ในช่วงเย็นของวันนี้ระหว่างที่ดูงานก่อสร้างนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งเดินดุ่ย ๆ เข้ามาหา ดูท่าทางแล้วก็น่ากลัว
ตอนนั้นเราก็พยายามมองและสังเกตท่าทีเขาดูว่ามีภัยหรือปลอดภัย
ครั้นเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ เรา เขายกมือไหว้ขึ้นอย่างนอบน้อมแล้วพูดว่า
“มีข้าวบ้างไหมครับ ขอกับข้าวไปกินหน่อยครับ...”
ตอนนั้นเราเองก็พลันโล่งใจ จากนั้นก็ถามเขาว่าทำงานที่ไหนที่เหรอ
“ผมทำงานก่อสร้างอยู่หมู่บ้านข้าง ๆ ครับ วันนี้เจ๊ไม่มา ที่นี่มีข้าวบ้างไหม...”
เอ่... คนแถวนี้ตอนเย็นเขาไม่กินข้าวกันด้วย กับข้าวที่เหลือจากกลางวันก็แจกจ่ายไปกันหมดแล้ว จะเอาข้าวที่ไหนให้เขาดีหว่า...
ตอนนั้นจึงเดินไปชวนเขาคุยไป ก็คิดขึ้นได้ว่า ปกติเราแจกนมให้ช่างแสงและลูกน้องกินกันวันละสองกล่องอยู่แล้ว เราจึงบอกเขาว่า เอานมไปกินรองท้องก่อนนะ...
“ครับ ๆ ได้ครับ ถ้ามียากันยุงขอยากันยุงด้วยนะครับ...”
จากนั้นเราจึงเดินไปหยิบนมให้ 4 กล่อง แล้วลองมองหายากันยุงดูแต่ก็ไม่มี จึงหยิบสบู่ ยาสีฟัน และแปรงสีฟันไปให้เขา...
ชีวิตคนนี่ทุกข์ไม่ใช่เล่นนะ
แม้แต่ช่างก่อสร้างเอง ถ้าเจอนายจ้างดีก็สบาย แบบช่างก่อสร้างที่ทำงานอยู่กับเรา
ท่านอาจารย์เมตตาให้นมวันละสองกล่อง ตอนกลางวันก็ไปเอาอาหารมังสวิรัตและขนมมากินกันได้ ถ้าวันไหนกันข้าวเหลือเยอะก็ให้แบ่งไว้กินตอนเย็นกัน ส่วนค่าจ้างนั้นเราก็ให้สูงกว่าที่อื่น คือ ถ้าจ้างรายวันเราก็ให้ผู้ชายวันละ 250 บาท ผู้หญิง 200 บาท หรือถ้าจ้างเหมา เราก็จะให้ค่าจ้างเหมาสูงกว่าที่อื่นประมาณ 10 บาทต่อตารางเมตร เพื่อให้เขามีข้าวกิน มีเงินไปใช้เลี้ยงลูก
วันนี้มีช่างผู้หญิงคนหนึ่งลางานไปก็เพราะลูกป่วย ส่งพ่อมาทำงานคนเดียว แม่ต้องดูแลลูก เราเองจึงฝากนมไปให้เขาหลายกล่อง
ชีวิตคนนี้ล้วนแล้วแต่ต้องยุ่งและวุ่นอยู่กับเรื่อง “กาม กิน และเกียรติ”
เรื่องปากเรื่องท้องนี้มิใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย
การที่เราต้องวุ่นวายทำงานกันอยู่ในทุกวันนี้ก็เพราะด้วยเรื่องทั้งสาม (กาม กิน และเกียรติ) นี้เอง
แต่นั่นก็เถอะ...
ปากเรา คือ พ่อ และแม่ ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ปากลูกน้อยนั้นแลเป็นทุกข์อันใหญ่หลวงของพ่อแม่
ช่างแสงเคยเล่าให้ฟังในวันพุธ (1 ตุลาคม 2551) ที่ผ่านมาหลังจากที่ช่างแสงมาขอเบิกเงินเพื่อไปจ่ายค่าเช่าบ้านประมาณพันกว่าบาท
เราก็ถามช่างแสงว่า วัน ๆ หนึ่งไม่เห็นใช้เงินอะไรเลยที่นี่ก็มีข้าว มีขนมให้กินกันตลอดทั้งวัน
“ช่างแสงก็ตอบว่า ผมกับแฟนใช้เงินกันไม่เยอะหรอกครับ แต่ลูกวันหนึ่งต้องใช้วันละสี่สิบห้าสิบบาท
ทั้งเงินไปโรงเรียน และโดยเฉพาะตอนกลับมาจากโรงเรียนต้องซื้อขนมกินอีกหลายสิบบาท”
ที่นี่ให้ขนมไปตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ...?
“ครับ ขนมปัง เบเกอรี่พวกนี้ลูกผมไม่กินครับ เขาชอบกินแต่ขนมกรอบ ๆ... !”
คิดแล้วก็สะท้อนใจตัวเองนะ
เราเคยคิดเสมอ ๆ ว่า การที่เราเองเรียนจบมาและทำงานในสายบริหารธุรกิจนี้เป็นต้นเหตุสำคัญในการทำให้สังคมเป็นอย่างนี้
เพราะนักธุรกิจนั้นมีหน้าที่หลักในการแหย่ ยั่ว ยุ “กิเลสและตัณหา” ของคนทั้งหลายเพื่อที่ได้มาซึ่งตัวเลขทางการค้าไม่ว่าจะเป็นเงิน ยอดขาย หรือ “กำไร...”
ความหิวของเด็กคนหนึ่งที่หิวเพราะ “อยาก” กินขนมอบกรอบ
กับความหิวของผู้ใหญ่คนหนึ่งที่หิวเพราะไม่มีข้าวไว้ยาไส้
แต่ไม่ว่าจะเป็นความหิวใด ความหิวทั้งหลายย่อมนำทุกข์มาให้กายและใจนั้นแท้จริง...
อนุโมทนาสาธุครับ -/\-