การเมืองใหม่


โลกนี้มีอะไรใหม่จริงหรือ...หรือว่าทุกอย่างมันเก่า แต่เราพึ่งจะพบมัน...

ช่วงกำลังจะได้รัฐบาลใหม่อีกครั้ง...วันนี้คงรู้กัน...ใครจะไปจะมาก็อย่าให้ปวดหัวจนคิดอะไรไม่ออก...

เพราะพันธมิตรก็กะจะอยู่กันจนถึงปีใหม่เป็นอย่างน้อย...555

หลายวันมานี้มีคนชวนผมคุยเรื่องการเมือง...โดยเฉพาะการเมืองใหม่กันมากทีเดียว...ผมก็ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นกับพรรคพวกไปด้วยความเมามันว่า...พันธมิตรเขาเอาสูตร30/70มาพูดเร็วไปหน่อย...รับรองว่าพูดตอนนี้ก็มีแต่คนไม่เห็นด้วยหรอก...555 แล้วท่านชวลิตก็ออกมาช่วยได้ทันท่วงที...พูดเหมือนผมเลย(ที่จริงท่านหรือหลาย ๆ คนก็คิดได้ก่อนผมทั้งนั้น...อิอิ)

มาช่วงนี้เขาเปลี่ยนเป็นเสนอคำว่า การเมืองใหม่แทนคำว่า30/70...อย่างนี้พอคุยกันได้ครับ...

หลายคนถามว่าผมอยู่ฝ่ายไหนกันแน่...ก่อน 19 กันยายน 2551 ผมยังไปโพกผ้าเหลืองกับเขาอยู่เลย...ช่วงหลังมานี่ ผมเปิดดู ASTV ได้ 3 ครั้ง แล้วไม่ดูอีกเลย(เพราะเกรงว่าลูกสาวจะคิดว่าผมชอบวาจาที่จ้วงจาบหยาบคาย) ภรรยาผมก็รู้สึกไม่ชอบใจกับพันธมิตรเอาเสียเลย...จนผมต้องพยายามอธิบายให้ฟัง(ตามสไตล์ผม)ว่า... แม่ลองฟังพ่อให้ดี แล้วเก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้ก่อนนะ...

แล้วลองมาคลี่ชีวิตบางส่วนที่เราเห็น 5 แกนนำพันธมิตรที่ออกมาเต้นกันเย้วๆหน่อยเป็นไร...

1. รัฐบาลพลังประชาชนเริ่มเข้ามาบริหารบ้านเมือง...สำแดงให้เห็นว่าบริหารด้วยจิตใจที่อัดอั้น(บางคนใช้คำว่าคั่งแค้นทีเดียว) 3 เดือนที่เปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการด้วยอำนาจ(บ้างก็ว่าแผลงฤทธิ์)จนกระทั่ง อาจารย์ธีรยุทธ์  บุญมี ต้องใส่เสื้อกั้กออกมาเบรก(ซึ่งผมประมาณเอาเองว่าคนส่วนใหญ่ก็คิดตรงกับอาจารย์เขา) ก็ไม่ทำให้มีหิริโอตัปปะอะไรเกิดขึ้นกับรัฐบาลเลย

2. ผมเคยถามหมอพลเดชว่า รัฐบาลที่อายุสั้น ๆ ของหมอจะทำอะไรได้บ้าง...ท่านบอกผมว่า รัฐบาลจะวางโครงสร้างของกฎหมายให้ผู้ที่จ้องใช้ช่องทางหาผลประโยชน์ ไม่สามารถกระทำได้(ยกเว้นแก้ไขรัฐธรรมนูญซะเลย...555) ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจ...จนกระทั่งวันนี้จึงถึงบางอ้อ...ช่วงแรกที่รัฐบาลพลังประชาชนทำตามอำเภอใจกันอย่างสบาย(บ้างก็ว่าบ้าดีเดือด) ผมก็ยังไม่เชื่อคำพูดหมอพลเดช...จนกระทั่งเห็นว่ากฎหมายที่เสนอกันสามารถจัดการ แม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ยังได้...

3. พันธมิตรคือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยคนที่มีศักยภาพคนละด้าน(ที่เอามารวมกันได้อย่างเหลือเชื่อ) หากมองด้วยใจที่ไม่มีอารมณ์รักหรือเกลียด(อย่างที่ภรรยาผมบอกว่า ก็ลองให้สนธิมาเป็นนายกดูบ้าง)... จะเห็นว่า กลุ่มคนเหล่านี้เป็นหัวหน้าใคร(ในระบบ)ก็ลำบาก...เป็นลูกน้องใครก็ไม่ได้...ไปเป็นผู้บริหารบ้านเมืองก็ถูกด่าเสียคนแน่(ยกเว้นคุณสมเกียรติแห่งประชาธิปัตย์...อิอิ)

     3.1 พลตรีจำลอง  ศรีเมือง  ใครก็รู้ว่าท่านมีกำลังหนุนเป็นชาวสันติอโศก(ซึ่งกระตุ้นความรู้สึกผมด้วยคำแรง ๆ ในวารสารแสงสูญเมื่อ 25 ปีที่แล้ว...แต่ก็ไม่ได้อินถึงขนาดไปเป็นพวกมังสวิรัติกับเขา...555) ย่อมเป็นที่ทราบกันดีว่าโรงเรียนผู้นำการเมืองได้สร้างขุมกำลังที่สามารถยืนหยัดด้วยความเข้มแข็งประหยัด(กินน้อยใช้น้อย) อดทน(365 วันก็อยู่ได้...ถ้าเป็นเรา 3 วันก็เป็นลมตายกันละมั้ง...อิอิ) นี่คือขุมกำลังหลักที่ยืนหยัดอยู่ เพื่อรักษาความต่อเนื่องยาวนานของกลุ่มผู้ชุมนุม

    3.2 คุณสนธิ  ลิ้มทองกุล  ความจริงท่านไม่ได้ขุมกำลังอะไรที่ยินยอมถวายหัวให้ แต่สิ่งที่ท่านโดดเด่นก็คือทักษะการสื่อสารโดยการเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับบทวิเคราะห์... ทำให้คนฟังเห็นภาพคล้อยตามได้อย่างหาคนเทียบได้ยาก(แต่ช่วงหลังมาวาจาของท่านค่อนข้างไปทางหยาบคายมากขึ้น...เข้าใจว่าเพื่อกระตุ้นเร่งเร้ากลุ่มชุมนุม

    3.3 คุณสมศักดิ์  โกศัยสุข นี่คือผู้ที่สามารถเรียกกำลังเสริมที่น่ากลัวสำหรับผู้บริหารประเทศ สมาพันธ์ของท่าน ถึงแม้ไม่สามารถมายืนหยัดยาวนานเช่นกลุ่มสันติอโศก...แต่น่ากลัวกว่าหลายเท่านัก 

    3.4 คุณพิภพ  ธงชัย  เลขานุการมูลนิธิเด็ก หลายคนยกให้เขาเป็นขาใหญ่ NGO แต่หลายกลุ่มก็ไม่ยอมรับ ขุมกำลังที่แท้จริงจึงเทียบกับ พลตรีจำลองและคุณสมศักดิ์ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ความกล้าบ้าบิ่น เดินหน้าชน เป็นคุณสมบัติที่ไม่มีใครเทียบได้เช่นกัน

    3.5 คุณสมเกียรติ  พงษ์ไพบูลย์  เป็นคนเดียวที่มีความเกี่ยวข้องกับนักการเมือง(ซึ่งอาจเป็นจุดแข็งในข้ออ่อน) แม้จะเคยเป็นเลขาธิการสภาองค์การครูเพื่อสังคม แต่ก็มิได้มีพลังครูเป็นแรงหนุนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แต่ก็มีคนยอมรับว่าท่านเป็นนักการเมืองภาคประชาชนไม่น้อยทีเดียว

    3.6 คุณสุริยะใส  กตะศิลา เด็กหนุ่มที่ผันตัวเองจากการมุ่งมั่นร่วมกิจกรรมจากกลุ่ม สนนท. สู่องค์กรกลาง และต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมายาวนาน  มีคุณสมบัติเด่นในการประสานการปฏิบัติและแนวคิด ให้สามารถสื่อสารกับคนชั้นกลางได้ชัดเจน บางคนถึงกับรอฟังเด็กหนุ่มคนนี้ชี้แจงบทสรุปครั้งเดียวใน 1 วันก็พอ...มีเขาเป็นเลขาธิการกลุ่มก็เบาแรงไปเยอะทีเดียวครับ...

ผมเลยเสนอภรรยาไปว่า ควรจะช่วยกันอนุรักษ์กลุ่มพันธมิตรไว้...เพื่อคอยตรวจสอบถ่วงดุลย์กับผู้บริหารประเทศที่ทำอะไรผิดโดยไร้ยางอาย(เหมือนกับที่ควรอนุรักษ์กลุ่มสันติอโศกไว้ เพื่อบอกให้คนรู้ว่ามีคนที่เคร่งคัดศีลห้าได้จริง ๆ...555)...จนกว่าคนไทยจะพร้อมเป็นพลเมืองไทยหลังจากผ่านการเมืองใหม่อีกหลายรอบ...555

ทีนี้ก็มาว่ากันต่อด้วยเรื่อง การเมืองใหม่ กันต่อเลยครับ

โลกนี้มีอะไรใหม่จริงหรือ...หรือว่าทุกอย่างมันเก่า แต่เราพึ่งจะพบมัน...

การเมืองใหม่ที่ว่า จึงถูกย้อนถามแบบนี้เช่นกัน...(มิใยจะถูกรังเกียจจากคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบหน้าผู้เสนออยู่แล้ว...555

ในความเห็นของผม...ประเทศไทยมีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใครในโลก(ก็ทุก ๆ ประเทศไม่เหมือนใครกันทั้งนั้นแหละ...555) วันนี้หลายคนบอกว่ามาถึงทางตัน...ต้องหาทางออกใหม่

ส่วนผมเห็นว่า การเมืองใหม่ เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่พันธมิตรเริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง...เส้นทางการเมืองแบบใหม่กำลังแตกกิ่ง ต่อยอด ออกลูกออกหลาน ตั้งแต่วันนั้น...ผลพวงทำให้เกิด โรงเรียนสาธิตมัฆวาน  มหาวิทยาลัยราชดำเนิน... หลายคนพาลูกพาหลานไปเข้าเรียน... บางคนก็แค่ไปทำหน่วยกิตเพิ่ม...

จะ 30/70 หรือ 50/50 ก็เป็นแค่เส้นทางผ่านของการเรียนรู้ประชาธิปไตยแบบไทยๆเท่านั้น...วันนี้ขุมกำลังที่ผลักดันประชาธิปไตยมีผลพวงมาจากกลุ่มคน 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 วันหน้าโรงเรียนสาธิตมัฆวาน  มหาวิทยาลัยราชดำเนิน...ก็จะดำเนินรอยนี้เช่นกัน

หมายเลขบันทึก: 210771เขียนเมื่อ 22 กันยายน 2008 16:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 02:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สวัสดีครับ ท่าน นายขำ

ผมโพกผ้า สีขาว นานแล้ว (สาลาบัน ผ้าโผกหัวมุสลิม)

ด้วยเหตุ สีขาว สันติคือทางออกของปัญหา ผมมองว่าอย่างนั้น

สวัสดีท่านหมอขำ

การเมืองใหม่นี่ข้อยก็ฟังอยู่นะ สนใจอยู่แต่ยังทำใจรับไม่ได้ ก็เลยตัดออกไปไม่นำมาคิดอีก มาสนใจที่มีผู้เสนอในมติชนว่า ควรแบ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นระดับ คือ ให้ผู้จบการศึกษาระดับปริญญามีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้เพียงฝ่ายเดียว แต่ฝ่ายผู้สมัครเขาเสนอว่าจะจบชั้นไหนก็ได้ ข้อยก็ไม่รู้ว่าคนเสนอจะโดนรุมด่ายังไงบ้าง แต่ข้อยก็เลยได้ความคิดต่อจากเขาว่า ในแผ่นดินนี้ใครอยากสมัครรับเลือกตั้งก็ให้เขาสมัครเลยตามใจชอบ ไม่ต้องเกี่ยวกับวุฒิ แต่ผู้มีสิทธิลงคะแนนควรแบ่งเป็น (1) ผู้จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นับจากไม่มีวุฒิจนถึง ม.3 (2) ผู้จบระดับอนุปริญญา นับจากที่จบมัธยมศึกษาปีที่ 4 จนถึงชั้นที่เทียบได้กับชั้น ปวส. (3) ผู้จบระดับชั้นปริญญา ผู้ได้คะแนนในกลุ่มใดมากที่สุดก็ถือว่าชนะในกลุ่มนั้น หากใครชนะใน 2 กลุ่ม ก็ให้ถือว่าชนะไปเลย กรณีหากมีคะแนนเท่ากันในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ท่านหมอช่วยคิดกติกาเล่นเพลิน ๆ ให้ด้วย เอาเป็นว่าคนอื่นเขายังคิดได้ เราก็ต้องคิดกันบ้างหละน้อท่านหมอนะ

Pนายประจักษ์~natadee

เป็นพระคุณครับอาจารย์...ผมเขียนยังไม่จบก็ได้รับพรจากท่านผอ.แล้ว...ด้วยความยินดีครับ...

Pบังหีม

แต่ตอนนี้ขนาดโพกผ้าสีขาวก็ถูกผลักให้เป็นฝ่ายที่สาม....555

 

ไม่มีความสุขใดเท่ากับใจสีขาวของลุงหรอกครับ...อิอิ

Pท้าวสีโห
ครับ...ท่านท้าว...นั่นเป็นความคิดที่น่าสนใจอีกแง่มุมหนึ่งครับ...แต่ผมยังไม่จบเรื่องครับ...โปรดให้ความกรุณาติดตามต่อด้วยครับ...

 

  • ของใหม่   ของเก่า  เราไม่สนใจ
  • อย่างไร    ก็ได้       ถ้าได้ผล
  • สร้างสุข    เจริญ     ทั่วทุกคน
  • พวกบ่น    น่าเบื่อ    เหลือของเก่า

เจริญพร

P BM.chaiwut

การเมืองไทย ใหม่แล้ว          จริงฤา

 

ชอบเก่าเขา ว่าบื้อ                 เบื่อบ้า

ชอบของใหม่ แล้วใคร            สั่งมา

 

บื้อเบื่อบ้า  โบ้งเบ้ง                 บอกใบ้ โบยบิน

กราบ 3 ครั้ง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท