เล่าเรื่องเมืองหงสาบันทึกนี้ ขอเล่าถึงเรื่องราวของคนไทยที่เข้ามาทำงานในหงสาครับ
พนักงานท่านหนึ่งวัยสี่สิบกลางๆ ได้รับงานจ้างเหมาช่วงเข้ามาทำงานในหงสาผ่านหลายต่อหลายทอด ทำให้ไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อ การควบคุมบังคับบัญชาก็ไม่ใกล้ชิด แต่อย่างไรเสียก็ถือเป็นคนในความรับผิดชอบของท่านเปลี่ยน ผู้บัญชาการหญ่ายของบริษัทที่หงสา
พี่ท่านเข้ามาแบบมาดมั่น มีความเป็นตัวของตัวเองสูง รักอิสระ แต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่ปกครองกันด้วยระเบียบกฎหมาย และฮีตประเพณีอันเข้มงวดแบบสุดโต่งอย่างนี้ ก็เกิดปัญหาละสิครับท่านผู้ชม ไม่ว่าจะเป็น เรื่องความสัมพันธ์กับสาวๆ การกำหนดเวลาออกนอกเคหะสถานในยามวิกาล การเช่าบ้านพักแรมที่เขากำหนดสถานที่ให้เฉพาะแห่ง การจ้างแรงงาน เป็นต้น
ตลอดระยะเวลาเกือบสองเดือนที่พี่ท่านเข้ามาทำงานที่นี่ เป็นช่วงที่ผมได้เข้าไปพัวพันกับท่านปกส. หรือตำรวจเมืองบ่อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา บางครั้งท่านก็เรียกพบให้ไปฟังวีรกรรมของคุณพี่ท่านนี้แล้วฝากให้ไปตักเตือน บางทีก็โทรศัพท์มารายงานก็หลายคราว เช่น เรื่องที่พี่ท่านขอไปพักในหมู่บ้าน เรื่องการจ้างแม่ยิงสาวไปกางร่มให้เวลาทำงาน เรื่องเลิกงานแล้วไม่เข้าที่พักแต่เตลิดไปกินเหล้าในหมู่บ้าน เรื่องไปกินเหล้าในร้านอาหารเกินเวลา บางทีตำรวจกองหลอนบ้านก็ฟ้องมาว่านุ่งแต่กางเกงขาสั้นรองเท้าไม่ใส่เดินเมาเกี้ยวสาวในหมู่บ้าน เป็นต้น ครั้นเราไปเตือนก็มีแต่พูดว่า “ไม่มีปัญหาๆ”
ในที่สุดเวลาห้าทุ่มของวันบุญข้าวสาก พี่ท่านก็ถูกตำรวจเมืองจับกุมพร้อมหญิงสาวขณะอยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องพัก ตำรวจตั้งข้อหา “คนต่างชาติร่วมประเวณีกับหญิงคนลาวก่อนได้รับอนุญาต” นำตัวไปจำขังตั้งแต่คืนนั้น รุ่งขึ้นผมรีบประสานงานไปยังตำรวจเมืองท่านบอกว่า “ยังไม่พิจารณาต้องขังไว้ให้หลาบจำสักระยะหนึ่งก่อน” ระยะหนึ่งของท่านยาวนานได้ห้าคืน ผมถึงได้รับแจ้งเชิญให้ไปเจรจา
ตำรวจท่านเปิดกฎหมายให้ดู ปรากฏเขียนไว้ว่าโทษของท่านนี้มีโทษปรับ ๑๕๐๐ ถึง ๕๐๐๐ เหรียญอเมริกา พร้อมทั้งเนรเทศออกนอกประเทศ แต่ท่านเห็นว่าพวกเรามาทำงานพัฒนาเมืองให้จึง “นโยบาย” ให้โดย เปรียบเทียบปรับขั้นต่ำสุดคือหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญและให้สืบต่อทำงานได้อีกสองอาทิตย์จนกว่าใบอนุญาตจะหมดอายุ ผ่านการเจรจาต่อรองหลายรอบหลายคณะ ค่าปรับจึงลดลงเป็นเก้าร้อยเหรียญ (สามหมื่นหกร้อยบาท) ชำระค่าปรับแล้วท่านก็เรียกคุณพี่ท่านนั้นมาอบรมอีกสองชั่วโมงโดยให้ผมในฐานะผู้ปกครองนั่งฟังด้วย สุดท้ายของการตักเตือนอบรมตำรวจท่านก็ขอโทษขออภัยหากได้ทำรุนแรงไป ขอให้ถือกันเป็นพี่เป็นน้อง อย่าได้เที่ยวไปโพนทะนาว่าตำรวจลาวกลั่นแกล้ง ท่านบอกว่าทำตามหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น
จับไม้จับมือล่ำลากันกลับ นึกว่าจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนขึ้นรถมีตำรวจหญิงท่านหนึ่งวิ่งตามมาบอกว่า อาจารย์ยังกลับบ่ได้ยังมีค่าใช้จ่ายในการติดตามสืบสวนสอบสวนอีกต่างหาก ท่านนำรายละเอียดมาให้ดู มีทั้งค่าเบี้ยเลี้ยงพนักงานที่ติดตามดูพฤติกรรมท่านพี่คนผิดตลอดสองสัปดาห์ ค่าน้ำมันรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ค่าบัตรโทรศัพท์ ท่านบอกว่านี่ยังไม่รวมค่ายุงกัด รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดตำรวจลดให้เหลือสี่พันบาท แต่ก็ทำให้หายสงสัยว่าทำไมตำรวจถึงได้รู้ความเคลื่อนไหวของคนผิดตลอดและละเอียดทุกฝีก้าว และนำจับได้ทันทีทันควัน ก็ท่านได้แต่งกำลังตำรวจลับตามประกบไว้ตั้งนานแล้วนี่เอง
บันทึกนี้ไม่ได้ตั้งใจต่อว่าทางตำรวจลาวเลย แต่เป็นตัวอย่างให้คนไทยได้รู้ว่า หากเข้าเมืองตาหลิ่วแล้วไม่หลิ่วตาตาม ก็จะเดือดร้อนเช่นนี้ บางครั้งอัธยาศัยอันดีงามของพี่น้องลาวที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูง่ายๆไม่เข้มงวด อาจทำให้เราหลงผิดว่าไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่จริงแล้วในความนุ่มนวลมียังมีอะไรที่เข้มงวดอีกเยอะครับ
อย่างนี้แล้วหนุ่มๆวัย “ฉะกัน” ทั้งหลายยังอยากจะมาฮาเฮฯที่หงสาอีกไหมหนอ
สวัสดีครับคุณ
paleeyon หายไปนานครับ...ส.น.น ครับเราเตือนท่านแล้ว |
สมควรจำครับเรื่องนี้....แต่พี่ท่านจะหยุดหรือเปล่าไม่แน่ใจ...อิอิ
โชคดีครับ
สวัสดีค่ะคุณเปลี่ยน
แหม! เป็นคดีเด็ดเลยนะคะ
ต่างชาติเข้มงวดเรื่องอย่างนี้มาก
ขนบธรรมเนียมประเพณีจึงสืบทอดมาได้ยาวนาน
ต่างชาติต้องศึกษาไว้
ขอบคุณข่าวจากหงสาค่ะ
เป็นตัวอย่างที่ดีที่ผู้ต่างหน้าทั้งหลายควรเรียนรู้
มิใช่สำลักประชาธิปไตยเหมือนเมืองไทย...
อยากจะ โส-น้า-หน้า..ด้วยซ้ำไป เจ้าหมอนั่นควรสำนึกผิด มิเช่นนั้นเดี๋ยวเหมือนผู้ใหญ่บางคนในเมืองไทยที่มีคดีติดตัวตอนนี้ อิอิ..
เหนื่อยไหมคะลุงเปลี่ยน ไหนจะต้องทำงานแล้วยังจะต้องมาพัวพันระหว่างประเทศในเรื่องแบบนี้อีก..เฮ้อ เซ็งแทน
โชคดีที่ ผมย้ายกลับมาซะก่อนไม่งั้นคงหนีไม่พ้น ต้องรบกวนพี่เปลี่ยนไปเป็นผู้ปกครองอีกรอบแน่ๆฮ่าาาาาาา
รพี (กวีเคยเจ้าชู้แต่ตอนนี้เป็นคนดีเสียแล้วครับ)
ผมเข้ามาอ่านได้หลายวันแล้วชอบมากคับ เมษานี้จะไปเที่ยวเมื่องหงสา และต่อไปเมืองหลวงอีกที่
ได้ยินอาจารย์เล่าอย่างนี้แล้วไม่กล้านอกหลู่ซะแล้ว..มีแม่ยิงลาวรู้จักกันที่หลวงพะบาง
เธอเป็นคนหงสาชวนไปเที่ยวบ้าน..แต่ผมเคยอยู่ที่หนึ่งแรกก็กลัวจะมีปัญหาอย่างอาจารย์เล่ามาแต่พอเจอแม่ยิงลาวดูถูกว่า.. คนไทยใจไม่แข็งแรง...ที่แรกไม่เข้าใจพอสาวเจ้าอธิบายความหมายแค่นั้นแหล่ะ..ผมจำเป็นต้องชักดาบออกมาฟันซะเลยจะได้รูว่าคนไทยแข็ง....แรงไม่แพ้ผู้บ่าวลาว55555