(ร่างบทความสำหรับเผยแพร่ในเว็บไซท์ของนรทุนรัฐบาล)
บทความต่อไปนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับนักเรียนทุนรัฐบาล แต่เป็นความคิดเห็นของนักเรียนทุนคนหนึ่งต่อการยกสถานะทางวิชาการของประเทศเป็นสังคมแห่งองค์ความรู้ ผมนำเสนอบทความนี้ต่อนักเรียนทุนเป็นกลุ่มแรกเพราะผมเห็นว่าสังคมนักเรียนทุนนี้เป็นสังคมวิชาการที่เข้มแข็งที่สุดสังคมหนึ่งของประเทศ เป็นกลุ่มคนที่มีความสนใจ ความรู้ ประสบการณ์ และพันธมิตรที่หลากหลาย ท้ายสุดแล้วผมเชื่อว่าพวกเราต่างมีอุดมการณ์ลึกๆร่วมกันที่จะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เพื่อประเทศของพวกเรา
---------------------------------------------------------------------------------
Road
mapที่ผมมองเห็น
มีลักษณะเป็นmutual-inductionระหว่างกลุ่มนักเรียนทุนรัฐบาล
กับหน่วยราชการ โดยเนื้องานแล้ว นักเรียนจะเป็นทั้งคนออกแบบ
คนก่อสร้าง คนบริหาร และสมาชิก
ขณะที่ฝ่ายราชการจะเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดนักเรียนที่จะมาทำหน้าที่ต่างๆให้เข้าร่วม
ทำให้โครงการเป็น “โครงการระดับชาติ” แทนที่จะเป็น “โครงการเด็กๆ”
ของนักเรียนไม่กี่คน
ขั้นที่ศูนย์(ดำเนินการแล้ว) คือ ระยะกำเนิดแนวคิด
เริ่มจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันของนักเรียนทุนในวงแคบๆ
การเขียนบทความ(เช่นที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้)เพื่อสะท้อนความสำคัญ
วัตถุประสงค์ และแนวทางกว้างๆในการก่อสร้าง
ขั้นที่หนึ่ง
จดหมายกึ่งทางการ จากกลุ่มนักเรียนเจ้าของไอเดียถึงหน่วยราชการ
หน่วยแรกสุดก็คือสำนักผู้ดูแลนักเรียนทุนรัฐบาล
ซึ่งอย่างน้อยตอนนี้เรามีแนวคิดตรงกันเรื่องการสร้างฐานข้อมูลกลางแล้ว
จดหมายจะชี้ให้เห็นประโยชน์ของการก่อสร้าง
เน้นย้ำว่านี่เป็นโครงการของนักเรียน
ดังนั้นเราจะไม่โยนภาระให้หน่วยราชการมากมาย
เราเพียงแต่ต้องการให้ทางราชการช่วยเหลือเล็กน้อยในขั้นที่สอง
ขั้นที่สอง จดหมายจากสำนักผู้ดูแล
ถึงนักเรียนทุนทั้งหมด เป็นแบบสอบถามสั้นๆ ในประเด็นต่อไปนี้
-ท่านเห็นว่าการก่อสร้างเว็บไซต์เพื่อเป็นเครือข่ายด้านความรู้และงานวิจัยของนักเรียนทุนรัฐบาล(+อธิบายแนวคิดคร่าวๆอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น)เป็นประโยชน์หรือไม่
-ท่านสนใจจะเข้าร่วมแค่ไหน
-ท่านมีแนวคิดเพิ่มเติมอย่างไร
เกี่ยวกับโครงสร้างและการจัดการเว็บ
ในจดหมายควรเน้นด้วยว่า
ความคิดเห็นของท่านจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิจารณา
ก่อสร้างหรือไม่ก่อสร้าง
ความสำคัญอย่างหนึ่งของจดหมายฉบับนี้
คือเป็นการประชาสัมพันธ์โครงการในขั้นต้น
ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่รู้ว่ากำลังจะมี “โครงการใหญ่” อะไรเกิดขึ้น
ทำให้ชื่อโครงการ “ติดปาก”กลุ่มเป้าหมาย ตรงนี้ขอเน้นนะครับ
เราไม่ต้องการให้นักเรียนอ่านผ่านๆว่า”อ้อ.. เหรอ..แล้วไง”
เราต้องการให้คนอ่านคิดถึง พูดถึง อภิปรายถึงมัน
ภาษาในจดหมายควรจะต้องหนักการตลาด
มากกว่าจดหมายราชการทั่วๆไป
จดหมายจะถูกโพส(เด่นๆ)บนเว็บoeadc, ส่งตรงถึงemail
addressนักเรียนแต่ละคน, และโพสลงบนเว็บนักเรียนแต่ละรุ่น
…ข้อสุดท้ายนี้สำคัญมาก
เพราะว่าเว็บรุ่นเป็นเหมือนกับสภากาแฟของนักเรียนแต่ละชั้นปี
การสื่อสารผ่านเว็บรุ่นจึงเปิดโอกาสให้”กลุ่มนักเรียน”อ่านแล้วสนทนาโต้ตอบกัน
แทนที่จะอ่านผ่านๆรอบเดียวจบ
ความสำคัญอีกอย่างของจดหมายคือfeedbackที่กลับมาจะช่วยยืนยันกับหน่วยราชการว่า
กลุ่มนักเรียนตื่นตัวแค่ไหน เอาจริงแค่ไหน ซึ่งนั่นหมายถึง
โอกาสที่โครงการจะบรรลุเป้าหมายมีมากแค่ไหนด้วย
ขั้นที่สาม
feedbackที่ได้จะช่วยให้กลุ่มนักเรียนเจ้าของไอเดียวาดภาพโครงการให้ชัดยิ่งขึ้นไปอีก
แผนผังโครงการชุดที่สองจะถูกนำเสนอต่อสำนักผู้ดูแลนักเรียน
เพื่อเผยแพร่ในขั้นที่สี่
ขั้นที่สี่ จดหมายจากสำนักผู้ดูแล
ถึงนักเรียนทุนทั้งหมด(ระลอกสอง) ประกอบด้วยรายละเอียดโครงการ
และประกาศรับสมัครทีมงานออกแบบ
งานของทีมออกแบบก็คือทำแผนผังโครงการให้กลายไปเป็นproposalที่เป็นทางการพอจะนำเสนอหน่วยราชการอื่นๆได้
ผมมองว่าทีมออกแบบจริงๆควรจะรวมตัวกันในขั้นที่สี่นี้แทนที่จะเป็นขั้นที่ศูนย์
หรือประกาศออกไปทีเดียวตั้งแต่ขั้นที่สอง
ก็เพราะว่านักออกแบบนักจัดการมือฉมังจำนวนไม่น้อยจะยังไม่กระโดดเข้ามาร่วมจนกว่าจะเห็นผังโครงการเป็นรูปเป็นร่างและมีคนยอมรับพอสมควรเสียก่อน(ได้จากfeedbackในขั้นที่สาม)
ขั้นที่ห้า
นำเสนอproposalต่อหน่วยราชการผู้ชำนาญ ที่ผมมองไว้ตอนนี้คือ
สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส) กับ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว)
proposalจะถูกนำเสนอในนามของ “นักเรียนทุนรัฐบาลร่วมกับสำนักผู้ดูแล”
เราจะต้องโน้มน้าวให้สองหน่วยงานเชื่อได้ว่า
มีหน่วยราชการและภาคประชาชน(นักเรียน)กำลังร่วมมือกันทำโครงการใหญ่ที่จะเป็นประโยชน์มหาศาล
เป้าหมายหลักของproposalคือต้องการให้ สคส หรือ สกว
ส่งตัวแทนมาเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา
ถึงจุดนี้โครงการก็จะกลายเป็นของการใหญ่ระดับชาติจริงๆ
ขั้นที่หก
จดหมายจากส่วนราชการ(สำนักผู้ดูแล+สกว+คณะนักเรียน)ถึงนักเรียนทุนทั้งหมด
เป็นประกาศรับสมัครทีมก่อสร้าง ทำเป็นinternshipเลยได้จะดีมาก
มาถึงบรรทัดนี้หลายคนอาจจะว่าผมเว่อร์แล้ว เพ้อฝันไปแล้ว
ท่านผู้อ่านลองอ่านเเล้วคิดตามประเด็นข้างล่างนี่ดูนะครับ
-การจัดการความรู้
และการสร้างสังคมการวิจัยอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วจะก่อประโยชน์มหาศาล
-เราต่างเชื่อว่าสุดยอดแห่งการบริหารและจัดการความรู้ชุมชน
คือให้ชุมชนจัดการตัวเอง ดูเเลตัวเอง
โดยภาครัฐยืนดูอยู่ห่างๆ และสนับสนุนตามสมควร
-เราถือได้ว่าการสร้างเว็บดังกล่าวเป็นการทำงานให้กับทางราชการ
การตั้งองค์กรจัดการความรู้โเพื่อการวิจัยโดยภาคประชาชนสอดคล้องกับนโยบายหลักของทั้ง
สคส และ สกว (ไปอ่านตัวนโยบายกันเอาเองนะครับ)
-งบจ้างนักเรียนไม่กี่คนจะซักเท่าไหรกันเชียว :P
ประเด็นเหล่านี้แหละที่เราจะต้องนำเสนอให้ชัด และมีพลัง
ตั้งแต่ในproposalที่นำเสนอไป
ตำแหน่งทีมการก่อสร้างที่ทำเป็นinternshipจะ
ไม่เพียงแต่จะดึงดูดนักก่อสร้างเก่งๆเข้ามาด้วยค่าตอบแทนเท่านั้น
แต่ยังมีผลสำคัญในแง่จิตวิทยา คือความรู้สึกที่ว่า
”คุณกำลังทำงานสำคัญของประเทศ” แทนที่จะเป็นการ “เข้าไปช่วยๆกัน”
ธรรมดาอย่างคนรู้จัก
การก่อสร้างควรกำหนดกรอบเวลาให้ชัด
ภายในช่วงซัมเม่อโครงสร้างส่วนใหญ่ของเว็บควรจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้
หากทีมงานเห็นว่าควรจะต่อเวลาไปถึงวินเท่อเบรกจริงๆก็ควรจะเป็นส่วนเสริมจากโครงหลักที่พอใช้การได้
ขั้นที่เจ็ด การประชาสัมพันธ์เว็บเปิดใหม่
ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำบางประการ
-ก่อนเปิดซักเดือนหนึ่ง(ทีมก่อสร้างยืนยันว่าใกล้เสร็จแล้ว)
เริ่มประกาศวันเปิดออกไป(ผ่านทางเมล,เว็บoeadc,เว็บรุ่น)
ประกาศจะมีทั้งส่วนที่เป็นจมราชการ
และส่วนที่เป็นโฆษณาที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับเว็บ ลูกเล่นต่างๆ
สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
-ประกาศต้องย้ำชัดว่านี่เป็นโครงการร่วมโครงการแรก
ระหว่างส่วนราชการ(สำนักผู้ดูแล สคส สกว)
และกลุ่มนักเรียนทุนรัฐบาลเอง
ย้ำเป้าหมายของโครงการและความคาดหวังให้ชัดอีกครั้ง
-อย่ามองข้ามการประชาสัมพันธ์แบบปากต่อปาก
อาศัยจุดเด่นที่ว่าทีมงานอกแบบ ทีมงานก่อสร้าง
ก็ต่างเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล
เป็นพี่ๆน้องๆเพื่อนๆกับกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น การหมั่นพูดถึง
หมั่นเปิดประเด็น ในกลุ่มจะช่วยให้คนคุ้นเคยกับโครงการมากขึ้น
ผมเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่จะเห็นด้วยอย่างเต็มตัวและพร้อมจะบอกต่อ
ขั้นที่แปด การดูแลเว็บ
-ทีมผู้ดูแล อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกันทีมผู้สร้าง
คือทำหน้าที่เป็นwebmaster
-ทีมผู้ดูและพบปะกับที่ปรึกษาจากส่วนราชการเป็นระยะ อาจจะเป็นสามเดือน
ห้าเดือนก็ตามแต่ การพบปะอาจจะเป็นในรูปของการรายงานผลความคืบหน้า
และการให้คำแนะนำโต้ตอบการทางอีเมลโดยไม่ต้องมานั่งประชุมกันจริงๆ
-ต้องกำหนดวาระการทำงานของผู้ดูแล และระบบการสืบทอดให้ชัดเจน
เพราะนักเรียนส่วนใหญ่เมื่อเรียนสูงขึ้นไปถึงจุดหนึ่งจะยุ่งจนไม่มีเวลาให้กับงานนี้
ขั้นที่เก้า
การขยายเครือข่าย เมื่อกลุ่มสังคมบนเว็บเติบโตแข็งแรงดีแล้ว
ดูจากจำนวนสมาชิก ความหลากหลายของชุมชนบล็อก ความactiveของบล็อก
อันนี้แล้วแต่ทีมดูและที่ปรึกษาจะกำหนด
เราจะขยายเครือข่ายเข้าไปตามหน่วยงานในไทย—มหาวิทยาลัย,
สถาบันวิจัย,หน่วยงานด้านวิชาการอย่าง
สสวท—โดยอาศัยเครือข่ายของนักเรียนทุนรัฐบาลที่กระจายอยู่ทั่ว
อย่างที่ผมกล่าวไว้ในตอนที่หก ร่วมกับความช่วยเหลือของ สคส และ สกว
ในการประชาสัมพันธ์แบบเป็นทางการ ผ่านหน่วยราชการ
ในขั้นนี้เราตั้งเป้าว่ากลุ่มสังคมจะไม่ได้จำกัดเเคบอยู่ในกลุ่ม
“นักเรียนผู้ศึกษาอยู่ต่างประเทศ”เท่านั้น
แต่รวมไปถึงใครก็ตามที่อยากเข้าร่วม
ใครก็ตามที่กำลังสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ๆ
ไม่มีความเห็น