กฏแห่งกรรม กับคำถามที่ว่า ใครคือผู้สังหาร??


เป็นอีกครั้งหนึ่งสำหรับชาวสยาม  ที่ถามกันว่าใครคือคนที่รับผิดชอบ ใครคือคนผิด เมื่อควันของแก๊สน้ำตาจางลง พร้อมกับกลิ่นคาวเลือด ชาวสยามหลายๆคนต่างกลับเข้าสู่ภาวะของความรู้สึกว่า ไร้อนาคต ไร้คำตอบและอาจจะไร้ซึ่งความหวังอีกครั้ง  

ในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกว่า  ชาติบ้านเมืองได้กลับมาสู่บรรยากาศแบบสมานฉันท์ยังไม่ทันถึงหนึ่งสัปดาห์  เรื่องราวต่างๆก็พลิกผันกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแบบเดิมๆ..อีกครั้ง   เรื่องเดิมๆที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อไม่นานมานี้  

หลังเหตุการณ์ครั้งล่าสุด ผู้คนทั้งหลายต่างประกาศหาความรับผิดชอบ  และรัฐบาลก็ได้ตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาตรวจสอบหาข้อเท็จจริง  ข้าพเจ้าเข้าใจว่า  คงจะใช้เวลาอีกสักพัก  และคงจะไม่ได้ข้อสรุปอะไรมากนัก  เพราะแม้แต่เรื่องของกรณีกรือเซะ และตากใบ  ก็มีการตั้งคณะกรรมการแบบนี้เช่นกัน แต่จนปัจจุบันนี้ทุกอย่างยังคลุมเครือไม่ชัดเจน  แม้กระทั่งกรณีของพฤษภาทมิฬเมื่อหลายปีก่อน เรื่องราวหลายอย่างก็ยังไม่กระจ่าง  ข้าพเจ้าจึงมองว่า  ครั้งนี้ก็คงไม่ได้อะไร   ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังปั่นป่วน แต่ประเทศสยามก็ยังสามารถทะเลาะกันและฆ่ากันทำร้ายกันได้ลงคอ แถมแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายกันมากขึ้นกว่าเดิม  จนข้าพเจ้าไม่อยากจะกล่าวว่าไร้ซึ่งความหวัง  และไร้อนาคต เสียจริงๆ

หลายคนมักจะคิดเห็นไปว่า  คนที่สนใจปฎิบัติธรรม คงไม่ได้สนใจอะไรในทางโลกอีกแล้ว  ใครจะประท้วง ใครจะฆ่าใครก็คงไม่ยุ่งเกี่ยว นั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างมาก  แต่ในสายตาของคนผู้ปฎิบัติธรรมบางส่วนขณะนี้ เริ่มคิดเห็นไปว่า  นี่อาจจะเป็นเคราะห์กรรมของประเทศชาติที่ชาวสยามทั้งหลายอาจจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน  นี่คือผลกรรมที่ต้องรับไปด้วยกัน  กรรมของเผ่าพันธุ์ กรรมของประเทศชาติ  ข้าพเจ้าก็เริ่มมองเห็นเป็นเช่นนั้นด้วยแล้วในขณะนี้

การโทษเวรกรรมนั้นอาจจะเป็นเรื่องของคนสิ้นคิดในสายตาของคนยุคดิจิทอลทั้งหลาย  พวกเขามองเห็นว่าการโทษเวรกรรมเป็นเรื่องของคนที่ไม่สู้ ไม่รู้จักวิธีแก้ปัญหา  แต่พอเราถามว่า  ท่านรู้วิธีแก้ปัญหาหรือ  หลายคนบอกว่า มีสิ  และบางคนถึงกับเสนอให้ทำลายล้างฝ่ายที่กำลังประท้วง ด้วยชีวิต..... หลายคนนำเสนอเรื่องเลือดต้องล้างด้วยเลือด  ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าการที่เราจำนนต่อเวรกรรมแล้วมานั่งสงบสติอารมณ์เพื่อสวดมนต์ภาวนา กับการออกไปแก้ปัญหาแบบเลือดล้างด้วยเลือดกันนั้น แบบไหนกันแน่ที่สิ้นคิดกว่ากัน

สำหรับข้าพเจ้าแล้วในตอนนี้  ข้าพเจ้าหมดหวังที่จะเห็นชาวสยามบางส่วนหันกลับมาพูดจากัน  ที่ผ่านมาสัปดาห์เดียวนั้นก็คือการสมานฉันท์แบบปลอมๆ  และเมื่อมีกลิ่นคาวเลือดและความตายเกิดขึ้น ก็ยิ่งชัดเจนว่าคงไม่มีอะไรดีขึ้นกว่านี้   ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องกลับมานั่งสมาธิภาวนามากขึ้น แถมสวดมนต์แผ่เมตตาอย่างเอาจริงเอาจัง  แผ่เมตตาให้ชาวสยามทั้งหลาย  ทั้งผู้ที่ฆ่าและผู้ที่ถูกฆ่า ทั้งผู้บาดเจ็บและผู้ที่ทำให้คนอื่นบาดเจ็บ  ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตาให้ทั้งสองฝ่าย  และเข้าใจว่ากัลยาณมิตรของข้าพเจ้าหลายคนก็กำลังทำอย่างเดียวกันอยู่

 ...สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย  ...

มีเรื่องขำๆก็คือกัลยาณมิตรข้าพเจ้าท่านหนึ่งส่งเสียงมาตามสายว่า สงสัยพวกพี่จะสวดมนต์แผ่เมตตากันไม่มากพอ เรื่องมันจึงยังรุนแรงอยู่ เหตุการณ์อะไรก็ไม่ดีขึ้น  ข้าพเจ้าก็เลยพูดขำๆว่า  คนสวดมนต์ยังมีน้อยเกินไป  ส่วนพี่ก็ยังไม่ได้บรรลุธรรมใดๆ จึงไม่มีพลังเพียงพอในเรื่องนี้  สงสัยต้องไปหาเกจิอาจารย์ดังสักสิบท่านขึ้นไปมาช่วย  เผื่อจะได้ผล.......

ในท่ามกลางความสูญเสีย และต่างฝ่ายต่างโทษกันไปมาอยู่ขณะนี้  น่าแปลกใจที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเป็นทุกข์มากและร้อนใจมากเหมือนแต่ก่อน  ไม่ใช่เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้สนใจความทุกข์ความตายของชาวสยามด้วยกันอีกแล้ว  แต่ข้าพเจ้าได้พบเจอและรับทราบเรื่องราวที่สำคัญเรื่องหนึ่งและมันได้ทำให้ข้าพเจ้าถึงกับมีอาการใจสั่นตัวสั่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวทีเดียว...

ต่อคำถามที่ว่า  ใครคือผู้สังหาร  ใครคือผู้ทำร้ายประชาชน  บางทีเราอาจจะไม่ได้ความจริงอะไรในที่สุด  แต่คำถามที่ว่า  กรรม ที่เกิดจากการกระทำในครั้งนี้  ใครคือคนที่ต้องได้รับกรรม...ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่ามีคำตอบนั้น  คนที่จะต้องรับผลกรรมในการกระทำครั้งนี้ มีแน่ๆอย่างไม่ต้องสงสัย  และแม้ว่าสังคมและชาวโลกทั้งหลายจะไม่รู้ว่าเป็นใครที่ทำ แต่กรรมที่จะตามไปยังคนผู้นั้นมีแน่  และมันจะตามไปติดๆ อย่างไม่มีผิดพลาดและไม่ผิดคนด้วย 

คำสำคัญ (Tags): #กฎแห่งกรรม
หมายเลขบันทึก: 215660เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2008 22:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:41 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ชีวิตยังไม่สิ้นหวัง ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

การจองเวรจองกรรมหมุนเวียนไปตามกฏแห่งกรรม การจะตัดวงเวียนอุบาทว์นี้ได้ต้องใช้ธรรมะขั้นสูงสุด คือการให้อภัย หากเรามีการให้อภัยซึ่งกันและกัน อะไรๆก็คงจะดีขึ้นกว่านี้ หากคนที่ตายไป อโหสิกรรม ให้กับคนที่ฆ่า ชาติหน้าก็จะได้ไม่ต้องมาฆ่ากลับไปกลับมา คนที่เป็นคนฆ่านั้น หากบำเพ็ญเพียรแผ่เมตตา และ ลด ละ เลิก จากการกระทำอันทารุณนั้นได้ อะไรๆก็คงจะดีขึ้น และสามารถรับการแผ่เมตตาจากท่านได้

แต่ตราบใดที่ผู้ฆ่านั้น ยังตัดไม่ได้ ยังไม่เลิกฆ่า เขาก็อาจจะไม่สามารถรับการแผ่เมตตาจากท่านได้ ผลกรรมจะตามสนองเขาเอง เราไม่ต้องทำอะไร เราไม่ต้องยินดีกับสิ่งที่จะเกิดเพราะกรรมของเขา กรรมจะตามสนองเขาแน่นอนในชาติปัจจุบัน และอาจตามไปสนองในชาติต่อๆไปด้วย

ปลงเถอะครับ

สวัสดีค่ะคุณ hall

สงสัยต้องปลงอย่างที่คุณ hall ว่า แล้วค่ะ ให้กฏแห่งกรรม เป็นผู้ตัดสิน

และจัดการ .....กรรมใครกรรมมัน.. จะว่าไปผลกรรมก็ตามสนองเร็วไม่น้อยในปัจจุบันนี้ เราอาจจะไม่ต้องรอเห็นในชาติหน้า อาจเห็นในชาตินี้กันเลย ก็เป็นได้

ขอบคุณค่ะที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ด้วยกัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท