เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้มีตัวบ่งชี้ที่แตกต่างกัน ดังนั้น วิธีการจัดการศึกษาการจัดทำหลักสูตรเนื้อและกิจกรรมการเรียนการสอนจึงมีความแตกต่างกัน เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ส่วนใหญ่กระจายอยู่ชั้นเรียนทั่ว ๆ ไป แต่ผลสัมฤทธิ์เรียนต่ำเมื่อเทียบกับระดับสติปัญญา มีปัญหาในการรับและการส่งข้อมูล มีความยุ่งยากลำบากในการเรียน หรือเรียกว่าเด็กเรียนยากโดยทั่วไปมีสภาพร่างกาย อารมณ์ สังคม และจิตใจปกติ แต่เรียนหนังสือไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากสมองด้วยความสามารถในการนำข้อมูลไปใช้หรือยุ่งยากเป็นบางเรื่องหรือเฉพาะเรื่อง เช่น การอ่าน การเขียน การสะกดคำ หรือคณิตศาสตร์ การจัดการเรียนการสอนจึงจำเป็นต้องมีการสอนเสริมตามลีลาการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน ลดสิ่งรบกวน เพิ่มสมาธิและวิธีการเรียนรู้ให้กับเด็ก
การช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้จะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเด็กปกติมากนัก ให้เด็กได้ทำงานที่สอดคล้องกับความสามารถของตัวเด็ก เมื่อทำงานได้สำเร็จจะเป็นแรงจูงใจให้เด็กเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง ถ้าเด็กไม่อยู่นิ่ง รบกวนการเรียนของเพื่อน ครูอาจแยกเด็กให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้อย่างอิสระและเป็นการปรับพฤติกรรมไปด้วย
แต่เนื่องด้วย เด็กที่มีปัญหาในทางการเรียนรู้นั้น อยู่ท่ามกลางความคาดหวังที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ สมองที่กำลังพัฒนาไปเรื่อย ๆ ของเด็กกำลังเลื่อนไหลไปท่ามกลาง “สายธารที่ไม่หยุดนิ่งตามความเรียกร้องหรือความคาดหวังที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ” ดังนั้น ธรรมชาติและผลกระทบของปัญหาทางการเรียนรู้ จึงมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมินผล การจัดการศึกษา และภาพรวมของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
ขณะที่เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้มีการพัฒนาตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียน ก็จะถูกคาดหวังล่วงหน้าจากครู และผู้ใกล้ชิดว่าจะมีการปรับปรุงความสามารถพื้นฐานในทุกด้านในทางที่ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ การคาดหวังทางวิชาการในเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ จะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่มีความเชื่อว่า เด็กต้องมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในด้านความถูกต้องแม่นยำ ความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น และพัฒนาด้านภาษา ความทรงจำ ทักษะการเคลื่อนไหว สมาธิ ตลอดจนการใช้เหตุผล ถ้าเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ มีการพัฒนาในด้านเหล่านี้ช้า ซึ่งไม่เพียงพอที่จะเรียนหรือทำงานให้ได้ตามความคาดหวัง ช่องว่างที่เกิดขึ้น ในเรื่องของทักษะและความสามารถทางวิชาการก็จะห่างยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับเพื่อนในวัยเดียวกัน
ดังนั้น การที่เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้จะสามารถที่จะพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ ให้สามารถพัฒนาได้เกือบเท่าเทียมกับเด็กปกติได้ ทั้งในเรื่องการเรียนของเด็ก ทักษะทางวิชาการของเด็ก อารมณ์ของเด็ก และพฤติกรรมของเด็กนั้นต้องขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่ของผู้ปกครอง การสอนของครูตลอดสภาพแวดล้อมที่เด็กอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของตัวเด็กเอง
น่าสนใจมาก ทำให้เข้าใจเด็ก LD ยิ่งขึ้น