ห่างหายไปนานกับการเขียนบันทึก การกลับมาครั้งนี้ก็มีเรื่องราวที่คิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจของประเทศลาว ประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีของไทยที่ไม่อาจจะมองข้ามไปได้ การไปลาวครั้งนี้ผู้เขียนได้ไปร่วมกันกับบุคคลที่หลากหลายทั้งอาจารย์ ข้าราชการ NGO และนักศึกษาด้วยกันเอง
ขึ้นชื่อว่าระหว่างประเทศการศึกษาดูงานครั้งนี้ก็ต้องเป็นอะไรที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศ เริ่มต้นจากเรื่องตรวจคนเข้าเมือง โดยหลักแล้วการเข้าเมืองของลาวนั้นก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับบ้านเรา ผู้เขียนไปหลายวันเลยต้องใช้ PASSPORT ไปได้รอบประเทศลาวเลย แต่หากเป็น BORDER PASS แล้วล่ะก็ไปได้แค่ 3 วัน แล้วก็อยู่ได้เฉพาะจังหวัดที่เราขอเท่านั้น ส่วนวีซ่าน่ะหรือ ไม่ต้องขอลาวเค้าจัดให้อยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน เพราะไทย-ลาว เป็นเพื่อนบ้านกัน
ผู้เขียนคิดว่าประเทศที่มีชายแดนติดต่อกันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียการตรวจคนเข้าเมืองมันก็ต้องมีหลายด่านตามมาด้วยทั้งด่านใหญ่ ด่านเล็ก ระบบข้อมูลถ้าจัดเก็บอย่างไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ก็จะทำให้มีข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการจัดการประชากรระหว่างประเทศตามมาแว่วมาว่าตอนนี้ประเทศลาวกำลังพัฒนาเรื่องการลิ้งค์ข้อมูลให้มีเครือข่ายเข้าสู่ฐานข้อมูลรวมแบบศูนย์กลางได้ ก็เอาใจช่วยในการพัฒนาครั้งนี้ด้วยเพระาเป็นเรื่องที่ดี ไทย-ลาวจะได้มีการจัดการประชากรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
คณะเราได้ไปคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวด้วย การเรียนการสอนที่นี่นั้นเน้นให้นักศึกษาเป็นศูนย์กลางในการคิด นักศึกษาที่นี้ได้เรียนยิงปืนด้วยเหมือนนักศึกษาทหารเลย เห็นแล้วก็อิจฉาเหมือนกันเพราะผู้เขียนชอบยิงปืน แอบมันไปกับเค้าด้วย ที่รู้มาก็คือคณะนี้ยังไม่มีป.โท หรือ ป.เอก เลย เราไทย-ลาวมาร่วมกันพัฒนาก็เป็นความคิดที่ดีอย่างยิ่งเห็นด้วยกับอาจารย์ หลังจากฟังการบรรยายในเรื่องการจัดการประชากรแล้วคิดว่าปัญหาของประเทศลาวนั้นอยู่ที่ระบบการจัดเก็บและการรวบรวมข้อมูลประชากรที่ยังไม่ครอบคลุมกับความเป็นจริงกับประชากรที่มีอยู่ ประชากรที่อยู่ห่างไกลอาจได้รับการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่ทั่วถึงได้
ต่อกันที่เรื่องของแรงงาน ผู้เขียนและคณะก็ได้ไปที่ศาลประชาชนสูงสุดและกระทรวงแรงงาน ที่ลาวนั้นเค้ามีการให้การคุ้มครองแรงงานทั้งของเค้าเองและต่างด้าวคล้ายคลึงกับไทย และเค้าก็ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชนเช่นกัน ที่รู้มาที่ลาวนั้นการฟ้องคดีของผู้เสียหายนั้นจะฟ้องคดีโดยรัฐเท่านั้นซึ่งแตกต่างจากไทย แต่ในส่วนอื่นๆแล้วนั้นก็อาจมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกับไทยในส่วนของหลักกฎหมายทั่วๆไปและอาจแตกต่างกันบ้างเนื่องจากเค้าเป็นสังคมนิยม แต่เค้าก็กำลังพัฒนาให้กฎหมายของเค้ามีลักษณะที่มีความเป็นสากลมากขึ้น
ในส่วนของภาคเอกชนลาวเป็นประเทศที่นิยมสินค้าที่มาจากไทยเราก็ควรที่จะให้ความสำคัญกับจุดนี้เหมือนกัน แสดงว่าสินค้าเรามีคุณภาพ ทีนี้ในส่วนของการลงทุน การดำเนินการ ทางลาวนั้นเค้าก็มีการส่งเสริมการลงทุนเหมือนกัน แต่เท่าที่ได้ฟังจากผู้ประกอบการของไทยนั้นคิดว่าอุปสรรคใหญ่อยู่ที่เรื่องของอัตรการแลกเปลี่ยน จุดนี้ผู้ประกอบการบอกว่าเป็นเรื่องที่ต้องละเอียดชิงไหวชิงพริบกับอัตรแลกเปลี่ยนที่ขึ้นลงทุกวัน ทำให้ไม่มั่นคงในผลกำไรมากเท่าที่ควร จุดนี้เราไทย-ลาวก็น่าที่จะตกลงกันเพื่อประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นทั้งสองฝ่ายเหมือนอย่างที่เวียดนามเค้าตกลงกับลาว การค้าระหว่างเวียดนามกับลาวก็เลยราบรื่น
ต่อไปนี้ก็จะขอเล่าถึงความประทับใจในประเทศลาว การไปครั้งนี้ได้เห็นอะไรในเวียงจันทน์ที่เป็นเมืองหลวงที่แตกต่างจากกรุงเทพฯบ้านเรามากพอควรเลยทีเดียว ที่ชัดเจนที่สุดก็คือเค้าเป็นเมืองหลวงที่สงบ ไม่วุ่นวายมากนัก ความปลอดภัยในชีวิตค่อนข้างสูง แต่หากใครคิดว่าสินค้าที่ลาวนั้นจะถูกขอบอกว่าคิดผิดเพราะเมื่อมาคำนวณดูแล้วบางอย่างเค้าราคาสูงกว่าบ้านเราซะอีกรู้มาว่ารถเมล์ที่นี่ 20 บาท ตลอดสาย แพงกว่าเรามั้ยล่ะ แต่ไปอยู่มาก็หลายวันยังไม่เห็นรถเมล์กับแท็กซี่บ้านเค้าเลย เพระาเค้านิยมรถจัมโบ้มากกว่าก็อารมณ์คล้ายตุ๊กตุ๊กบ้านเรานั่นหล่ะ คนลาวนี่ดีอย่างเค้าไม่เป็นหนี้เงินกู้เหมือนบ้านเราหรอกเพราะพี่วอน(ไกด์ชาวลาวที่ใจดี)บอกว่าคนลาวไม่นิยม ถึงว่าไม่เห็นพวกไฟแนนซ์ทั้งหลายแหล่ที่ผุดเป็นดอกเห็ดที่บ้านเราไปโผล่ที่ลาวเลยมีแต่แบงค์ไทยที่ไปเปิดสาขาที่ลาวเท่านั้น พี่วอนบอกว่าคนลาวจะนิยมเก็บเงินให้ถึงเป้าหมายก่อนแล้วก็หอบเงินไปซื้อสดเลยเป็นไงล่ะเจ๋งสุดยอด รถราส่วนใหญ่ของเค้าแหมนึกว่าอยู่เกาหลีมีทั้ง ฮุนได เกีย และอีกสารพัดของยี่ห้อรถเกาหลีเค้าบอกว่ามันถูกกว่าโตโยต้า ฮอนด้า บีเอ็ม และเบนซ์เป็นอย่างมาก รถเกาหลีไม่กี่ล้านกีบก็ซื้อได้แล้ว แต่ถ้าเป็นยี่ห้ออื่นล่ะก้อเป็นร้อยล้านกีบเลยล่ะเค้าบอกมา
แต่เมืองหลวงบ้านเค้ารถไม่เยอะนะ ไม่มีรถติด มลพิษก็น้อย ตึกสูงระฟ้าตระการตาล่ะก็อย่าหวังจะได้เห็นเพราะเค้ามีกฎเกณฑ์จำกัดอยู่ แต่การเดินรถบ้านเค้าแอบสับสนเล็กน้อยเพราะไม่เหมือนบ้านเราทางเข้าเค้าคือทางออกเรา ผู้เขียนและคณะเวลาจะข้ามถนนหรือขึ้นรถโค้ชก็จะผิดฝั่งกันเป็นประจำ อันนี้ก็ไม่รู้ว่าพี่ไทยเราเดินรถแปลกกว่าชาวบ้านทั่วโลกหรือว่าปกติดีแล้ว บ้านเมืองเค้าปลอดภัยใช้ได้อย่างน้อยก็น่าจะมากกว่ากรุงเทพฯบ้านเราผู้เขียนเดินเล่นกับเพื่อนๆยามค่ำคืนก็รู้สึกอุ่นใจดี
อีกอย่างเท่าที่สังเกตคนลาวเนี่ยเค้าไม่อ้วนนะสงสัยเป็นเพราะว่าด้วยความที่บ้านเรือน อาคารทั้งราชการและเอกชนไม่มีตึกสูงมากนัก เค้าก็อาศัยเดินขึ้น-ลงบันไดเอา ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ส่วนพวกผู้หญิงก็ต้องนุ่งซิ่นถ้าอ้วนเดี๋ยวใส่แล้วไม่สวย แต่ขอชมเลยว่าแม่หญิงลาวเค้านุ่งซิ่นกันสวยๆทั้งนั้นดูเป็นเอกลักษณ์ของชาติดี โดยส่วนตัวแล้วชอบมากเพราะเค้ายังคงความเป็นเอกลักษณ์ไม่ได้เป็นฝรั่งจ๋าจนเกินไป ในส่วนของสถานบันเทิงเค้าก็มีนะ วัยรุ่นเค้าก็นิยม แค่เค้าเปิดสามทุ่ม เที่ยงคืนก็ปิดล่ะ พอปิดก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันไม่เหมือนพี่ไทยปิดแล้วยังจะไปหาที่ต่อกันอีก
อาหารการกินเค้าก็คล้ายกันกับบ้านเราแต่จะรสชาดอ่อนกว่าพี่ไทยเราจัดจ้านแต่ก็แซบพอกัน ภาษาลาวสำหรับผู้เขียนค่อนข้างจะปรับตัวได้เร็วพอควรฟังๆดูแล้วก็คล้ายกับเว่าอีสานบ้านเฮาถึงแม้ว่าผู้เขียนจะไม่ใช่คนอีสานแต่ก็คลุกคลีตีโมงอยู่กับคนภาคนี้ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง หรือแม้แต่พี่เลี้ยงของผู้เขียนเองก็ตาม แต่ว่าบางคำนั้นแปลกกว่าและอาจมีความหมายต่างกับไทยโดยสิ้นเชิง เช่น ตำภาษาลาวแปลว่าชนในภาษาไทย ปื้มแปลว่าสมุด เป็นต้น ผู้เขียนสับสนกับอักษรลาวในตอนแรกไปอ่านคำว่ากรุณาเป็นทะลุมาซะได้ก็ฮากันไป แต่พออยู่นานเข้าฟังไปฟังมาก็ซึมซับ ผู้เขียนว่าสำเนียงบ้านเค้าฟังดูแล้วน่ารักดี อันนี้ชอบเป็นการส่วนตัว
สุดท้ายนี้ผู้เขียนก็ต้องขอขอบคุณอ.แหววที่ได้ให้ผู้เขียนได้ไปเปิดโลกทัศน์ทั้งทางด้านกฎหมายด้านวิชาการอื่นๆและวิถีชีวิตของคนต่างบ้านต่างเมือง รวมทั้งต้องขอบคุณผู้ประสานงานทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆคนที่ทำให้ผู้เขียนและคณะได้เดินทางไปลาวในครั้งนี้
มาอ่านแล้วนะครับ อิอิอิอิอ
อ่านแล้วได้มูลดีเพราะกระผมจะพาคณะชุดเล็กๆประมาณ 30 คนไปเที่ยวลาวเหมือนกันกะไปวังเวียง หลวงพระบาง นอนลาวสัก 3 คืน คราวหน้าคงได้อ่านอีกนะครับ
คนชอบเที่ยว