. ขวทสํส ว่าด้วยการห้ามฤกษ์ และวางฤกษ์ตามกลุ่มนักษัตร
๑๖. ฉฎฺฐองฺส ว่าด้วยอรรถย่อยทั้งหลาย
ทั้ง ๑๖ ส่วนนี้ รวมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “โสฬส” เป็นการแบ่งวิชาเท่ากับจำนวนส่วนทั้ง ๑๖ ของดวงจันทร์ตามคัมภีร์สุวรรณโคมคำนั้นเอง ผู้เรียนเจนจบครบสูตรทั้งหมดนี้เรียกว่า “สำเร็จโสฬส” กลายเป็นยอดคนครบถ้วนกระบวนยุทธ์ คัมภีร์สุวรรณโคมคำได้สืบต่อเรื่อยมารุ่นแล้วรุ่นเล่าโดยเหล่าศิษย์ผู้ได้รับการถ่ายทอด
ด้วยศักดานุภาพของคัมภีร์ที่มากล้นนี้ ล้วนเป็นที่หมายปองของผู้แสวงหาวิชายิ่งนัก (คล้าย ๆ คัมภีร์กลยุทธ์ซุ่นจื่อ ที่ได้รับการสืบทอดโดยซุนปิง) ถึงกับยกทัพจับศึกแย่งชิงตามที่ปรากฏในประวัติศาสตร์
คัมภีร์สุวรรณโคมคำได้ผ่านกาลสมัยมาช้านาน ต่อมาคัมภีร์นี้ได้ตกทอดมาถึง " สมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีศรีรัตนลงกาทีปมหาสวามี" นามเดิม คือ พระศรีศรัทธา เป็นโอรสของกมรเตงอัญรามคำแหง ประสูติ ณ เมืองสองแคว (พิษณุโลก) เมื่อเจริญชันษาได้ศึกษาศิลปวิทยา และเจนจบคัมภีร์มหาจักรพรรดิราช หรือคัมภีร์สุวรรณโคมคำ สำเร็จโสฬสแต่ครั้งเยาว์วัย นอกจากนี้ ยังทรงเชี่ยวชาญในวิชาคชศาสตร์ และอัศวศาสตร์ (อันหนึ่งร้คุณช้าง อันหนึ่งรู้คุณม้า อันหนึ่งรู้คุณสีหะ จารึกวัดศรีชุมว่างั้น) ในช่วงวัยหนุ่ม พระศรีศรัทธาได้สู้รบกับขุนต่าง ๆ มากมาย จนสุดท้าย ได้ทำยุทธหัตถีกับขุนจัง แทนพ่อขุนรามคำแหง ได้รับชัยชนะอย่างสง่างาม ต่อมาพระศรีศรัทธาเห็นภัยในการครองเรือน ได้ทิ้งอาวุธ นำทรัพย์สมบัติออกบริจาคทาน และได้ยกพระธิดา และพระชายาให้แก่ผู้ที่มาขอ ได้เจริญรอยตามพระเวสสันดรโพธิสัตว์ เสด็จผนวชบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาได้จาริกไปแสวงบุญที่เกาะลังกา หลังจากที่กลับจากการแสวงบุญที่เกาะลังกา ด้วยสมเด็จพระธรรมราชาลิไทย ตรัสให้บัณฑิตไปอาราธนานิมนต์กลับสู่กรุงสุโขทัยแล้ว ครูบาอาจารย์สายสุวรรณโคมคำ เล่าสืบมาว่า "สมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาฯ ได้ผนวกเนื้อหาของพระอภิธรรมเข้าไว้ในคัมภีร์สุวรรณโคมคำ (ซึ่งท่านชำนาญอยู่แล้ว) จนครบสมบูรณ์ ซึ่งแต่เดิมนั้น คัมภีร์สุวรรณโคมคำมีเนื้อหาธรรมะครบถ้วนอยู่แล้ว แต่ด้วยผ่านกาลเวลามาช้านาน ทำให้หลักธรรมกร่อนไปเป็นอันมาก เหลือเพียงหลักการคำนวณ และคำพยากรณ์เท่านั้น ดังนั้น ผู้ที่ศึกษาวิชาในคัมภีร์สุวรรณโคมคำ เพื่อให้สำเร็จในขั้นสูง จำเป็นต้องศึกษาธรรมะ และฝึกกสิณสมาธิควบคู่ไปด้วย" เมื่อบั้นปลายชีวิตของสมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านเกิด คือ วัดจุฬามณี จนกระทั่ง ละสังขารลาจากโลกนี้ไป รวมอายุได้ประมาณ ๘๓ ปี
เชื่อกันว่า แม้พญาลิไทก็ได้รับการถ่ายทอดคัมภีร์นี้จากสมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาฯ ด้วยเช่นกัน ต่อมาในสมัยหลัง คัมภีร์นี้ตกทอดมาจนถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คงประกอบด้วยเหตุนี้ พระองค์ท่านจึงปรีชาสามารถกอบกู้เอกราชได้สำเร็จภายในเวลาอันสั้น และก่อนสวรรคต โปรดให้คนนำคัมภีร์สุวรรณโคมคำไปคืนไว้ที่เมืองสุวรรณโคมคำเดิม (ประเทศลาว)
หมายเหตุ: ประวัติของสมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธา ดูในศิลาจารึกวัดศรีชุมหลักที่ 2 ประกอบ
ท่านใดสนใจ อยากศึกษาหาความรู้และหาความจริงเกี่ยวกับคัมภีร์สุวรรณโคมคำ สามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ที่มูลนิธิสุวรรณโคมคำ ๐๒-๖๘๑-๒๕๒๓ ฟรี....
นมัสการพระคุณเจ้า
เกี่ยวข้องกับวัดสุวรรณโคมคำที่พะเยา หรือเปล่าเจ้าคะ
นมัสการค่ะ
น่าสนใจนะคะ คัมภีร์สุวรรณโคมคำ
มีเปิดเรียนไหมค่ะท่าน
ที่ไหนค่ะ จะได้ตามไปศึกษาค่ะ
สวดมนต์เสริมบารมีวันเสาร์(เวลา ๑๗.๐๐ – ๑๙.๐๐ น.)
๑๖.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. - พิธีไหว้พระบรมครูฯ (เฉพาะผู้ที่ประสงค์จะมอบตนเป็นศิษย์สุวรรณโคมคำ) - ผูกดวงสัตตาภิธรรม และกรรมจักร
๑๗.๐๐ – ๑๘.๐๐ น. - ทำวัตรสวดมนต์ สวดเสริมชาตาบารมี
๑๘.๐๐ – ๑๘.๓๐ น. - ทำสมาธิ - อุทิศส่วนกุศล
๑๘.๓๐ – ๑๙.๐๐ น. - ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ และแจกธูปเทียนปลุกเสก
ผู้ที่สนใจ สามารถไปร่วมกิจกรรมของมูลนิธิได้ตามวันและเวลาดังกล่าว โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่
มูลนิธิสุวรรณโคมคำ ๐๒-๖๘๑-๒๕๒๓
ไปไหว้ครูเรียนมาแล้วครับ บรรยากาศดีมาก
และเห็นบอกว่า จะมีไหว้ครูเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเพื่อเรียนโหราศาสตร์แนวพุทธอีกครั้งในวัน ที่23 ตุลาที่จะถึงด้วยเจ้า
วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม 2551 นี้
มูลนิธิสุวรรณโคมคำ ๐๒-๖๘๑-๒๕๒๓
จัดพิธีไหว้ครูสุวรรณโคมคำ
รอบแรก เวลา 17.00 น.
รอบที่ 2 เวลา 19.00 น.
ขอเชิญญาติโยมที่สนใจมาร่วมงานที่มูลนิธิได้
เจริญพร
...อยากศึกษาเจ้าคะ..อยู่แถวๆสนง.เขตยานนาวา ใช่ไหมคะ อยากทราบว่าต้องเรียนทุกวันมั้ย เพราะทำงานสัปดาห์ละ6วัน ตามเวลาห้างเปิด-ปิดนะคะ แลก็หยุดวันธรรมดา1วันคะ
กระผมลองไปสัมผัสบรรยากาศที่ธรรมสถานสุวรรณาภา ตำบลหินลาด อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก แล้ว ดีมากเลยครับ เช้าๆๆผมไปอ่ะ เหมือน สวรรค์บนดินเลย เพราะเมฆ หมอก ยามเช้าสวยมาก มี พระสงฆ์ประมาณ ๓ รูปครับ
กราบนมัสการ พระคุณเจ้า สุวรรณโคมคำเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย อยากทราบว่า พระอาจารย์ใช้เวลาศึกษามานานสักเท่าใด จึงนำคัมภีย์นี้มาเผยแพร่ และทำใมจึงนำมาเปิดเผย เพราะอะไร คือ.....ที่ถามก็เพราะเดี๋ยวนี้มีลัทธิแปลกปลอมอยู่ก็ไม่น้อย รังแต่จะทำให้พระพุทธศาสนาของเรา (เสียหาย)ได้ พระอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี่ ถ้าเกิดว่า สุวรรณโคมคำถูกกล่าวหาไปในทางที่ไม่ดี
ต้องใช้ปัญญา "พิจารณา" ผมคิดว่า มัวแต่สงสัย มันไม่เกิดปัญญา นะ ผมลองพิจารณาดูแล้ว เป็นการสืบสานพุทธศาสนาให้ รุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป อย่ามัวบ้าน้ำลาย มันไม่เกิดผลดี ครับ ผมไปสัมผัสมาแล้ว ดีจริงจึงบอก ต่อ
ต้องขอโทษด้วยตอนนี้ทางมูลนิธิสุวรรณโคมคำเปลี่ยนเบอร์แล้วเป็น 020812524/0859881583
ขอโทษอีกที่เบอร์โทรศัพท์มูลนิธสุวรรณโคมคำคือเบอร์026812524/0859881583นะค่ะทางมูลนิธิมีจัดปฏิบัติธรรมไปสุวรรณภาด้วยที่นั้นสวยมากอากาศดีเหมาะกับการปฏิบัติธรรมด้วยถ้าใครว่างไปก็ประมาณ14ก.พ.54ประมาณ7วันและอีกงานก็30ม.ค.53ไปทางเมืองกาญใครสนใจสอบถามไปทางมูลนิธินะ
อยากทราบว่าที่มาที่ไปของลูกประคำมาจากไหน
ใครเป็นคนบอก
ณ ที่ไหน
ในสมัยไหน
ตอบได้หรือป่าว
ถึงธรรมละ
ถึงพระหยุด
สาธุๆๆๆๆ
สนใจที่จะศึกษามากค่ะ ปัจจุบันฝึกทางสมาธิ และกำลังเรียนทางด้านโหราศาสตร์ ที่สมาคมโหราศาสตร์แห่งชาติ ที่สำคัญสนใจทางด้านสมาธิและกสิณมากๆ ค่ะ ไม่ทราบว่า ปี 2554 จะเปิดสอนเมื่อไหร่ค่ะ ตั้งใจและมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนค่ะ คิดว่าน่าจะนำความรู้เหล่านั้นมาช่วยผู้ที่ มีความทุกข์ได้ค่ะ กราบรบกวนขอข้อมูลแลรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยค่ะ วรรณ์
สาธุ...จิตสงบ....สุวรรณโคมคำ
โหราศาสตร์ เกิดจากการสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น เก็บบันทึกเป็นสถิติ นำดวงดาวมาเป็นตัวแทน(สัญลักษณ์)เล่าเรื่อง
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ คือความเป็นธรรมดา คือความจริง คือ การพิจารณากายใจ จนเกิดสติ มีปัญญา
สิ่งที่คล้ายกันระหว่างธรรมะ และโหราศาสตร์ คือการสังเกต การพิจารณา
ธรรมะปราณีต ละเอียดอ่อนเพราะต้องใช้การพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ และสิ่งที่ทำให้ธรรมะคงอยู่อย่างไม่เสื่้อม คือ ความจริง
สิ่งที่ไม่จริงมักเสื่อมไปโดยกรรมของตนเสมอ
โหราศาสตร์ เกิดจากการสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น เก็บบันทึกเป็นสถิติ นำดวงดาวมาเป็นตัวแทน(สัญลักษณ์)เล่าเรื่อง
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ คือความเป็นธรรมดา คือความจริง คือ การพิจารณากายใจ จนเกิดสติ มีปัญญา
สิ่งที่คล้ายกันระหว่างธรรมะ และโหราศาสตร์ คือการสังเกต การพิจารณา
ธรรมะปราณีต ละเอียดอ่อนเพราะต้องใช้การพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ และสิ่งที่ทำให้ธรรมะคงอยู่อย่างไม่เสื่้อม คือ ความจริง
สิ่งที่ไม่จริงมักเสื่อมไปโดยกรรมของตนเสมอ
โหราศาสตร์ เกิดจากการสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น เก็บบันทึกเป็นสถิติ นำดวงดาวมาเป็นตัวแทน(สัญลักษณ์)เล่าเรื่อง
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ คือความเป็นธรรมดา คือความจริง คือ การพิจารณากายใจ จนเกิดสติ มีปัญญา
สิ่งที่คล้ายกันระหว่างธรรมะ และโหราศาสตร์ คือการสังเกต การพิจารณา
ธรรมะปราณีต ละเอียดอ่อนเพราะต้องใช้การพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ
และสิ่งที่ทำให้ธรรมะคงอยู่อย่างไม่เสื่้อม คือ ความจริง
สิ่งที่ไม่จริงมักเสื่อมไปโดยกรรมของตนเสมอ
พระมหาคารมไม่มีเเล้วเพราะโดนจับสึกเเล้วคับมีรูปเป็นหลักฐานด้วยถ้าเจอเเจ้งตำรวจจับได้เลยคับเพราะโกงเงินมั่วสีกาคับ
สีกาฮวงสีกาใหม่ก็เป็นเมียพระมหาคารมคับพูดง่ายๆๆโตนปราชิกเเล้วอะถ้าเจอตัวอย่าไปเชื่อเเจ้งตำรวจจับได้เป็นความจิงคับตามที่คนข้างบนพูดจริงๆๆๆๆๆ
ถึงคุณที่ตอบด้านบน คุณรู้จักคนชื่อฮวงและคนชื่่อใหม่หรือเปล่าที่คุณมาพูดโดยไม่ใช้สติพิจารณาให้รอบคอบนั้น ก่อนที่จะว่าคนอื่นตัวคุณก็จะติดกรรมทีเดียวแหละ
จากผู้หวังดี
แค่คิดก็ผิดแล้วยังใช้การเขียนวนมาโดนทั้งคนทั้งพระ รู้จักคำว่าบาปไหมการจะก้าวหาใครต้องมีหลักฐานก้าวหากันมาก ระวังจะโดนเขาฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท หวังดีไม่ได้มาประสงค์ร้าย อย่าทำเลย ศาสนาแปดเปื้อนหมดแล้วอย่าทำเลย เราก็เป็นลูกพระพุทธศาสนาเหมือนกัน
คุณเห็นกับตาเหรอคราฟฟฟฟ การกล่าวร้ายไม่ดีเลยนะครับบาปกรรมคราฟฟ
คัมภีร์สุวรรณโคมคำหรือ คัมภีร์จักพรรดิ์ราช เป็นของประเสริฐ เอามาให้ชั้นชั้นต่ำเรียนจึงเกิดปัญหา แตกแยก สาร "รุซโซ" ชาวฝลั่งเศส ไม่น่าเขียนเรื่องสัญญาประชาคมจังศิษย์พาหักหลังอาจารย์ตัวเอง เป็นอย่างนี้ไพล่ก็คือไพล่ อยู่วันยังค่ำ
มันสมองมีไว้เพื่อ การใด
คิดต่ำทำจัญไร หยาบช้า
วิกลจริตฤๅไฉน วานบอก
จึ่งกระทำอุบาทว์บ้า เพี้ยงไพร่ใจสถุนฯ
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว เวรกรรมมีจริง มันจะทำหน้าที่ของตัวมันเอง
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าไม่รู้อะไรอย่างจริง แล้วกล่าวร้ายผู้อื่นก็เป็นบาป
ถ้าเป็นจริงพระบาปมากกว่าคน ถ้าไม่เป็นความจริงนรกกินกบาลหาความเจริญไม่ได้
หนังชีวิตดูยาวๆ
ได้ยินมาเหมือนกันว่า ปาราชิก แล้ว แต่ทำไมช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้เองน่ะ เหมือนจะเห็นพระรูปนี้ยังกลับมาบิณฑบาตรแถวๆ สาทร สีลม ให้เห็นอยู่ ปาราชิกแล้ว ทำไมยังกลับมาได้ นึกว่ามีคนแจ้งจับไปแล้วซะอีก
แล้วมีเรื่องราวขนาดนี้ ทำไมถึงกล้ากลับมาหนอ ?????
กลับมาแล้วไม่ใช่อยู่แต่ที่กรุงเทพนะ ได้ยินมาว่าก็อยู่ที่ธรรมสถานที่พิษณุโลกอีกด้วยนี่
เมื่อ2-3วันมานี้ได้รับแถลงการณ์จากเพื่อนที่เคยไปเรียนที่สุวรรณโคมคำ พออ่านแล้วเห็นเจอว่ามีมติที่ประชุมของกรรมการมูลนิธิชุดใหม่ปลดพระอาจารย์คารมออกจาก ประธานมูลนิธิ ด้วยเหตุผลว่าได้มีการพูดคุยกับพระรูปหนึ่งที่วัดยานนาวา ว่ามีการมีมติคณะสงฆ์จากวัดยานนาวาว่าให้พระอาจารย์คารมลาสิกขาด้วยเหตุ "ปฐมปาราชิก" แต่เมื่อได้ดูเอกสารที่แนบท้ายแถลงการณ์แล้ว ไม่เห็นมีมติเช่นนั้น แล้วที่คณะกรรมการมูลนิธิปลดพระอาจารย์คารมนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหรอ แล้วคณะกรรมการมูลนิธิจะรับผิดชอบอย่างไร เมื่อไม่เป็นจริงดังที่ถูกกล่าวหา ช่วยไขข้อสงสัยที
มีคนส่งอีเมล์มาให้เข้าไปอ่านเกี่ยวกับแถลงการณ์ของศิษย์สุวรรณโคมคำ เหมือนกัน พออ่านแล้วก็ยังคิดว่าถ้าพระอาจารย์คารมไม่ได้ถูกจับสึกในข้อหาปฐมปาราชิกแล้วทำไม ยังมีคนพูดใส่ร้ายพระอาจารย์คารมไม่หยุดหย่อนละครับ ผมได้ยินบ่อยมาโดยเฉพาะที่เรียนโหราศาสตร์ต่างๆ พูดกันไปแบบจริงบ้างไม่จริงบ้าง แล้วพวกเขาเหล่านั้นต้องการอะไรกันเหรอครับ
พวกเขาเหล่านั้น คงต้องการทำลายพระอาจารย์คารมเพียงเพราะความต้องการอะไรบางอย่าง เช่น ผลประโยชน์มั้งครับ ไม่งั้นคงไม่ทำร้ายกันเพียงขนาดนี้ ผมว่ามันเกินไปจริงๆ นี่เหรอคนที่เคยบอกตนเองเป็นผู้มีธรรม เป็นคนดี
เอาหล่ะ ได้แถลงการณ์มาแล้ว ตามไปดูกันได้ที่ link นี้เลย ส่วนท่านใดต้องการ link เวบบอร์ด เพื่อเข้าไปติดตามเรื่องราว ก็เป็น link เดียวกัน
http://srisuwankhomkhum.blogspot.com/2011/07/blog-post_13.html
จากการที่ได้อ่านแถลงการณ์ ดังกล่าวข้างต้นนั้น ขอตอบคำถามในใจของตนเอง เป็นหัวข้อ คือ
1. การปาราชิก
2. การกลับมาของพระมหาคารม หลังจากข่าวการปาราชิก (เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หรือ ไม่ได้ถูกประหารจริง )
3. การดำเนินการตามกฎหมายต่อพระมหาคารม
นอกจากนั้นแล้วก็ยังไ้ด้ประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติม คือ
4. การดำเนินกิจกรรมของสุวรรณโคมคำ
ป า ร า ชิ ก
ปลายปี 2553 เดิม "ได้ยิน" "ได้ฟัง" มาจาก ศิษย์สุวรรณโคมคำจาก "หลายท่าน" กล่าวว่าได้ไปรับฟังข้อมูล สืบค้นความจริง ของสิ่งที่เป็นเหตุให้เชื่อได้ว่า มีการล่วงละเมิดศีลของพระมหาคารม อันถือเป็นครุกาบัติ หรือ เป็นความผิดขั้นร้ายแรง จนต้องมีกระบวนการ การให้พ้นจากความเป็นสงฆ์ หรือ เรียกว่า ปาราชิก ซึ่งสิ่งนี้ถือเสมือนเป็น โทษประหารของพระภิกษุสงฆ์
คำถามแรก คือ สิ่งที่เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายได้รับข้อมูลมานี้ ท่านเคยได้รับมาในรูปแบบหลักฐานที่น่าเชื่อถือหรือไม่ โดยส่วนตัวของข้าน้อยเอง ข่าวสารที่ได้รับมานั้น มาจาก การบอกเล่า เช่นเดียวกัน
คำถามต่อมาที่ต้องถามตนเองคือ แล้วเราควรเชื่อถือข้อมูลที่ได้รับฟังมาหรือไม่โดยทั่วไปเราคงทราบกันดีอยู่ แล้วว่า ข้อมูล หรือ ข่าวสาร ที่มีการบอกเล่ากันปากต่อปาก มีข้อดีคือ สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ข้อด้อยคือ มักมีความบิดเบือน หรือผิดเพี้ยน ไปจากความจริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวที่เป็นด้านลบมักจะถูกบิดเบือนไปมากขึ้นทั้งจากการตั้งใจ หรือ ไม่ตั้งใจของผู้เล่า อีกทั้งข่าวลือจะยิ่งแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่การเริ่มต้นอาจมาจากคนเพียงไม่กี่คน แต่ก็สามารถ สร้างเป็นกระแสได้ และนี่ก็อาจเป็นตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งก็ได้
ถ้ามีคนมาพูดให้ได้ยิน เพียงน้อยครั้ง คนเราอาจยังไม่รู้สึกคล้อยตาม แต่ถ้าข้อมูลที่ได้รับมาจากคนที่ใกล้ชิด สนิทสนม คนที่เราเคารพนับถือ คนที่เรารู้จัก และเราก็คิดว่าเค้าก็หวังดีกับเรา ความคล้อยตามของเราก็มีมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะคนที่เรารู้จักเหล่านั้นต่างได้มีกระแสข้อมูลในทางเดียวกัน
กลาง ปี 2554 มาวันนี้มีข้อมูลใหม่ ที่ "ได้เห็น" (อันแนบกับแถลงการณ์ ที่ได้ออกโดยศิษย์ สุวรรณโคมคำ ฉบับ ที่ 1) ที่สร้างความ "ขัดแย้ง" กับ ข้อมูล "เดิม" คือ "ปาราชิก" ที่ "ได้ยิน" ข้อมูล "ใหม่" คือ "เธอยอมลาสิกขา" ซึ่งข้อความดังกล่าว ได้มาจาก "หนังสือสุทธิ" (คงเป็นสมุดพก ไม่ก็ passport ประจำตัวพระภิกษุ) อัน มีพระสุทธีธรรมนาถ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวาเป็นผู้ลงลายมือชื่อกำกับตามบันทึกนั้น โดยมีพระปลัดวีรภัทร์ เป็นผู้รับรอง สำเนาถูกต้องของเอกสารดังกล่าวที่ได้ยื่นไว้ต่อเจ้าพนักงานศาล เมื่อ วัน ที่ 7 กรกฎาคม 2554
ครา นี้ก็ต้องมาดูว่า ข้อมูลใหม่ สามารถ กระจายกระแส เพื่อ "แก้ไข" หรือ "ลบล้าง" กระแสเดิมได้มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้การกระจายข้อมูลก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ จิตสำนึก และ ความเป็นอัตตะ ที่มีอยู่ในแต่ละคนที่แตกต่างกัน
(โปรดติดตามประเด็นต่อไป)
อยากบอกความจริง สุวรรณาภาครับ
ก า ร ก ลั บ ม า ข อ ง พ ร ะ ม ห า ค า ร ม ห ลั ง จ า ก ข่ าว ก า ร ป า ร า ชิ ก
(ตายแล้วเกิดใหม่ หรือ ไม่ได้ถูกประหารจริง)
จากกระแสข่าวที่ให้ได้ยิน หรือได้อ่านตามอินเตอร์เนตเมื่อช่วงปลายปี 2553 จวบจนกระทั่งต้นปี 2554 นั้น เป็นไปในหัวข้อเกี่ยวกับ การปาราชิกเป็นส่วนใหญ่ และแน่นอน กระแสข่าวด้านลบคงไม่ได้มาจากทางผู้ที่ถูกกล่าวถึง (พระมหาคารม) เป็นแน่แท้
จึงมีคำถามที่อยากถามท่านสาธุชนทั้งหลาย รวมทั้งตัวข้าพเจ้าเองด้วยว่า การรับฟังข้อมูลเหล่านั้นได้นำหลักการเรื่อง กาลามสูตร มาปรับใช้มากน้อยเพียงใด ในช่วงแห่งกระแสข่าวการปาราชิกท่่านได้กลับไปลองค้น หรือกลับไปยังต้นตอเพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของข่าวลือนี้แค่ไหน
สิ่งที่ได้ลองพยายามสืบหาความจริงนั้น ณ ตอนนี้ ณ ขณะนี้ ยัง ไม่ สา มารถ หา สิ่ง ที่ เป็น การ ยืน ยัน ได้ ถึงการปาราชิกดังกล่าว
ถ้าท่านใดมีหลักฐาน ก็นำมาแสดงให้เห็นแท้เป็นที่ประจักษ์กับทุกฝ่ายไป เพื่อความโปร่งใสของเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อเริ่มเรื่องแล้ว ก็ควรจะสานต่อให้ครบถ้วนกระบวนความด้วยเถิด หรือว่าการนิ่งเงียบแล้วให้เรื่องราวและกระแสค่อยจางลงไป ผู้เสียหายก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรม
ในขณะที่ต่อมากลางปี 2554 ได้เกิดข้อมูลข่าวสารใหม่ที่เป็นการเปิดเผย หรือเป็นการโต้กลับจากทางด้านจำเลย (พระมหาคารม) โดยเป็นการเปิดเผยโดยอ้อม ผ่านทางเอกสารของทางราชการและทางศาล (ดังที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้) ว่า ไม่ มี ก าร ป า ร า ชิ ก แต่อย่างใด
ในครั้งนี้ ท่านยังมีโอกาสที่จะนำหลัก กาลามสูตร มาปรับใช้อีกครั้ง เพื่อพิจารณาให้ถ่องแท้ถึงความเป็นไป ของความเป็นจริง
อีกทั้งเมื่อลองกลับมาคิดในอีกมุมหนึ่ง ว่า การที่ใครก็ตามถูกกล่าวโทษถึงถึงขั้นร้ายแรง แล้วเหตุอันใดเล่า ผู้นั้นถึงยังคงยืนกราน กลับมาทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวมอยู่อีก ซึ่งการกลับมาครั้งนี้กลับมาเพียงแค่ มือเปล่า ปัญญา และ สัจธรรม กลับมาครั้งนี้ก็เพื่อสานต่อในเจตนารมเดิมนั่นเอง
ดังนั้น การกลับมาของพระมหาคารม เป็นเรื่องจริง ส่วนปาราชิกหรือไม่ลองใคร่ครวญอีกสักครั้งเถิด
ก า ร ก ลั บ ม า ข อ ง พ ร ะ ม ห า ค า ร ม ห ลั ง จ า ก ข่ าว ก า ร ป า ร า ชิ ก
(ตายแล้วเกิดใหม่ หรือ ไม่ได้ถูกประหารจริง)
จากกระแสข่าวที่ให้ได้ยิน หรือได้อ่านตามอินเตอร์เนตเมื่อช่วงปลายปี 2553 จวบจนกระทั่งต้นปี 2554 นั้น เป็นไปในหัวข้อเกี่ยวกับ การปาราชิกเป็นส่วนใหญ่ และแน่นอน กระแสข่าวด้านลบคงไม่ได้มาจากทางผู้ที่ถูกกล่าวถึง (พระมหาคารม) เป็นแน่แท้
จึงมีคำถามที่อยากถามท่านสาธุชนทั้งหลาย รวมทั้งตัวข้าพเจ้าเองด้วยว่า การรับฟังข้อมูลเหล่านั้นได้นำหลักการเรื่อง กาลามสูตร มาปรับใช้มากน้อยเพียงใด ในช่วงแห่งกระแสข่าวการปาราชิกท่่านได้กลับไปลองค้น หรือกลับไปยังต้นตอเพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของข่าวลือนี้แค่ไหน
สิ่งที่ได้ลองพยายามสืบหาความจริงนั้น ณ ตอนนี้ ณ ขณะนี้ ยัง ไม่ สา มารถ หา สิ่ง ที่ เป็น การ ยืน ยัน ได้ ถึงการปาราชิกดังกล่าว
ถ้าท่านใดมีหลักฐาน ก็นำมาแสดงให้เห็นแท้เป็นที่ประจักษ์กับทุกฝ่ายไป เพื่อความโปร่งใสของเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อเริ่มเรื่องแล้ว ก็ควรจะสานต่อให้ครบถ้วนกระบวนความด้วยเถิด หรือว่าการนิ่งเงียบแล้วให้เรื่องราวและกระแสค่อยจางลงไป ผู้เสียหายก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรม
มาดูสุวรรณปัจจุบันกันเหอะ http://www.youtube.com/watch?v=yEL19Y0dur4
ครั้งนี้ขอนำเสนอ หัวข้อ "การดำเนินกิจกรรมของสุวรรณโคมคำ" ขึ้นมาก่อน หัวข้อ "การดำเนินการตามกฎหมายต่อพระมหาคารม" เนื่องจากเป็นเรื่องที่ เกี่ยวข้องกับสุวรรณโคมคำโดยส่วนรวม และศิษย์สุวรรณโคมคำทุกท่าน (ไม่ว่าจะเป็นชมรมสุวรรณโคมคำ หรือ มูลนิธิสุวรรณโคมคำ) ควรร่วมแรง ร่วมใจกัน ให้เป็นหนึ่งเดียว โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
ก า ร ด ำ เ นิ น กิ จ ก ร ร ม ข อ ง สุ ว ร ร ณ โ ค ม ค ำ
เดิมเมื่อเอ่ยถึงสุวรรณโคมคำแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันขึ้นมาระหว่างสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา โดยมีวัติถุประสงค์เพื่อเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาใ้ห้แก่สาธารณชน ด้วย รูปแบบ และ วิธีการหลากหลาย เช่น โหราศาสตร์ และกษิณ สมาธิ เป็นต้น โดยที่ให้ผู้คนต่างสามารถที่จะฝึกฝน และ นำความรู้ที่สืบทอดกันมา ได้ไปประยุกต์ใช้ในวิถีชีวิตปัจจุบัน อันแสนเร่งรีบ และเต็มไปด้วยการแข่งขัน
ทั้งนี้ การรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลมากกว่าสองคนขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์อันไม่แสวงหาผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ร่วมกัน มีทั้ง
1. รูปแบบที่ไม่เป็นทางการ และ
2. รูปแบบที่เป็นทางการ
สุวรรณโคมคำก็เช่นเดียวกัน ได้มีการจัดตั้งและรวมตัวกัน ทั้งรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ และเป็นทางการ อันได้แก่
1. ชมรม สุวรรณโคมคำ (รูปแบบที่ไม่เป็นทางการ) และ
2. มูลนิธิ สุวรรณโคมคำ (รูปแบบที่เป็นทางการ )
โดย ชมรม เป็น กลุ่มที่จัดตั้งขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงได้จัดตั้ง มูลนิธิ เพิ่มเติม โดยทั้งชมรมและมูลนิธิ ต่างก็เคยได้ร่วมทำกิจกรรมที่เป็นสาธารณกุศลต่างๆ ร่วมกันมาโดยตลอด
สาเหตุสำคัญที่สุวรรณโคมคำจำเป็นต้องมีการจัดตั้งมูลนิธินั้น เนื่องมาจากการจัดตั้ง ธรรมสถานสุวรรณาภา ซึ่งเป็นธรรมสถานที่ตั้งอยู่ในเขต สปก. นั่นหมายความว่าพื้นที่ปัจจุบันของธรรมสถานนั้น มิได้เป็นธรณีสงฆ์ แต่เป็นพื้นที่ของราชการ (แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะมีผู้มอบถวายให้กับทางสุวรรณโคมคำ ก็ยังถือว่าทางราชการมีกรรมสิทธิโดยแท้ หาใช่เป็นกรรมสิทธิของกลุ่ม หรือของบุคคล แต่อย่างใดไม่)
ทั้งนี้ ชมรม สุวรรณโคมคำ ไม่ใช่เกษตกร การเข้าไปเพื่อใช้พื้นที่สปก.ดังกล่าวเพื่อสาธารณประโยชน์ สาธารณกุศล จึงจำเป็นต้องทำในนามของบุคคลตามกฎหมายโดย
1. จัดตั้ง มูลนิธิ สุวรรณโคมคำ
2. นำเสนอวัตถุประสงค์ และจัดทำโครงการ สำหรับการใช้พื้นที่ดังกล่าวอย่างชัดเจน ต่อหน่วยงานราชการ
3. ทำโครงการที่ได้นำเสนอต่อราชการอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ในทางนิตินัย ธรรมสถาน ถือว่าอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิ ส่วนทางพฤตินัยนั้น ทั้ง ชมรม และ มูลนิธิ ต่างร่วมแรงร่วมใจกันสร้างธรรมสถานขึ้นมา
เริ่มต้นจากพื้นที่ รก ร้าง อันกว้างใหญ่ พัฒนาการมาสู่ สถานที่ อันมีสาธารณูปโภคที่จำเป็น ที่รองรับให้บุคคลทั่วไปเข้ามาฝึกกษิณ วิปัสนา รวมทั้งมีพื้นที่เพาะปลูกสำหรับ พืชสมุนไพรต่างๆ ธรรมสถานสุวรรณาภาแห่งนี้ไ้ด้เคียงคู่มากับ ชมรมสุวรรณโคมคำ และ มูลนิธิสุวรรณโคมคำ มานานร่วมครึ่งทศวรรษ
แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น สุวรรณโคมคำได้มีการแบ่งแยกกันออกเป็นสองกลุ่ม เป็น ชมรมสุวรรณโคมคำ และ มูลนิธิสุวรรณโคมคำ โดยการดำเนินการเผยแผ่ศาสนานั้นต่างฝ่ายต่างแยกกันทำกิจกรรม ส่วนธรรมสถานนั้นก็ถือเป็นสิทธิของมูลนิธิสุวรรณโคมคำไปตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ธรรมสถานจะไม่ตกอยู่ในสถาณะการณ์ที่ล่อแหลมต่อการถูกยึดคืน จากหน่วยงานราชการ ถ้าหากกิจกรรมต่างๆ ที่ได้เคยนำเสนอต่อหน่วยงานราชการนั้น มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
หมายความว่า ปัจจุบัน ธรรมสถานยังเอยู่ภายใต้สิทธิการดูแลของมูลนิธิ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามทางราชการเห็นว่าสถานที่แห่งนั้นมิได้ถูกใช้ ขาดการเหลียวแล ไม่เป็นตามวัตถุประสงค์ที่เคยยื่นขอไว้กับราชการ เมื่อนั้นทางราชการก็มีสิทธิที่จะทวงคนจากมูลนิธิได้เช่นกัน
เริ่มมีสัญญาณความเสี่ยงเกิดขึ้น โดยดูได้จากภาพของธรรมสถาน ที่แสดงผ่านทางเวบของชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ เปรียบเทียบให้เห็นธรรมสถานในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
เวบข้างล่างนี้เป็นภาพที่ เดิม ธรรมสถานได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ในขณะที่เวบต่อไปนี้จะเห็นได้ว่าธรรมสถานใน ปัจจุบันนี้ ต้นหญ้าขึ้นรกร้าง ขาดการดูแล เป็นอย่างมาก
อย่างน้อยภาพที่ออกมา น่าจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า ธรรมสถานนั้นได้รับ การพัฒนา และ การดูแล ให้อยู่ในสภาพที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ด้วยดีตลอดมา โดยสุวรรณโคมคำที่อยู่ภายใต้การดูแลโดยพระมหาคารม (ชมรมสุวรรณโคาคำ) ทั้งนี้ การพัฒนา และ การดูแล ดังกล่าวนั้น ต้องได้รับการเอาใจใส่ และดูแลเป็นอย่างมาก ทั้งด้าน เวลา แรงกาย ตลอดจนทุนทรัพย์ ด้วยเช่นกัน
แต่ปัจจุบันเป็นที่น่าเสียดายที่ทางมูลนิธิได้ออกประกาศห้ามมิให้ผู้ใดที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากมูลนิธิเข้าไปในพื้นที่ของธรรมสถาน (ประกาศตามเวบด้านล่าง)
http://www.komcome.com/annoucement/anouncement2.pdf
ซึ่งเป็นการห้ามมิให้ผู้ใดบุกรุกพื้นที่ หรือนั่นหมายความทางอ้อมว่า ต่อให้ทางชมรมสุวรรณโคมคำอยากเข้าไปเพื่อสานต่อโครงการที่ได้ยื่นขอต่อหน่วยงานราชการนั้นก็อาจมีความเสี่ยงในข้อพิพาททางกฎหมาย เรื่องการบุกรุกพื้นที่โดยมิได้รับอนุญาตก็เป็นได้
ดังนั้น เพื่อให้ ธรรมสถาน เคียงคู่ สุวรรณโคมคำ สืบไป ตลอดจนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม วิญญูชนทั้งหลายก็ควรที่จะหันหน้าเข้าหากัน มองให้เห็นถึงความจริงที่เกิดขึ้น แยกแยะการกระทำที่สมควร และไม่สมควร พร้อมกับเร่งมือ ร่วมแรง ร่วมใจกัน ปรับปรุง และบำรุง ธรรมสถานให้กลับมารุ่งเรืองดังเดิม กันด้วยเทอญ
ผัวหาบเมียคลอนช่วยกันทำมาหากิน
สรุปข่าวคดี ปี ’๕๕
สุวรรณโคมคำ
จากเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นแก่สุวรรณโคมคำ ตั้งแต่ ปี 2553 จวบจนถึงบัดนี้ ปี 2555 ก็เป็นเวลาร่วม 3 ปีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ชาวสุวรรณโคมคำแทบทุกคนไม่เคยรู้ก็คือ พวกแก๊งมูลนิธิ ฯ นอกจากปล่อยข่าวทำลายพระอาจารย์อย่างร้ายแรงสาดเสียเทเสียไปทั่วในหมู่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธ ตลอดจนในแวดวงโหราศาสตร์ รวมถึงในอินเตอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง จนวิชชาสุวรรณโคมคำอันประเสริฐเกิดภาพลักษณ์เน่าเสียเละเทะหมดสิ้นไปทั่วแล้ว เท่านั้นยังไม่พอยังแอบไปประชุมกัน ปลดพระอาจารย์ท่านออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิด้วย ทั้งๆที่พวกเขาก่อเรื่องและประกาศลาออกจากตำแหน่งต่อหน้าสาธารณะชนเป็นที่รู้เห็นกันเป็นจำนวนมากและสิ้นสภาพความเป็นกรรมการมูลนิธิแล้ว จนพระอาจารย์ต้องแบกมูลนิธิอย่างยากลำบากโดยลำพังแม้วิกฤติขนาดไหนท่านก็ไม่เคยทอดทิ้งให้มูลนิธิล่มสลาย แต่ระหว่างนั้นคนพวกนั้นกลับแอบไปประชุมกัน ( 30 พ.ย.53 ) ปลดท่าน อ้างว่าหาตัวท่านไม่เจอ ทั้งๆที่ตอนนั้นพระอาจารย์ท่านก็บริหารดูแลมูลนิธิอยู่อย่างเปิดเผยตามปกติ โดยคนพวกนั้นอ้างเอาเรื่องร้ายแรงที่พวกตนกุขึ้น ( ปล่อยข่าว ) ไปทั่วนั่นแหล่ะ มาผนวกกับการแอบอ้างวัดยานฯ แล้วประชุมเท็จปลดท่าน เพราะคนพวกนั้นนั่นแหล่ะที่กุเรื่องทำลายสุวรรณโคมคำเอง และลาออก ( ด้วยวาจา )จากการเป็นกรรมการมูลนิธิแล้ว สิ้นสภาพกรรมการแล้ว ( โดยมีวีดีโอบันทึกเหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนแน่นหนา )
สิ่งที่พวกเราชาวสุวรรณโคมคำทั้งหลายยังไม่รู้ก็คือ “ คนพวกนั้น ” เขียนบันทึกรายงานการประชุมเป็นลายลักษณ์อักษร เอาเนื้อเรื่องของข่าวลือร้ายแรงสาดเสียเทเสียเละเทะที่พวกตนกุขึ้นใส่ความพระอาจารย์และปล่อยข่าวไปทั่วนั้นแหล่ะมาบันทึกจาระไนเป็นรายงานการประชุม เฉพาะรายละเอียดส่วนนี้ก็มีบันทึกบรรยายไว้ ถึง 2 หน้ากระดาษ A4 บันทึกไว้ในสาระบบของมูลนิธิสุวรรณโคมคำและยื่นส่งกระทรวงมหาดไทย บันทึกไว้ให้เป็นเอกสารราชการอย่างเป็นทางการในระบบราชการไทยอย่างถาวรตราตรึงไว้ในประวัติศาสตร์สุวรรณโคมคำและประวัติศาสตร์ไทย โดยแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก่อความเสียหายร้ายแรงทำลายรากเหง้าของสุวรรณโคมคำอย่างโดยบริบูรณ์ตลอดกาลนานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ เพียงเพื่อจะใส่ความ ( ป้ายสี ) พระอาจารย์ ” และ “ เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง ”
ต้องทำถึงขนาดนั้น !!! ความโลภหนอความโลภ กิเลสหนอกิเลส
เราชาวศิษย์สุวรรณโคมคำไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ราชการแผนกมูลนิธิ ๆ ทุกคนยืนยันเลยว่า ไม่เคยมีมูลนิธิไหน( ทั้งประเทศ )เขาทำกันแบบนี้ จะปลดออก ฯลฯ ก็แค่ทำหนังสืออ้างถึงกฎ/ระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิข้อไหน แล้วปลด/เปลี่ยนจากใครเป็นใครเท่านี้ก็พอ ไม่ต้องจาระไนบรรยายรายละเอียด ( สาดเสียเทเสีย ) อะไรมา ที่พวกมูลนิธิกลุ่มนี้ทำอย่างนี้ประหลาดอย่างยิ่ง เสียหายอย่างยิ่ง มีพิรุธอย่างยิ่ง ( แท้จริง ใครเห็นใครก็รู้ทันทีว่ามีเจตนาอกุศลอะไรแฝงอยู่เบื้องหลังการกระทำเช่นนี้ ) นั่นคือการใส่ความ ฆ่า และ ฝัง พร้อมทั้งปักป้ายประจานโยนความผิด เพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องโดยไม่สนใจอะไรอื่นทั้งสิ้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่องค์กรของสุวรรณโคมคำ ฯลฯ นี้ ร้ายแรงและใหญ่หลวง ฯลฯ มากมายมหาศาล ถาวร สิ้นสูญ สิ้นกาลนาน ฯลฯ ขนาดไหน เมื่อทราบเรื่องนี้แล้วชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธผู้มีปัญญาทั้งหลาย สามารถใช้วิจารณญาณหยั่งทราบได้เองโดยเราศิษย์สุวรรณโคมคำไม่ต้องบรรยายเลยใช่ไหม……..
ไม่เพียงแค่นั้น คนเหล่านั้นยังบังอาจแอบอ้างเรื่องเท็จร้ายแรงสำทับ ( คงเพื่อทำให้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นเพราะกลัวคนไม่เชื่อและกลัวความเสียหายแก่พระอาจารย์ยังไม่มากพอ ที่จะหลอกให้คนพากัน(คล้อยตาม)ประณามท่าน ตลอดประวัติศาสตร์ พวกตนจะได้เป็นพระเอกนางเอกตลอดไป ) เข้าไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในรายงานการประชุมนั้นต่ออีกว่า คณะสงฆ์วัดยาน ฯ ตั้งอธิกรณ์ ไต่สวนครบถ้วนตามกระบวนการแล้วมีมติสงฆ์ให้ (จับ) พระอาจารย์สึก ด้วยอาบัติ “ ปฐมปาราชิก ” เมื่อวันที่ ฯลฯ ดังมีสลักหลังหนังสือสุทธิของท่านเป็นหลักฐาน
พูดซะน่าเชื่อถือขนาดนี้ ใครได้ยินก็ต้องคล้อยตามเป็นแน่ !!!
เพียงเพื่อสนองประโยชน์ของคนไม่กี่คน ( ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ) ทำลายสิ้น ความประเสริฐสูงส่ง ความบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ความเสียสละยิ่งใหญ่ ฯลฯ ขององค์กร รวมถึงวิชชาสุวรรณโคมคำ ที่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธทั้งหลายทุ่มเทเสียสละมาทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาลงสิ้นตราบเท่ากาลนาน
พระอาจารย์แม้เมื่อได้ทราบเรื่องนี้ ก็ยังสู้อุตส่าห์เมตตา ( ต่อคนพวกนั้น ฯลฯ ) และอดทน ( ทั้งที่ท่านเสียสละ เมตตา อดทน ฯลฯ มามหาศาลนับประมาณมิได้แล้วก่อนหน้านั้น ) พยายามค่อย ๆ คิดค่อย ๆ แก้ไขปัญหาใหญ่หลวงนี้แบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ( ให้สำเร็จด้วยดีให้จงได้ )เพราะไม่อยากให้เกิดภาพว่าชาวสุวรรณโคมคำทะเลาะกัน สุวรรณโคมคำและพระพุทธศาสนาจะยิ่งเสียหาย ก็เพื่อชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธและสรรพสัตว์ทั้งปวง ท่านพยายามอย่างอดทนและให้อภัยด้วยความสงสารในคนเหล่านั้น
และที่จริงทางแก้นั้นยังพอมีอยู่คือ ให้คนเหล่านั้นลาออกเสีย เปลี่ยนเป็นกรรมการในสายขาวที่พระอาจารย์คัดเลือกแล้ว จากนั้นให้กรรมการใหม่ ( สายขาว ) นั้นทำรายงาน ( บันทึก ) การประชุมสรรเสริญพระอาจารย์ ( ตามจริง )บันทึกไว้ในสาระบบของมูลนิธิสุวรรณโคมคำและยื่นส่งกระทรวงมหาดไทยตามขั้นตอน เพื่อบันทึกไว้ในสาระบบของราชการไทยสืบไปอย่างเป็นทางการเช่นกัน ( เพราะถ้าให้กรรมการเก่าบันทึกแก้ไขเอง พวกเขาต้องติดคุกกันหมดแน่ ด้วยความผิดที่พวกเขาก่อขึ้นมาก่อนหน้านี้แหละ )
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในอนาคตกาลภายหน้า ใคร ๆ ที่อ่าน / อ้างอิงประวัติศาสตร์สุวรรณโคมคำตามเอกสารราชการนี้ ก็จะถือเอาบันทึกครั้งหลังเป็นสำคัญ ( ตามหลักการสามัญทั่วไป ) ว่าสุวรรณโคมคำประเสริฐสูงส่ง บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ดีงาม ฯลฯ มาตั้งแต่ก่อตั้ง เพราะบันทึกครั้งแรกนับเป็นการเกิดปัญหาเข้าใจผิดกัน แต่แก้ไขได้ความกระจ่างแล้วโดยบันทึกครั้งหลังนี้ สิ้นความกังขาในประวัติศาสตร์สุวรรณโคมคำ ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธตลอดทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็จะได้รับอานิสงส์ผลบุญกุศลนี้กันถ้วนหน้า ปิดฉากปัญหาวุ่นวายเรื้อรังทั้งปวงซะที ( อย่างละมุนละม่อม ) บันทึกไว้เป็นเกียรติประวัติแก่สุวรรณโคมคำว่าชาวสุวรรณโคมคำทั้งปวงสมเป็นปราชญ์ รู้ผิด รู้แก้ไข รู้อภัย แก้ปัญหาได้ด้วยสันติวิธีอย่างที่กัลยาณชนคนดีทั้งหลายพึงกระทำ สมควรเอาเป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังอย่างแท้จริง
แต่แม้ว่าพระอาจารย์ท่านจะเมตตาแล้วเมตตาอีก ให้อภัยแล้วให้อภัยอีก เปิดโอกาสแล้วเปิดโอกาสอีกฯลฯ ขนาดไหนก็ตาม และแม้ฟ้อง ( คดี ) เพื่อเป็นการเตือนแล้ว พวกเขาก็ยังไม่สำนึก ไม่แก้ไข คนเหล่านั้น( แก๊งมูลนิธิ ) ก็ไม่ยอมรับโอกาสเหล่านั้น แต่กลับก่อเรื่องร้ายแรงเพิ่มเติมขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วน เช่น ส่งหนังสือแจ้งเรื่องเท็จเหล่านี้ไปที่เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ ฯลฯ ฝ่ายธรรมยุติที่พระอาจารย์ไปบวชอยู่ รวมทั้งให้คนตามปั่นป่วนทำลายพระอาจารย์ไปทุกที่ ไม่ว่าใน กทม.หรือพิษณุโลกหรือจังหวัดใดๆก็ตาม อย่างไร้สำนึกและไร้ความเป็นมนุษย์ก็ว่าได้ เพื่อปกปิดบิดเบือนความผิดเดิมของตนและใส่ความพระอาจารย์เพิ่มให้หนักเข้าไปอีก อย่างไร้มโนธรรม และความรับผิดชอบใด ๆ ต่อสุวรรณโคมคำและส่วนรวม
เรื่องร้ายแรงนี้เกิดขึ้นเพราะการกุข่าวขึ้นของพวกแก๊งมูลนิธิโดยแท้ จนในที่สุดแม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดยานฯ แม้ท่านไม่ใช่ชาวสุวรรณโคมคำอย่างพวกเราโดยตรง ก็ยังทนเห็นพระดี ๆ อย่างพระอาจารย์ถูกทำร้าย ใส่ความและตามทำลายด้วยเรื่องเท็จอย่างไม่หยุดหย่อนไม่ได้ จนท่านต้องออกมายืนยันความเป็นจริงด้วยตัวท่านเอง ด้วยการทำหนังสือรับรองตามความเป็นจริงว่า พระอาจารย์ไม่ได้ต้องอธิกรณ์อะไรและไม่ได้มีความผิดใดๆ ไม่ได้เป็นอาบัติอะไร ( พวกแก๊งมูลนิธิ )กุข่าวแอบอ้างวัดยานฯ ( เพื่อทำลายพระอาจารย์ ) กันไปเองทั้งนั้น (ตื่นเถิดชาวสุวรรณโคมคำเอย)
บัดนี้บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง ( รวมถึงถูกแอบอ้างว่าเกี่ยวข้อง ) กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันหมดแล้วว่าพระอาจารย์ไม่ได้มีความผิดหรือเป็นอาบัติอะไร และพวกเขาก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น / เกี่ยวข้องอะไรกับการใส่ความที่เกิดขึ้น กับพระอาจารย์เลย ไม่เคยมีอธิกรณ์ ไม่มีมติสงฆ์ หรือสลักหลังหนังสือสุทธิ ฯลฯ อะไรทั้งสิ้น เรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น พวก ( แก๊ง ) มูลนิธิล้วนกุข่าวขึ้นเองและแอบอ้างเอาเองทั้งนั้น
บัดนี้ ความจริงได้ถูกเปิดเผยโดยชัดแจ้งแล้วทิศทางของคดีและแนวทางของกฎหมายมีข้อสรุปที่ชัดแจ้งแล้ว ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ ต้องดำเนินไปตามความเป็นจริงที่ปรากฏขึ้นตามจริงแท้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย ในทางหลักกฎหมายถือว่าพระอาจารย์ชนะในเชิงคดีแล้วโดยเบ็ดเสร็จ เหลือเพียงดำเนินกระบวนการทางกฎหมายไปตามขั้นตอนจนครบถ้วน ผู้ที่ก่อเรื่อง / ทำความผิดเหล่านั้นก็ต้องรับโทษทัณฑ์ไปตามกฎหมายในที่สุด
ตอนนี้คดีที่ฟ้องไปแล้ว ที่โดนตัวพวกกรรมการมูลนิธิโดยตรงนั้นมีอยู่ 3 คดี คือ
1. คดีละเมิด
2. คดีปลอมแปลงเอกสาร
3. คดียักยอก (เงินของมูลนิธิ เช่น เงินทุนจดทะเบียน ฯลฯ )
ซึ่งคดีเหล่านี้เป็นเพียงคำเตือนให้พวกแก๊งมูลนิธิหยุดกระทำชั่วและสำนึกแก้ไข รวมทั้งรีบแสดงความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เช่น รีบคืนมูลนิธิให้กลับมาอยู่ในสายขาวได้แล้วเป็นต้น ถ้าพวกแก๊งมูลนิธิแสดงความสำนึกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ทางโจทก์ก็จะไม่เอาความ จะอภัยให้ เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป ตั้งใจทำความดีเพื่อส่วนรวมกันดีกว่า
แต่ถ้าเขาเหล่านั้นไม่สำนึก ไม่แก้ไขใด ๆ ไม่ยอมรับเอาทางออกอย่างผู้เจริญแล้วนี้ แต่กลับทำชั่วช้าสารพัดอย่างไร้ความเป็นมนุษย์ ฯลฯ อย่างที่เป็นอยู่นี้ พระอาจารย์ท่านก็ไม่มีทางเลือก เพราะศิษย์สุวรรณโคมคำทั้งหลายถามท่านว่า พระอาจารย์เมตตาต่อแก๊งคนชั่วยิ่งนัก แต่พระอาจารย์ไม่เมตตาต่อศิษย์สุวรรณโคมคำและชาวพุทธที่ดีทั้งหลายบ้างหรือ พระอาจารย์ทนเห็นพวกเขาสู้อุตส่าห์ลำบากแสนสาหัสต่อเนื่องยาวนานถึง 3 ปี เพื่อรักษาความดีแห่งชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธ เพราะเรื่องเท็จของคนชั่วไม่กี่คนที่ท่านเมตตาอยู่นั้นได้หรือ จะทนเห็นชาวสุวรรณโคมคำดี ๆ ทุกข์ยากต่อไปถึงเมื่อไร
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พระอาจารย์ท่านจึงตัดสินใจว่าจะให้โอกาสพวกนั้นเป็นครั้งสุดท้ายท่านจะรอถึงสิ้นเดือนมกราคม 2556 ถ้าพวกนั้นคืนมูลนิธิมาแก่สายขาวทันสิ้นเดือนมกราคม ท่านก็ขออนุโมทนาและยุติคดีทั้งปวง สุวรรณโคมคำก็จะฟื้นคืนรุ่งเรืองได้ในปี 2556 นี้แน่แท้ แต่หากพวกเขาไม่รับเอาโอกาสสุดท้ายนี้ พระอาจารย์ก็จำต้องฟ้องคดีหนักๆ ที่เหลืออีกนับไม่ถ้วนแก่คนพวกนั้นตามจริง เพราะคนพวกนั้นก่อเรื่องชั่วร้ายไว้นับไม่ถ้วน ซึ่งมีข้อมูลคดีอยู่ในมือพระอาจารย์หมดแล้ว เช่น คดี “ แจ้งข้อมูลเท็จต่อราชการ” (แจ้งความเท็จ) ฯลฯ ซึ่งทางกฎหมายเรียกว่าเป็นคดีอาญาแผ่นดิน เป็นคดีที่หนักมากที่เมื่อฟ้องแล้วจะหยุดไม่ได้ ต้องดำเนินไปจนจบ คนผิดต้องติดคุกสถานเดียวที่ผ่านมาท่านจึงไม่ยอมฟ้องคดีหนักๆ แบบนี้ ถ้าฟ้องแต่ต้น สุวรรณโคมคำก็พบแสงสว่างนานแล้ว แต่พระอาจารย์ท่านสงสารพวกคนพาล ท่านจึงรั้งรออยู่ก่อน แต่จากนี้ท่านจะปล่อยให้เลยไปกว่านี้อีกไม่ได้แล้วโดยเด็ดขาด เนื่องจากสุวรรณโคมคำย่อยยับมาตั้ง 3 ปีแล้ว ( ตติยัมปิ ) ด้วยน้ำมือคนพาล จากที่เคยรุ่งเรืองมากขึ้น ๆ อย่างยิ่งมาโดยตลอดในสมัยพระอาจารย์ // ฉะนั้นถ้าหากถึงสิ้นเดือนมกราคมแล้วพวกนั้นยังไม่คืนมูลนิธิมาอยู่ในสายขาวก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลือให้รั้งรออยู่อีกแล้ว ก็จำเป็นต้องฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน ให้พวกนั้นติดคุกหมดสิ้น ใช้คำตัดสินของศาลชี้ขาดเป็นที่ยุติ ประวัติศาสตร์จะได้บันทึกโดยชัดเจน เป็นการแก้ปัญหาและทำความกระจ่างไป ไม่ให้คลุมเครือ ยืดเยื้อ เรื้อรัง เป็นปัญหาค้างคาไปในประวัติศาสตร์อันยาวนานข้างหน้า ๆ ก่อความเสียหายใหญ่หลวงแก่สุวรรณโคมคำและสรรพสัตว์สิ้นกาลนาน
ถ้าหากพวกเขาดึงดันที่จะให้เป็นอย่างนั้น ก็สุดแล้วแต่เถิด เพราะเมื่อศาลตัดสินถึงที่สุดแล้ว คนพวกนั้นติดคุกกันหมดสิ้นแล้ว ความเป็นจริงก็กระจ่างใสบริบูรณ์ มูลนิธิก็จะถูกนำมาคืนสู่สายขาวเองในที่สุดเช่นกัน ก็นับเป็นการแก้ปัญหาได้ ( แต่กระบวนการในศาลอาจใช้เวลานานเป็นปี / หลายปี )
ระหว่างนี้พระอาจารย์ท่านก็เผยแพร่สุวรรณโคมคำอยู่เป็นปกติสุข ( ในธรรม ) มิได้เนิ่นช้าอะไรแต่ประการใด เพราะช่วงที่ผ่านมาท่านได้ค้นพบสุวรรณโคมคำ 16 ศาสตร์ ( โสฬส ) แล้ว และยังค้นพบรอยพระบาทของสมเด็จฯ ที่ประทับไว้บนก้อนหินเพื่อเป็นอนุสสติและเป็นประวัติศาสตร์แก่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธอีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้นท่านยังค้นพบศาสนสถานโบราณที่สมเด็จฯท่านเคยใช้ทำสังฆกรรม ฯลฯ สายสุวรรณโคมคำเราอีกด้วย นับว่าวิกฤตที่ผ่านมากลับให้คุณยิ่งแก่พระอาจารย์และชาวสุวรรณโคมคำสายขาวชนิดเขย่งก้าวกระโดดไปอีกหลายขั้นยิ่งนัก อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว นับเป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่แห่งจิตที่ตั้งมั่นในคุณธรรม และความเสียสละอันยิ่งยวด รวมถึงการบำเพ็ญบารมีอย่างอุกฤษฎ์ของพระอาจารย์ ที่สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วนที่แสดงออกมาเป็นเครื่องพิสูจน์บุญบารมีให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อชาวสุวรรณโคมคำและสรรพชีวิตทั้งปวงอย่างน่าอัศจรรย์
ซึ่งปัจจุบันท่านได้ถ่ายทอดบอกสอนวิชชากันอยู่ในหมู่ผู้ที่ ( ครูบาอาจารย์เรียกว่า.... ) “ คุณถึง ” ( เช่น มีความซื่อสัตย์จริงใจ มีคุณธรรม มีความเสียสละ ฯลฯ = สัจจะ ศีล ธรรมะ ) และท่านก็กำลังเรียบเรียงจัดทำเป็นโครงสร้างหลักสูตรฉบับปรับปรุงเตรียมเปิดสอนวิชชาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ตลอดสาย ชนิดตั้งแต่เริ่มต้นปูพื้นฐานกันไปเลยสืบเนื่องต่อไปจนถึงยอดอย่างบริบูรณ์โดยไม่ขาดสายในต้นปีหน้า ( ปี 2556 ) นี้
ขอเชิญชวนพวกเราชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธทั้งหลายมาร่วมมือกันสาง ( แก้ ) ปัญหานี้ให้เป็นบุญใหญ่อานิสงส์ใหญ่สืบอายุพระพุทธศาสนาสืบไปภายหน้าให้มหาศาลๆๆกันไปเลย อย่าได้หลงผิดทำบาปใหญ่ ทำร้ายครูบาอาจารย์ ทำร้ายสุวรรณโคมคำและพระพุทธศาสนากันอีกต่อไปเลย
ตื่นเถิดชาวสุวรรณโคมคำ..................โคมสว่างแล้ว
สาาา.....................ธุ ๆ ๆ
มีเอกสารล่าสุด เข้าไปดูได้ที่ Youtube
http://www.youtube.com/watch?v=JidR9Ucbbdg&feature=youtu.be
หรือเข้า Youtube แล้ว พิมพ์คำว่า "เอกสารจากวัด ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2555"
ท่านสามารถอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของ มูลนิธิ กับ สุวรรณโคมคำ ได้ ผ่านทาง facebook โดยพิมพ์คำว่า "มูลนิธิ กับ สุวรรณโคมคำ"
บทความต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่นำมาจาก facebook "มูลนิธิ กับ สุวรรณโคมคำ" ดังกล่าวข้างต้น
โดยชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ
ปฐมาจารย์(1) เกษตรเพชร ( พระอาจารย์มหาคารม อุตตมปัญโญ - เกิดมี )เป็นอาจารย์ผู้บากบั่น ทุ่มเท ค้นคว้าทดลองและเรียบเรียงสุวรรณโคมคำออกมาจนเป็นรูปธรรมชัดเจนใช้ประโยชน์ได้ และสอดคล้องกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาจริง มีคุณประโยชน์เอนกอนันต์แก่มหาชนและสรรพชีวิต ท่านเป็นผู้ก่อตั้งชมรมศิษย์ , มูลนิธิ ( กรุงเทพฯ ) และธรรมสถาน ( พิษณุโลก ) ท่านเป็นผู้บุกเบิกวิชชา ก่อตั้งองค์กร จัดทำโครงสร้าง ทำหลักสูตร บอกสอน ถ่ายทอดวิชชา ประสิทธิ์ หาทุนรอน เผยแพร่ ก่อสร้าง พัฒนา นำพา สร้างวิชชา สร้างบุคลากร สอน / สร้างครู ( เป็นครูของครูสอนสุวรรณโคมคำ ) บัญญัติศัพท์ ( เช่น สัตตาภิธรรม , กรรมจักร ฯลฯ ) จัดวิชชาออกเป็นหมวดหมู่ ( เช่น โหราศาสตร์แนวพุทธ , กสิณกรรมฐาน , สมาธิและสมุนไพรรักษาโรค เป็นต้น ) ฯลฯ สรุปก็คือ ท่านนั่นแลเป็นผู้ค้นคว้า พัฒนา สร้างทำและเสียสละถ่ายทอด บอกสอน ประสิทธิ์สรรพสิ่งของสุวรรณโคมคำมาทั้งส่วนที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม พวกเราทั้งหมดเดินตามท่านมาร่วมเป็นชาวสุวรรณโคมคำ พวกเราชาวสุวรรณโคมคำทั้งหลายล้วนกำเนิดในความเป็นสุวรรณโคมคำได้ด้วยมือของท่าน ด้วยสติกำลังของท่าน ท่านเป็นเสมือน“ บิดา ”(ปฐมาจารย์)ของพวกเราชาวสุวรรณโคมคำทั้งหลาย เมื่อก่อน ท่านรู้ว่าเรายังเป็นเด็ก ( ในสุวรรณโคมคำ ) ยังอ่อนด้อยทั้งวิชชา สติปัญญาและคุณธรรม ท่านจึงเพียรสอนย้ำย่ำฐาน สร้างทำร่ำไป จนกว่าพวกเราจะเติบใหญ่ มีศักยภาพ มีสติปัญญาและทรงคุณธรรมเพียงพอที่จะทรงวิชชาขั้นสูงๆขึ้นไปเสียก่อน จึงจะถ่ายทอดวิชชาขั้นต่อๆไปให้
แต่อยู่มาวันหนึ่ง คนสุวรรณโคมคำกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งอดทนต่อ “ ความอยาก” ของตัวเองไม่ได้ เลยหาเรื่องใส่ความเท็จ แอบปลดท่านออกจากตำแหน่งประธานองค์กร เพื่อยึดครองเป็นของๆตนและพวกพ้อง ท่านก็ไม่สนใจจะเอาเรื่องหรือถือสาอะไรกับความอยากของคนเพราะสงสารคนเหล่านั้น( ก็ลูกศิษย์ท่านทั้งนั้น ) เดี๋ยวจะติดคุกกันซะหมด แต่คนเหล่านั้นกลับย่ามใจในความเมตตาของพระอาจารย์ และก่อเรื่องจนร้ายแรงขึ้นกว้างขวางขึ้น พาลจะฮุบเอาสุวรรณโคมคำทั้งหมด พยายามปล่อยข่าวเท็จทำลาย ฯลฯ จนกระทบกระเทือนไปทั่ว จนพระอาจารย์เห็นว่าสิ่งนี้เกิดผลเสียหายมากต่อส่วนรวม จนท่านต้องออกมาสยบปัญหานี้ พวกนั้นพอภัยมาถึงตัวก็เดือดร้อนวุ่นวายฟูมฟายยกมือไหว้วิงวอนออดอ้อน ร้องขอความเมตตาจากพระอาจารย์ สารภาพผิดและขอโทษ( ด้วยวาจา )และขอร้องว่าอย่าให้เขาต้องขอโทษเป็นลายลักษณ์อักษรเลยเดี๋ยวพวกเขาจะติดคุกกันหมด พวกเขา ( ไม่ว่าพระหรือฆราวาส ) รับปากว่า
เมื่อได้รับการอภัยได้รับโอกาสแล้วจะออกไปสยบปัญหาวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้วยความสำนึก ด้วยการสารภาพผิดว่า เรื่องทั้งหมดนั้นพระอาจารย์ถูกใส่ความด้วยเรื่องเท็จ แท้ที่จริงแล้วพระอาจารย์ไม่ได้ทำผิดและไม่ได้มีความผิดอะไรใดๆตามข่าวที่ถูกกระพือไป เมื่อพระอาจารย์เห็นพวกเขาทุกข์ทรมานทุรนทุรายเช่นนั้นก็สงสาร ผนวกกับเห็นพวกเขารับปากรับคำมั่นเหมาะเช่นนั้น ก็เลยยอมให้อภัยแต่ก็ได้ทำบันทึกข้อตกลงในศาลไว้เป็นหลักประกันนับสิบๆ ข้อ เช่น ให้พวกเขาเอาเงินทำบุญผ้าป่าบ่อบาดาลแท็งก์น้ำที่พระอาจารย์และหมู่ศิษย์บอกบุญมาครบจำนวนแล้วและเอาเข้าไว้ในบัญชีขององค์กรครบถ้วนแล้วและสร้างบ่อบาดาลแท็งก์น้ำเสร็จสมบูรณ์ดีแล้วนั้นออกมาจ่ายผู้รับเหมาเขาซะให้ครบ เพราะเป็นเงินทำบุญบริสุทธิ์และเจาะจงสร้างบ่อบาดาลแท็งก์น้ำโดยเฉพาะ อย่าให้ขาดตกบกพร่องหรือผิดวัตถุประสงค์ได้( เพราะพวกนั้นแอบไปอายัดบัญชีไว้ )ไม่เช่นนั้นจะเป็นบาปมหันต์ ฯลฯ พวกเขาก็ตกลงรับปากรับคำต่อหน้าศาลและเซ็นรับรองข้อตกลงเหล่านั้นไว้ด้วยดี พระอาจารย์จึงยอมยกโทษให้และยุติกระบวนการทางกฎหมาย
พวกคนพาลเมื่อเป็นอิสระจากคดีแล้ว กลับเห็นการให้อภัยให้โอกาสด้วยเมตตาของพระอาจารย์เป็นความโง่เขลา เป็นการหลงกลลวงของพวกตนแล้ว และได้กลับทำตรงข้ามกับที่รับปากไว้ชนิดฟ้ากับเหว เช่น บอกผู้คนว่าพระอาจารย์ยอมสารภาพรับผิดแล้ว พระอาจารย์ขอโทษพวกตนในศาลแล้ว พวกตนชนะแล้ว ให้พากันมาโหมระดมตามทำลายพระชั่วนี้ให้สิ้นซากเด็ดขาดไป อย่าให้กลับเป็นภัยแก่พระพุทธศาสนาและสุวรรณโคมคำได้(แท้จริงแล้วเพื่อระดมฆ่าปิดปากพระอาจารย์ซะ ความจริงจะได้ไม่ถูกเปิดเผยตลอดกาลและพวกเขาจะได้ฮุบเอาสุวรรณโคมคำทุกส่วนให้หมด)จึงได้ระดมตามทำลายพระอาจารย์ทุกวิถีทางไปในทุกที่ โดยไม่สนใจถูกผิดดีชั่วอะไรใดๆทั้งสิ้น สร้างเรื่องเท็จ/ อกุศลไว้อีกนับไม่ถ้วน รวมถึงย่ามใจประพฤติอกุศล/ หลอกลวง / โกงกินสุวรรณโคมคำหนักขึ้นไปอีกๆชนิดไม่อายฟ้าอายดิน ลืมสิ้นว่าตนเป็นชาวพุทธ/ เป็นผู้ห่มผ้าเหลือง
รวมถึงไม่ใส่ใจประพฤติตามข้อตกลงในศาลใดๆด้วย และกลับทำตรงกันข้ามอย่างไร้ความละอาย ไร้ความรับผิดชอบ/ สำนึกใดๆต่อส่วนรวมและผู้คน เช่น ไม่เอาเงินบริสุทธิ์ที่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธบริจาคเจาะจงสร้างแท็งก์น้ำบ่อบาดาลมานั้น ไปจ่ายตามข้อตกลง โดยอ้างว่า ไม่มีเงินเหลือแล้ว(แล้วเงินหายไปไหน) ให้บริษัทมาถอดถอนและขนแท็งก์น้ำกลับไปซะ ไม่ขอจ่ายเงินอะไรให้ทั้งสิ้น ฯลฯ ไม่เว้นแม้แต่เงินทุนจดทะเบียนก่อตั้งองค์กร ก็ถูกพวกคนพาลพร่าผลาญเอาไป ซึ่งเป็นการผิดกฎขององค์กรและผิดกฎหมายอย่างรุนแรง ฯลฯ
พระอาจารย์ท่านเตือนแล้วเตือนอีกนับครั้งไม่ถ้วน ฯลฯ พวกคนพาลก็ไม่ฟัง พระอาจารย์ท่านจึงจำเป็นต้องดำเนินคดีแก่พวกคนพาล เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างและก่อความเดือดร้อนหลอกลวงชาวสุวรรณโคมคำและประชาชนโดยส่วนรวมให้เสียหายไปมากกว่านี้ ที่ผ่านมาพระอาจารย์ท่านไม่อยากให้เรื่องของคนสุวรรณโคมคำกลุ่มเล็กๆ ที่หลงผิดนี้ กระจายเปิดเผยกระเพื่อมออกไป จะสร้างความเสียหายแก่ภาพลักษณ์ของสุวรรณโคมคำทั้งปวงได้ จึงพยายามนิ่งและแก้ปัญหาอย่างสงบเป็นการภายใน แต่เมื่อคนพาลไม่หลงเหลือสำนึกผิดชอบชั่วดีและยังดื้อดึงก่อปัญหาให้ขยายวงกว้างออกไปโดยไม่คำนึงถึงส่วนรวมใดๆ เพียงเพื่อรักษาหน้าและความอยู่รอดของตน พระอาจารย์จึงต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ(เพราะคนพวกนั้นเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์ทั้งนั้น)ด้วยการฟ้องร้องพวกคนพาลไว้แล้วหลายคดี ทั้งแพ่งและอาญาเพื่อเป็นการตักเตือน เช่น คดีละเมิด , คดียักยอก , คดีปลอมแปลงเอกสาร เป็นต้น หากพวกคนพาลยังไม่ยอมหยุดก่ออกุศลกรรมและคืนองค์กรให้กลับมาอยู่ในสายขาวแล้ว พระอาจารย์ก็จำเป็นจะต้องฟ้องคดีหนักๆ ที่ทางกฎหมายเรียกว่า “อาญาแผ่นดิน” (ซึ่งมีโทษร้ายแรงมาก) สำทับเข้าไปอีกหลายคดี เพื่อเป็นการจัดการกับปัญหาเรื้อรังของสุวรรณโคมคำนี้ให้สิ้นซากไปเสียที
โดยปัจจุบันคดีที่ฟ้องไปในอันดับแรกๆ มีความคืบหน้าออกมาชัดเจนแล้วว่า การที่คนพาลแอบอ้างใส่ความเท็จแก่พระอาจารย์อย่างร้ายแรงแล้วอ้างว่า คณะสงฆ์วัดยานฯ ตั้งอธิกรณ์ไต่สวนครบถ้วนตามกระบวนการแล้วมีมติสงฆ์ให้(จับ)พระอาจารย์สึกด้วยอาบัติ “ปฐมปาราชิก” เมื่อวันที่ ฯลฯ ดังมีสลักหลังหนังสือสุทธิของท่านเป็นหลักฐานนั้นเป็นเท็จ เพราะบัดนี้บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง ( รวมถึงถูกแอบอ้างว่าเกี่ยวข้อง ) กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันหมดแล้วว่าพระอาจารย์ไม่ได้มีความผิดหรือเป็นอาบัติอะไร และพวกเขาก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น / เกี่ยวข้องอะไรกับการใส่ความที่เกิดขึ้นกับพระอาจารย์เลย ไม่เคยมีอธิกรณ์ ไม่มีมติสงฆ์ หรือสลักหลังหนังสือสุทธิ ฯลฯ อะไรทั้งสิ้น เรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น พวกคนพาลล้วนกุข่าวกันขึ้นมาเองและแอบอ้างเอาเองทั้งนั้น ดังมีหนังสือรับรองยืนยันของหลวงพ่อเจ้าคณะเขต และหลวงพ่อเจ้าอาวาสที่ปฏิเสธเรื่องแอบอ้างนี้เป็นหลักฐานชัดแจ้งแล้ว ที่จริงความคืบหน้าในศาลชัดเจนหมดแล้ว ล่าสุด กรรมการบางคนที่ถูกอ้างว่าเข้าร่วมประชุม(แอบ)ปลดพระอาจารย์ โดยมีองค์ประชุมครบตามระเบียบข้อบังคับขององค์กรและอยู่กันพร้อมหน้า ซึ่งได้มีมติให้ปลดพระอาจารย์ออกอย่างเป็นเอกฉันท์ เพราะพระอาจารย์ชั่วร้ายสารพัดนั้น ก็ทำหนังสือส่งมายืนยันต่อศาลอย่างเป็นทางการชัดเจนแล้วว่า เขาไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าร่วมประชุมหรือมีมติอะไรที่ว่านั้นแต่อย่างใด พวกคนพาล(ที่ก่อเรื่อง)โกหกกันเอาเองทั้งนั้น เป็นการกระทำที่มิชอบและขัดต่อกฎระเบียบขององค์กร แล้วยังทำมติเท็จ+ทำเอกสารเท็จไปยื่น(หลอกลวง)ราชการเพื่อปลดพระอาจารย์อีก ผิดกฎองค์กร ผิดหลักราชการ ผิดกฎศีลธรรม ฯลฯ มีโทษร้ายแรงทางกฎหมายและทำลายทุกสิ่งของชาวสุวรรณโคมคำ อันเป็นสมบัติทรงคุณค่าของชาวพุทธ ฯลฯ
เท็จทั้งนั้น เรื่องวัดยานฯที่เขาอ้างถึงก็เท็จ เรื่องการประชุม การลงมติขององค์กรก็เท็จ เรื่องกุข่าวใส่ความว่าพระอาจารย์ฮุบเงินสร้างแท็งก์น้ำบ่อบาดาล พระอาจารย์ขโมยเงินทุนจดทะเบียน พระอาจารย์ชั่วร้ายสารพัดฯลฯ ก็เท็จทั้งสิ้น(ที่จริงพวกเขาต่างหาก เมื่อได้ครององค์กรแล้วกลับฮุบเงินแท็งก์น้ำฯและขโมยเงินทุนจดทะเบียนฯลฯขององค์กรไปเสียเองฯลฯ) ข้อมูลหลักฐานความเป็นจริงฯลฯของเรื่องต่างๆเหล่านี้ถูกเปิดเผยออกมาชนิดไร้ข้อกังขาแล้วในศาล พระอาจารย์ท่านก็จำเป็นต้องทยอยฟ้องพวกนั้นเพิ่มขึ้นทีละคดีๆ (ตามข้อมูลหลักฐานการทำชั่วของพวกเขาที่มีอยู่อย่างมหาศาล และมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆซึ่งตอนนี้พวกคนพาลหมดทางสู้ทุกทางแล้วเพราะจำนนต่อหลักฐานจนหมดสิ้น ขืนสู้ก็ต้องติดคุกยกแก๊งกันหมดแน่ๆ) เพื่อให้องค์กรถูกมอบกลับคืนมาอยู่ในสายขาว จะได้จบเรื่องกัน(อย่างสันติ)ซะที เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นพระอาจารย์จะยกโทษให้คนพาลเหล่านั้นและยุติคดี แต่พวกเราชาวสุวรรณโคมคำไม่เห็นด้วยที่จะยกโทษให้คนเหล่านั้น ขอให้พระอาจารย์ดำเนินคดีทั้งหลายให้ถึงที่สุดเพื่อดำเนินการไต่สวนเปิดโปงและนำคนผิดมาลงโทษให้หมด มิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป และส่วนรวมจะได้สงบสุขอย่างยั่งยืน
พวกศิษย์พาลกลุ่มนี้พยายามขจัดพระอาจารย์(ของตัวเอง)ทุกวิถีทาง เพราะพวกเขาได้วิชาไปแค่ผิวเผินจึงต้องแอบอ้างสร้างภาพสารพัด พยายามบิดเบือนหาว่าเขาลอกเลียน ฯลฯ ทั้งๆที่พวกตัวเองแลเป็นศิษย์เขา เรียนจากเขา ใช้วิชชา ใช้ผลงานการค้นคว้า/ สร้างทำของเขา แต่เพราะพวกคนพาลรู้แน่ชัดว่า ตราบใดที่พระอาจารย์ผู้ค้นคว้า ผู้เรียบเรียง ผู้ทรงวิชา ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงของแท้ยังอยู่ พวกเขาก็ฮุบสุวรรณโคมคำไม่ได้แน่ จึงพยายามกำจัดพระอาจารย์อย่างสุดกำลัง
ปฐมาจารย์เกษตรเพชร ท่านเป็นผู้ก่อตั้ง สร้างทำ นำพา ทั้งวิชชาและองค์กรสุวรรณโคมคำทั้งหมด(ชมรมฯ , มูลนิธิ , ธรรมสถาน)มากับมือ ด้วยบารมีอันสั่งสมมาและมหาปณิธานอันมุ่งมั่นเพื่อมหาชนและสรรพชีวิต แม้จะถูกศิษย์พาลใส่ความแย่งชิงองค์กรไปบางส่วน ท่านก็ยังคงบำเพ็ญบารมีและเผยแผ่วิชชาอย่างมุ่งมั่นตามปกติ รู้ชื่นตื่นเบิกบานในธรรมสม่ำเสมอ พรั่งพร้อมด้วยปัญญาและเมตตามิเว้นวาย ท่านยังคงประสิทธิ์บอกสอนวิชชาสุวรรณโคมคำเป็นประจำที่ชมรมศิษย์ฯ เหมือนกิจวัตรที่เคยทำมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ( ชมรมฯถูกท่านก่อตั้งขึ้นมาเป็นอันดับแรกก่อน ภายหลังท่านจึงก่อตั้งมูลนิธิและธรรมสถานขึ้นตามมา แต่ก็โดยการบริหาร อุ้มชู สนับสนุน พัฒนา สร้างทำโดยตัวท่านและชมรมฯ มูลนิธิและธรรมสถานยังพึ่งตัวเองไม่ได้ ชมรมฯและพระอาจารย์เป็นเสาหลักในการบริหารเผยแผ่พัฒนา สร้างทำองค์กร+วิชชามาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้)
ปัจจุบันพระอาจารย์ท่านก็ยังคงเป็นผู้สร้าง/ ผู้คัดเลือกครูบาอาจารย์ ผู้มีศักยภาพและคุณถึง ( มีคุณสมบัติ มีคุณธรรม ฯลฯ)และดูแลการเรียนการสอนตามปกติ แถมในปัจจุบันท่านยังถ่ายทอดบอกสอนวิชชาขั้นสูงๆขึ้นไปกว่าแต่ก่อนอีกด้วย เพราะครูบาอาจารย์รุ่นปัจจุบันมีความอดทนแข็งแกร่ง มีสติปัญญาบารมี สัตย์ซื่อถือคุณธรรม มีคุณสมบัติ และศักยภาพสูงกว่าแต่ก่อนมาก สามารถรองรับวิชชาได้โดยกิเลสไม่กำเริบ
พวกเราชาวชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำรู้สึกภูมิใจมากและรู้สึกว่าพวกเราโชคดีมาก ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา และมีใจน้อมนำมาศึกษาปฏิบัติในพุทธธรรม นำพามาพานพบเป็นศิษย์ปฐมาจารย์แห่งสุวรรณโคมคำผู้ล้ำปัญญา ทรงคุณธรรม นำพาสั่งสมบำเพ็ญบารมี พวกเราชาวชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำพร้อมที่จะสร้างทำบำเพ็ญคุณงามความดี สร้างสมบารมีธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไปและประกอบในกตัญญูกตเวทิตา กุศลสัมมาทิฏฐิเสมอ ดังที่พวกเราได้ร่วมเสียสละ สร้างทำทั้งวิชชาและองค์กรสุวรรณโคมคำทั้งหมดมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ และตลอดไปด้วยบารมีธรรมและปีติสุขอันอุดม
ระหว่างนี้พระอาจารย์ท่านก็เผยแผ่สุวรรณโคมคำอยู่เป็นปกติสุข ( ในธรรม ) มิได้เนิ่นช้าอะไรแต่ประการใด เพราะช่วงที่ผ่านมาท่านได้ค้นพบสุวรรณโคมคำ 16 ศาสตร์ ( โสฬส ) แล้ว และยังค้นพบรอยพระบาทของสมเด็จฯ (บูรพาจารย์)ที่ประทับไว้บนก้อนหินเพื่อเป็นอนุสสติและเป็นประวัติศาสตร์แก่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธอีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้นท่านยังค้นพบศาสนสถานโบราณที่สมเด็จฯท่านเคยใช้ทำสังฆกรรม ฯลฯ สายสุวรรณโคมคำเราอีกด้วย นับว่าอุปสรรควุ่นวายที่ผ่านมากลับให้คุณยิ่งแก่พระอาจารย์และชาวสุวรรณโคมคำสายขาวชนิดเขย่งก้าวกระโดดไปอีกหลายขั้นยิ่งนัก อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว นับเป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่แห่งจิตที่ตั้งมั่นในคุณธรรม และความเสียสละอันยิ่งยวด รวมถึงการบำเพ็ญบารมีอย่างอุกฤษฎ์ของพระอาจารย์ ที่สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วนที่แสดงออกมาเป็นเครื่องพิสูจน์บุญบารมีให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อชาวสุวรรณโคมคำและสรรพชีวิตทั้งปวงอย่างน่าอัศจรรย์
ซึ่งปัจจุบันท่านได้ถ่ายทอดบอกสอนวิชชากันอยู่ในหมู่ผู้ที่ ( ครูบาอาจารย์เรียกว่า.... ) “ คุณถึง ” ( เช่น มีความซื่อสัตย์จริงใจ มีคุณธรรม มีความเสียสละ ฯลฯ = สัจจะ ศีล ธรรมะ ) และท่านก็กำลังเรียบเรียงจัดทำเป็นโครงสร้างหลักสูตรฉบับปรับปรุงเตรียมเปิดสอนวิชชาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ตลอดสาย ชนิดตั้งแต่เริ่มต้นปูพื้นฐานกันไปเลยสืบเนื่องต่อไปจนถึงยอดอย่างบริบูรณ์โดยไม่ขาดสายในต้นปี 2556 ณ ชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ ( พฤ. 28 ก.พ. 2556 )ซึ่งนับเป็นรุ่นที่ 21 แล้ว นับตั้งแต่ก่อตั้งชมรมฯขึ้นมาเมื่อปี 2547
ท่านผู้ใฝ่ใจในวิชชาและบำเพ็ญสัมมาปฏิบัติบารมีทั้งหลาย ท่านจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพวกหลอกลวง ใส่ความเท็จทำร้ายครูบาอาจารย์ของตนเอง เพื่อแย่งชิงองค์กรด้วยความละโมบ ฯลฯ หรือจะมาฝากตัวเป็นศิษย์ของปฐมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญวิชชา ทรงคุณธรรม ผู้ก่อตั้งองค์กร ฯลฯ ผู้เปี่ยมด้วยปัญญาและเมตตาเสียสละดี ก็ตรองดูเอาด้วยวิจารณญาณตามสมัครใจเถิด
หมายเหตุ
เป็นแค่เณรน้อย ตั้งตัวเป็นปฐมาจารย์ สมควรรึนี่ เขียนบรรยายเหมือนนิยายน้ำเน่า
ปฐมาจารย์ จอมหื่น
ไอ้เณรคำกะไอ้เณรคารม เฮี้ยพอกัน อึ๊บเก่ง เอาเก่ง โดนจับสึกแล้วหนีบวชอีก เหี้ย
บ้าๆๆๆ พวกคุณ ไปด่า สามเณร เกษตรเพชร กันทำไมเหรอ เขาอาจจะปาราชิก แต่ท่านอุตสาหบวชเป็นเณร บิณฑบาตเลี้ยงสาวก และตอนนี้กำลังดาวรถ เก๋งอยู่ ลูกศิษย์คนใกล้ชิด ทนไม่ได้ต้องหลีกหายไปน่าสงสารมาก และ คนไปไหว้ครูที่ชมรมสุวรรณกุมกาม ก็ 4 คนตามรายงาน เห็นใจ สามเณรท่านเหอะครับ และตอนนี้ก็ไม่มีวัดอยู่ อยู่ที่ชมรม ซุกๆๆซ่อนๆๆอยู่ โปรดเห็นใจกันเถิดครับ
ใครก็ได้ช่วย อนุเคราะห์ พาสามเณรกลับวัดที เพราะว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ชมรมสุวรรณโคมคำ แถว สาธุประดิษ 33 หลังตลาดรุ่งเจริญ http://www.srisuwankhomkhum.com/index.php?option=com_content&view=section&layout=blog&id=32&Itemid=94 จะชอบนั่งแท๊กซี่ ออกบิณฑบาต ช่วง 06.00 จากบางรัก -สาธร -สีลม(ไล่ล่าหาปัจจัย อึ๊บสาว) และ จะนั่งแท๊กกลับวัดทุกวัน เฮ้อ ศาสนาเสื่อมเพราะไอ้เวรนี่ อีกแล้ว
ตอนนี้จำอยู่วัดไหนค่ะ