เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับทราบเรื่องราวของท่านผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับท่านผู้นี้ แต่ได้ยินเรื่องราวของท่านมาพักหนึ่ง ท่านเป็นฆารวาสผู้ปฎิบัติธรรมมาหลายสิบปี และเท่าที่รับทราบมา ท่านเป็นผู้บรรลุธรรมขั้นสูง (อาจจะสูงกว่าโสดาบัน ) ข้าพเจ้าได้รับทราบเรื่องราวของท่านเรื่องหนึ่งโดยละเอียด จากเอกสารการบรรยายทางธรรม และเอกสารโต้ตอบต่อคำถามทางธรรมบางประเด็นที่มีคนสนใจ คำถามจากบรรดานักวิทยาศาตร์ นักวิชาการระดับสูงของประเทศ ในจำนวนนั้นมีหมอและนักวิทยาศาสตร์ อยู่ด้วยหลายคน
ท่านผู้นี้บอกเล่าถึงเรื่องการปฎิบัติและประสบการณ์ส่วนตน ที่ข้าพเจ้าอ่านแล้วถึงกับอึ้ง ท่านบอกเล่าถึงสภาวะธรรมในสมาธิภาวนาที่มองเห็นการกำเนิดเกิดมาของตนเองย้อนหลังไปตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มต้นในท้องแม่เลยทีเดียว เริ่มต้นตั้งแต่เป็นเชลที่เริ่มมีการแบ่งตัวก็ว่าได้ ท่านมองเห็นร่างกายที่เกิดจากความสืบเนื่อง ร่างกายที่เชื่อมโยงกับสรรพสิ่งอื่นๆ จากข้าวที่กินเข้าไป..แปรเปลี่ยนเป็นร่างกายที่เป็นอยู่ และการเสื่อมสลายที่จะกลายกลับไปสู่ดินอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นท่านมองเห็นลักษณะอาการของจิต ของผู้คนที่กำลังจะตาย เห็นในขั้นตอนของจิตที่กำลังละจากร่าง ไม่นับรวมถึงการเห็นแหล่งรวมของจิตที่เพิ่งตายลง และเข้าไปอยู่ยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อรอเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ท่านใช้คำว่าภพภูมิกลาง และเรียกสิ่งเหล่านั้นว่า สัมภเวสี
เรื่องเหล่านี้ฟังดูแล้วเหมือนเรื่องในหนังในนิยาย แต่สิ่งที่ท่านเล่า คำถามที่ท่านตอบให้กับท่านผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านั้นฟัง คือภาษาทางธรรม และท่านเล่าจากประสบการณ์ของตนเอง ที่ไม่ใช่เรื่องแต่ง แม้ท่านจะกล่าวเรื่องราวในภาษาทางเถรวาท แต่สิ่งที่ท่านบอกเล่านั้นตรงกับภาษาทางวัชรยานอย่างมากทีเดียว
ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ประตูสู่สภาวะใหม่ เป็นเรื่องราวในคัมภีร์มรณะศาสตร์ของธิเบต ที่กล่าวถึงการตาย และเล่าเรื่องว่าจะเกิดอะไรขึ้นขณะกำลังจะตายและหลังจากตายไปแล้ว ในหนังสือเล่มนั้นเล่าถึงช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน หลังจากการตาย จิตที่ละจากร่างจะไปอยู่ในโลกของบาร์โด เพื่อรอไปเกิดใหม่ ที่นั่นจะเป็นโลกของกายละเอียด ผู้ตายจึงสามารถไปที่ไหนๆก็ได้ เพียงแค่คิด ที่นี่คือที่เปลี่ยนภพชาติ เป็นเสมือนอาคารผู้โดยสารขาออก รอขึ้นเครื่องที่จะไปเกิดใหม่ในภพภูมิต่อไป แม้จะใช้ภาษาและคำเรียกต่างกัน แต่เนื้อหาและความหมายคือสิ่งเดียวกัน ประหนึ่งว่าข้าพเจ้าได้อ่านทฤษฎีสภาวะการตายจากหนังสือเล่มนี้ แล้วข้าพเจ้าก็ได้รับฟังได้รับทราบเรื่องราวจากผู้ที่มีประสบการณ์และรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจริงๆ และเป็นไปแบบเดียวกับที่หนังสือว่า
สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจก็คือ แม้ท่านผู้นี้จะกล่าวด้วยภาษาทางศาสนาแบบเถรวาท ทว่าเนื้อหานั้นไม่ได้แตกต่างจากทางวัชรยานเลยแม้แต่น้อย โลกของบาร์โด กับโลกของสัมภเวสี คือเรื่องเดียวกัน ไม่นับรวมวันเวลาที่จะอยู่ในโลกของสัมภเวสี และบาร์โดที่ตรงกัน คือ 49 วัน
ต่อเรื่องราวการตายในทางวัชรยาน คัมภีร์มรณะศาสตร์ของธิเบตนั้น กัลยาณมิตรผู้รู้ของข้าพเจ้าเคยเล่าว่า จากที่ค้นคว้าและรู้มา มีเรื่องเล่าว่า กูรู รินโปเช ได้ซ่อนคัมภีร์และหลักคำสอนต่างๆ ของศาสนาพุทธวัชรยานไว้หลายแห่งในเทือกเขาหิมาลัย และท่านได้กล่าวว่าเมื่อถึงเวลาอันควรจะมีผู้มีบุญมาค้นพบ คัมภีร์ทั้งหลายที่ซุกซ่อนไว้เหล่านี้เรียกว่าเธอร์มา หนึ่งในคัมภีร์ที่มีพระลามะอาวุโสท่านหนึ่งค้นพบก็คือ คัมภีร์มรณะศาสตร์แห่งธิเบต คัมภีร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของโลกหลังความตาย และการเปลี่ยนผ่านไปยังภพภูมิ อื่นๆ นั่นเอง
ก่อนที่เราจะกล่าวถึงเรื่องความเชื่อ และการเห็นอะไรที่เป็นตุเป็นตะ เกินกว่าตาเนื้อของมนุษย์จะมองเห็น เราต้องมาคิดถึงหลักวิทยาศาสตร์ก่อน ข้าพเจ้าได้ความรู้เรื่องนี้มาจากหนังสือที่ชื่อไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น ของคุณหมอสม สุจีรา หนังสือเล่มนี้ได้บอกเล่าอธิบายถึงการมองเห็นในโลกสองมิติ และสามมิติ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า มดนั้นอยู่ในโลกของสองมิติ ถ้าจะกล่าวในภาษาทางธรรมก็คือมดอยู่ในภพภูมิที่ต่ำกว่าภพภูมิมนุษย์ อยู่ในโลกของสองมิติ ดังนั้นเมื่อมดมองเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งตั้งอยู่ มดย่อมมองเห็นกล่องนั้นเป็นภาพกล่องแบบมดๆ คือมองไม่เห็นเหมือนเรา และเพราะมดมองเห็นเพียงสองมิติ ถ้าเราหย่อนก้อนน้ำตาลมาจากด้านบน สิ่งที่มดเห็นก็อาจเป็นแบบที่ว่าคือ อยู่ๆ ก้อนน้ำตาลก็ปรากฏออกมาเบื้องหน้า ข้าพเจ้านึกไปถึงการมองเห็นอะไรสักอย่างที่อยู่ในมิติอื่นภพภูมิอื่น เป็นไปได้เหมือนกันที่อยู่ๆเราอาจจะเห็นบางสิ่งบางอย่างปรากฏต่อหน้าจากมิติที่สี่ เหมือนออกมาจากความว่างเปล่า อยู่ๆก็ปรากฏออกมาเบื้องหน้าเรา
เราอยู่ในโลกของสามมิติ เรามีความสามารถจำกัดในการมองเห็นสิ่งต่างๆ แต่ในโลกสี่มิตินั้นมีแกนเวลาเป็นตัวแปรด้วย เป็นที่ทราบกันว่า เวลาในที่ต่างๆไม่เท่ากัน เวลาในอวกาศแต่ละตำแหน่งก็ไม่เท่ากัน มิติที่สี่จึงยังเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์งุนงงอยู่ แต่พวกเขาก็ยอมรับว่า เวลาแต่ละที่แต่ละแห่งไม่เท่ากัน ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวที่ว่า เวลาในแต่ละภพภูมินั้นไม่เท่ากัน เวลาในภพภูมิมนุษย์ย่อมไม่เท่ากับเวลาในภพภูมิของสัตว์เดรฉาน เวลาในภพภูมิของเทวดาก็ต่างจากเวลาในภพภูมิเรา อายุขัยจึงต่างกันไป เมื่อคิดตามหลักของวิทยาศาตร์ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่า ในการอยู่เพียงมิติที่สามของเรา จะสามารถบอกกล่าวว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นไม่มีอยู่จริง เพราะการรับรู้เรามีแค่นั้น การที่มดมองเห็นก้อนน้ำตาลปรากฏออกมา ก็อาจจะเหมือนว่าบังเอิญเราไปมองเห็นบางสิ่งบางอย่างเช่นเทวดาหรือเปรตปรากฎออกมาจากมิติที่สี่ก็เป็นได้ เราไม่ควรเชื่อตาเนื้อของเรามากจนเกินไปนัก เพราะปัจจุบันนี้เรายังไม่มีเครื่องมือที่พิเศษมากพอในการช่วยให้มองเห็นในเรื่องนี้
ตอนที่ข้าพเจ้าเรียนเรื่องของโครงร่างมนุษย์ ในวิชา Microbiology ทฤษฎีบอกกล่าวว่า ผนังลำไส้ชั้นในประกอบด้วยชั้น mucosa ที่เป็นเซลเล็กๆเรียงต่อกัน ซึ่งแน่นอนว่าเรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่เมื่อเราดูผ่านกล้องจุลทรรศ์ด้วยกำลังขยายสูง เราก็มองเห็นแบบที่ท่านว่า ผนังลำไส้ของเราชั้นในสุดมีเซลเล็กๆเรียงตัวต่อกันเป็นแถวจริง และบางเซลก็มีหน้าตาแปลกๆแตกต่างกันไป แต่ถ้าเรามองด้วยตาเปล่าๆ เราก็มองเห็นแค่เพียงชิ้นส่วนของลำไส้ขดหนึ่งที่วางอยู่ เราเห็นได้แค่นั้น
ดังนั้นการมองเห็นของคนบางคนที่บรรลุธรรมขั้นสูงอาจจะไม่ใช่การเห็นแบบธรรมดาๆ ของเรา ต่อเรื่องการเห็นการเล่าแบบนี้ ข้าพเจ้าเคยได้ยินได้ฟังเรื่องเล่าของหลวงปู่มั่น หลังจากท่านมาอยู่ที่เชียงใหม่พักหนึ่ง ตอนที่ท่านต้องเดินทางกลับไปอีสาน มีเรื่องเล่าว่า ที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ มีเทวดาเหาะมาส่งท่านและร้องห่มร้องไห้เสียดมเสียดายที่ท่านจำต้องจากเมืองเหนือไป ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคนรุ่นใหม่ผู้ไม่สนใจเรื่องเล่าและไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ คงหัวเราะจนฟันหักถ้าได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วหลังการเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติสมาธิภาวนา ข้าพเจ้าหัวเราะไม่ออก เพราะมองเห็นว่ามีความเป็นไปได้ และจนปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อไปแล้วว่า เทวดาท่าจะมีจริง รวมทั้งเรื่องเปรต นั่นด้วย
การได้รับทราบเรื่องราวของการตาย และสภาวะระหว่างตาย การไปสู่ภพใหม่เมื่อไม่กี่วันมานี้ มันคือการได้รับทราบเรื่องราวของการเดินทางจากจุดสิ้นสุดเพื่อกลับไปสู่จุดเริ่มต้น การเดินทางของจิตที่ไปพร้อมกับพลังแห่งกรรมทั้งหลายทั้งปวง และนี่เป็นเรื่องจริงๆ ที่ไม่ใช่ความเชื่อที่ว่าตามๆกันมา ข้าพเจ้าเริ่มตระหนักรู้อย่างชัดแจ้งว่า มีการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเล่าเล่นๆ และมีพยานรู้เห็นมาช่วยย้ำเตือนบอกกล่าวถึงเรื่องราวดังกล่าวด้วย ในครั้งนี้ข้าพเจ้าถึงกับใจสั่นและหวาดกลัวขึ้นมาอย่างจับจิต เปล่า..ข้าพเจ้าไม่ได้กลัวว่าจะไปสู่ภพภูมิไหนที่ไม่ดีหลังตาย ไม่ได้กลัวว่าจะไม่ได้ไปเกิดเป็นเทวดา เพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้ากลัวแทนคนหมู่หนึ่งหรือหลายๆหมู่ที่ต่างยังก่อกรรมทำร้ายคนอื่น ยังหลงในอำนาจวาสนา ยังหลงคิดว่าชาตินี้มีชาติเดียว หลงในวัตถุนิยมอย่างสุดโต่ง หลงในการใช้ชีวิตแบบโลกๆ หลงในการมีการเป็นอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่แบบโลกๆ แถมไม่คิดทำความดีใดๆ ไม่คิดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์คนไหน ชีวิตหลังจากการตายของท่านเหล่านี้ อาจคือการเดินทางที่ยาวนาน เดินทางกลับไปสู่ความทุกขเวทนาที่ไม่อาจจะบรรยายได้ ในภพชาติต่อไป .....
ถ้าชาวพุทธเชื่อเรื่องเวรกรรมจริงๆ เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ พวกเขาย่อมไม่ทำบาป ไม่เบียดเบียนทำร้ายคนอื่น พวกเขาจะกลัวอย่างสุดจิตสุดใจจนมดสักตัวก็ฆ่าไม่ลงด้วยซ้ำ แต่เราเป็นแค่เมืองพุทธเฉพาะในนาม ชาวพุทธที่แท้ทั้งหลายหายากยิ่ง เราจึงยังคงเบียดเบียนทำร้ายกันอยู่ ความวุ่นวายในประเทศชาติและสังคมขณะนี้ สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนว่า ศาสนาพุทธและหลักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์กำลังเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ เสื่อมถอยไปจากบ้านเมืองของเรา.
น่าสนใจค่ะ
แต่ที่เคยทราบมาพระท่านว่า
ตายแล้ว จิตจะไปเกิดใหม่ทันทีไม่ใช่หรือ
จุติ => อุบัติ
แล้วสัมภเวสี ที่เข้าใจก็คือ จิตที่เกิดใหม่แล้ว
ในรูปแบบหนึ่งที่ไม่มีตัวตนทางวัตถุให้จับต้อง
ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วคืออย่างไรแน่
แต่อย่างไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการหลงวนเวียนอยู่กับกิเลสของตัว จนก่อกรรมไม่สิ้นสุด
สวัสดีค่ะคุณจิด้า
ถูกต้องเลยค่ะ ในทางเถรวาทเรา จิตที่ดับแล้วจะไปเกิดใหม่ทันที เพราะท่านว่าจิตนั้นไวมาก นั่นคือตายปั๊บจะเกิดปุ๊บ ประมาณว่าไม่มีวิญญานเร่ร่อน แถมไม่มีสถานที่มาเป็นอุปสรรค เรียกว่าตายที่เมืองไทยก็ไปเกิดที่อเมริกาได้ทันที
แต่ในทางวัชรยาน กล่าวถึงช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ช่วงเวลาในโลกของบาร์โด ที่มี 49 วัน ตอนที่อ่านเรื่องของวัชรยานก็รู้สึกสงสัยมากทีเดียว พอมาได้รับทราบเรื่องราวของท่านผู้หนึ่งที่ปฎิบัติธรรมและเป็นเถรวาท จากประสบการณ์ที่ท่านเล่า มีความเหมือนกันมากกับเรื่องราวทางวัชรยาน
มีข้อคิดเห็นส่วนตนกับเรื่องนี้ โดยขออ้างอิงกึ่งวิทยาศาสตร์เล็กน้อย คือ การเหลื่อมล้ำทับซ้อนของเวลา ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากมิติหนึ่งไปยังอีกมิติหนึ่ง หรือภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่งเวลาอาจเหลื่อมกัน จะเรียกว่า transit time รึเปล่าไม่ทราบ คงเหมือนเราเดินทางจากเมืองไทยไปอเมริกา เวลาจะทับซ้อนกัน เราต้องหมุนนาฬิกาใหม่ เพื่อให้ตรงกับประเทศที่เราเดินทางไปถึง เวลาที่เราใช้บนเครื่องบิน อาจจะคล้ายกับเวลาในช่วงรอเปลี่ยนภพชาติ รอไปเกิดใหม่ก็เป็นได้ค่ะ
ส่วนสัมภเวสี ตอนแรกก็คิดเห็นเช่นคุณจิด้าเช่นกัน แต่ท่านผู้ปฎิบัติธรรมท่านนี้กล่าวว่าเป็นดวงจิตในภพกลาง ภพที่เตรียมตัวไปเกิดใหม่ อะไรแบบนี้ (และตรงกับโลกของบาร์โดในวัชรยาน ) จากสัมภเวสี จึงจะเข้าสู่ 31 ภพภูมิที่มีอยู่ ถ้าเป็นจิตที่เกิดใหม่ก็คือการเข้าสู่ 31 ภพภูมิแล้วกระมังคะ อันนี้สงสัยต้องรอผู้รู้เข้ามาแลกเปลี่ยนก่อน ที่กล่าวมาทั้งหมดบอกเล่าตามที่ท่านว่ามาน่ะค่ะ
จะว่าไปเรื่องแบบนี้ก็น่าสนุกน่าศีกษาดีนะคะ สงสัยเรื่องนี้ต้องรอผู้รู้ลึกในทางอภิธรรมมาเฉลยอีกที
เรื่องไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น ผมอ่านแล้วรู้สึกทึ่งมากครับ และสามารถจุดประกายความคิดต่างๆได้มากมายจริงๆ ทั้งในเรื่องของพุทธมิใช่ศาสนา ทั้งเรื่องเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจต่างๆเช่น พระพุทธรูป หรือ บดสวดมนต์ ก็มิได้มาจากพระพุทธเจ้า สิ่งที่มาจากพระพุทธเจ้าคือหลักธรรมะ จากธรรมชาติ บดสวดมนต์จริงๆแล้วคือคำสอนของท่าน แต่คนไทยเราหลงงงมงายมากไป หลักธรรมคำสอนควรนำมาใช้เพื่อให้เกิดความสงบสุขในโลกนี้ต่างหาก มิใช่ให้เราไปพึ่งคุณไสย มนต์ดำต่างๆที่เป็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน
ผมวิเคราะห์ว่าที่ทันตแพทย์สม ท่านเขียนว่าพอตายปั๊บก็ไปจุติปุ๊บทันทีนั้น มีความเป็นไปได้ในหลายมุมมองครับ ถ้าเรามองจากมุมมองของมนุษย์ธรรมดา ไม่มีทางเข้าใจ เราต้องใช้จินตนาการเข้าร่วมด้วย เช่น การจุตินั้นไม่จำเป็นจะต้องไปเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกตามปกติก็ได้ อาจจุติเป็นวิญญาณล่องลอยไปมาถึง 49 วันเทียบตามความเข้าใจของมนุษย์ก็ได้ เรื่องเหล่านี้ถือเป็นอจินไตย เราไม่ควรไปคิดถึงมัน จริงๆแล้วที่ควรทำคือการรักษาศีล เจริญภาวนา ปฏิบัติกรรมฐาน และเมื่อถึงเวลาอันควรของแต่ละคน(เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน)ก็จะทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา
จะว่าไป หนังสือของท่านหมอสม และสิ่งที่ได้รับรู้จากท่านอาจารย์อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา แม้จะไม่เคยพบตัวจริง แต่ท่านทั้งสองได้จุดประกายความคิดทำให้ผมได้แสดงความเห็นต่างๆไว้ในบล็อกของผมหลายบทความ และทำให้ผมหันมาทานมังสวิรัติ และพยายามถือศีลให้ได้ ซึ่งเป็นผลดีกับตัวผมเองด้วย ขอบคุณครับ