เปลี่ยนมะเร็งเป็นพลัง (ภาคปฏิบัติ)


เมื่อถึงเวลาวาระสุดท้าย เราทุกคนก็ต้องแยกกันไปตามทางของตัวเอง ตัวเรา คนที่เรารักและรักเราทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไปสักวัน

จำได้ว่า หลายเดือนก่อน ผมได้ชมข่าวการเสียชีวิตของปูชนียบุคคลคนหนึ่งในวงการพัฒนาด้านสวัสดิการสุขภาพของเมืองไทย คือ น.พ. สงวน นิตยารัมภ์พงษ์ ก็ให้รู้สึกเสียดายคุณหมอมือดีที่มีส่วนสำคัญในการทำให้หลักประกันสุขภาพของคนยากจนเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม และก็ไม่คาดคิดว่า ขนาดเป็นหมอก็ยังมาอายุสั้นป่วยเป็นโรคมะเร็งกับเขา

 

ตอนนั้น ผมยังไม่ได้เข้าใจเรื่องมะเร็งมากนัก จนกระทั่งมารู้ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับบุพการี

 

แรกรู้ข่าวว่าตรวจพบเนื้อร้ายในตับของคุณพ่อ และมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโต เหนื่อยง่าย ผมเดินทางไปพบท่านตอนต้นกันยาที่ผ่านมา ก็รู้สึกไม่สู้ดีนัก เป็นกังวลถึงท่านทุกวัน

 

ระยะเวลาเพียงสามสัปดาห์ต่อมา ผมกลับไปเยี่ยมท่านทุกอาทิตย์ ไปทีไรก็พบว่าอาการคุณพ่อก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้ต้องให้วิตามิน สารอาหารต่างๆและถ่ายเทของเสียในร่างกาย ทางสายยาง ไม่สามารถลุกไปไหนมาไหนได้แล้ว ได้แต่รักษาตามอาการไป

 

การเป็นมะเร็งตับ ระยะสุดท้ายของคุณพ่อ ทำให้เดือนนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปหลายเรื่อง

 

ด้านที่หดหู่ เศร้าซึม ก็คงไม่ต้องพูดถึง  ผมต้องทำงานอยู่ต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่ และเป็นตัวหลักในการทำงาน จะหาเวลาไปเยี่ยมท่านได้อย่างมาก อาทิตย์ละสองสามวัน  วันอื่นๆก็ได้แต่โทรไป ดีผมยังมีพี่ชายและน้องสาวและญาติๆ อยู่ที่เชียงใหม่มากมาย คอยไปเยี่ยมให้กำลังใจท่านไม่ขาดสาย

 

ด้านที่เป็นการสร้างสรรค์ ก็มีอยู่หลายอย่าง เช่น

-          ทำให้ผมขวนขวายหาความรู้เรื่องมะเร็ง การดูแลผู้ป่วย เพื่อหวังจะช่วยเยียวยาท่าน และความรู้หลายอย่างก็นำมาใช้ดูแลสุขภาพตัวเองและครอบครัวได้  

-          ทำให้ผมศึกษาและปฏิบัติธรรมมากขึ้น ทั้งในแง่ข่มจิตตัวเองที่สับสน ฟุ้งซ่าน ซึมเศร้า และในแง่ที่แผ่กุศลกรรมไปให้ท่าน (อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าอยู่เฉยๆ ให้หมอดูแล) ทำให้จิตใจผมสงบเย็นขึ้น  ความวิตกกังวลที่มีไม่ส่งกระทบการงานมากนัก

-          เมื่อก่อนผมเกลียดการไปโรงพยาบาลเพราะไม่ชอบเห็นบรรยากาศที่ชวนหดหู่ แต่ปัจจุบันผมพบว่า การได้ไปโรงพยาบาลทำให้เราเห็นภาวะความจริงของโลก คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย บ่อยครั้ง จนเป็นสำนึก มรณานุสติ ปล่อยวางกับอารมณ์ และอัตตาได้มากขึ้น ทำให้มองว่า ตัวเรายังโชคดี ที่ไม่เจ็บป่วย แต่ไม่แน่ว่าทุกข์ยากเช่นนี้จะมาถึงเราสักวัน เมื่อไรไม่มีใครรู้

 

ผมรู้ว่า อีกไม่นาน พ่อก็คงจะจากโลกนี้ไป ผมถามภรรยาว่า ตอนนงานศพคุณพ่อของเธอ เธอร้องไห้ไหม เธอตอบว่าไม่ ผมก็ถามต่อว่า เพราะอะไร เธอตอบมาว่า เพราะเธอคิดว่า ถ้าพ่อนอนเจ็บอยู่นั้น มันทรมานกว่า คือกินอะไรก็ไม่ได้ เจ็บปวดร่างกาย การได้ละสังขาร ทำให้ท่านไปในที่ๆสบายกว่า

 

ผมมักจะเล่าเรื่องเหล่านี้ให้น้องสาวฟังบ่อยๆเวลาเธอเศร้าเรื่องพ่อ เพราะเธอกำลังตั้งครรภ์เจ็ดเดือน อารมณ์ซึมเศร้าย่อมไม่เหมาะกับสภาพเธอในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง

 

เมื่อถึงเวลาวาระสุดท้าย เราทุกคนก็ต้องแยกกันไปตามทางของตัวเอง  ตัวเรา คนที่เรารักและรักเราทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไปสักวัน   พ่อก็เหมือนกัน ตัวท่านเองก็อาจจะได้ไปพบกับบุคคลอันเป็นที่รัก ที่ล่วงลับไปก่อนหน้านั้นก็ได้

 

สิ่งที่เราพอจะทำให้ท่านได้ขณะนี้ คือเราเองก็ไม่ต้องกังวลอะไรเกินเหตุ ขอให้มองเป็นเรื่องธรรมชาติ ให้ท่านรับรู้ว่าพวกเรารัก เคารพ ห่วงใย แต่ไม่ต้องแสดงความเสียใจหรือกังวลใจ เดี๋ยวท่านจะพลอยเศร้าหมองไปด้วย มีหน้าที่การงานอะไร ก็ทำไปให้ดีที่สุด เป็นสิ่งดีๆที่ไม่เพียงแต่จะทำให้ท่านภูมิใจ แต่เป็นการดึงเรากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง และยังเป็นการจัดการอารมณ์ของพวกเราให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์อีกด้วย

 

หมายเหตุ : ผมได้ประโยชน์ทางความคิดจากหนังสือ เปลี่ยนมะเร็งเป็นพลัง ที่เขียนในวาระสุดท้ายของ นพ. สงวน  นิตยารัมภ์พงศ์มาก ทุกตัวอักษรถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของท่านขณะเผชิญโรคร้าย เป็นหนังสือที่อ่านง่ายแต่ทรงพลัง ขอแนะนำให้ทุกท่านหาอ่านหนังสือเล่มนี้ดูนะครับ

หมายเลขบันทึก: 213367เขียนเมื่อ 1 ตุลาคม 2008 23:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 เมษายน 2012 09:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
  • โรคนี้มันรวดเร็วมากเลยหรอครับ
  • น่าสนใจ เปลี่ยนมะเร็งเป็นพลัง
  • หาได้ที่ไหนครับ
  • ขอบคุณมาก

เปลี่ยนมะเร็ง เป็นพลัง : บันทึกชีวิตชิ้นสุดท้ายของหมอสงวน

บันทึกที่ผมเคยเขียนครับ

-----------------------------------------------

*** โทรศัพท์กลับถึงผมด้วยครับ มีธุระปรึกษา(ผมไม่มีเบอร์ครับ)

สวัสดีครับคุณประจักษ์

โรคมะเร็งนี่ จะให้ดีต้องใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์สแกน (เอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT SCAN) และตรวจหา CEA หรือโปรตีนในเลือดเพื่อวินิจฉัยมะเร็งดูอย่างละเอียดนะครับ เพราะตรวจสุขภาพธรรมดาไม่ละเอียดพอ

อย่างกรณีคุณพ่อของผม ก็ตรวจสุขภาพทุกปี ไม่มีอาการผิดปกติที่ชัดเจน กว่าจะมาพบนี่ก็ระยะที่ 4 อายุก็ 66 ปี จะทำคีโมก็เสี่ยงเกินไปเพราะผลข้างเคียงอาจจะเยอะมาก ตอนนี้ รักษายากแล้ว ได้แต่รักษาตามอาการ ยืดเวลาสุดท้ายของชีวิตไปเรื่อยๆ

ตับเป็นอวัยวะที่ช่วยในการขับถ่ายของเสีย มะเร็งตับเป็นมะเร็งอันดับต้นของชายไทย ส่วนใหญ่ถ้าตรวจพบแล้ว ก็จะตายในเวลาไม่กี่เดือน หรือไม่กี่ปีครับ

ผมซื้อหนังสือที่ร้านซีเอ็ด ถ้าไม่มีก็สั่งจองที่เคาท์เตอร์ในร้านซีเอ็ดได้ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท