ผมได้แนวคิดในการเขียนบันทึกนี้ จากการอ่านบทความ
http://www.economist.com/science/displaystory.cfm?story_id=12253189 ซึ่งจะเห็นว่าจนถึงปัจจุบัน วงการวิทยาศาตร์/วิจัย ยังไม่ได้ใช้พลังของ Web 2.0 เลย ทั้งๆ ที่ที่จริงแล้ววงการวิทยาศาสตร์/วิจัย ได้ประดิษฐ์ระบบการตีพิมพ์โดยมี peer review ก็เพื่อให้เกิดชุมชนนักวิทยาศาสตร์/วิจัย ที่มีกลไกต่อยอดความรู้ซึ่งกันและกัน โดยการเปิดเผยผลการค้นพบ และมีการตรวจสอบความน่าเชื่อถืออย่างเข้มข้น และการได้รับเกียรติว่าเป็นคนแรกที่ค้นพบ
การโต้แย้ง หรือสนับสนุนกัน ทางวิชาการ ทำโดยรายงานตีพิมพ์หลักฐานจากการทดลองหรือศึกษาชิ้นใหม่ ซึ่งก็ต้องผ่านระบบ peer review เช่นเดียวกัน
ระบบการตีพิมพ์ในรูปเล่มอาจใช้เวลาเป็นปี หรือกว่าปี กว่าความรู้ใหม่จะได้รับการตีพิมพ์ และการโต้ตอบกันทางวิชาการ จึงยิ่งใช้เวลายาวนาน อาจใช้เวลาเป็นปี หรือหลายปี ต่อมาเกิด e-Journal ทำให้การตีพิมพ์รวดเร็วขึ้น แต่ระบบ peer review และตีพิมพ์ก็ยังใช้ระบบเก่า ยังไม่ได้ใช้พลังของ Web 2.0 ที่จะทำให้การโต้ตอบกันทางวิชาการใช้เวลาสั้นลง หรือรวดเร็วขึ้น
Science 2.0 หรือ Research Publication 2.0 น่าจะอยู่ในรูปของบล็อก ที่เปิดช่องให้มีการรวบรวมเอาสาระรายงานเรื่องกลุ่มเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน เป็นวารสารรวบรวมบันทึกในบล็อกเป็นหมวดหมู่ มีการ link อ้างอิงกัน สามารถตรวจสอบว่าใครค้นพบเรื่องใดเรื่องหนึ่งก่อนคนอื่นได้
เรื่องนี้ผมขอฝากให้ท่านที่มีความรู้เรื่อง Web 2.0 และเรื่อง e-Publication ช่วยกันคิดและริเริ่มขึ้นในประเทศไทย สำหรับการตีพิมพ์ผลงานระดับประเทศ ฝาก ผอ. สกว., ศ. ดร. วิชัย บุญแสง, ศ. ดร. ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ, ผศ. ดร. ธวัชชัย ปิยะวัฒน์ ช่วยกันทำให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ให้เราเป็นผู้ริเริ่ม ไม่ใช่ต้องรอให้ประเทศตะวันตกคิดทำก่อน เราจึงค่อยตาม
วิจารณ์ พานิช
๒๑ ก.ย. ๕๑
เรียน อ.หมอวิจารณ์ที่เคารพ ที่จริงแล้ว Researchers.in.th มี potential ในการใช้เพื่อเป็น Research Publication 2.0 มากทีเดียวครับ พวกผมยินดีอย่างยิ่งในการรับเรื่องนี้ไปดำเนินการต่อครับ
ดีครับ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ
วิจารณ์
อาจารย์วิชัยมอบหมายให้หนู(ช่อฉัตร)รับผิดชอบการประสานกับอาจารย์ธวัชชัยเรื่องนี้ค่ะ
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ