หมอบ้านนอกไปนอก(74): ท่องแดนสกอต


สกอตแลนด์ ดินแดนกึ่งอิสระในอาณัติของอังกฤษที่มีประวัติการต่อสู้กันมายาวนาน ป็นดินแดนที่มีเสน่ห์น่าเที่ยว มีสถานที่และสิ่งดึงดูดใจหลากหลายทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติพื้นที่ที่เป็นภูเขา ป่าไม้และทะเลสาบสวยสดงดงาม

ชีวิตต่างแดนในช่วงสัปดาห์ที่ 39 นี้ การมาที่สกอตแลนด์เป็นโอกาสเดียวในช่วงสิบเดือนที่ยุโรปที่ผมได้ไปเที่ยวเกาะอังกฤษ เดิมวางแผนไว้ว่าจะนั่งรถไฟไปให้ถึงลอนดอน แต่ดูจากเวลาและตารางรถแล้วไม่สามารถทำได้ จึงลดมาที่แมนเชสเตอร์หรือยอร์คแต่ก็ทำไม่ได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามก็ถือได้ว่าได้เที่ยวในสกอตแลนด์มากเช่นกันและสกอตแลนด์ก็เป็นดินแดนที่มีเสน่ห์ไม่น้อยไปกว่าที่อื่นๆเลย  มีแหล่งท่องเที่ยวให้เลือกครบทุกรสชาติ คนที่ชอบงานศิลปะก็เลือกเที่ยวได้ทั้งที่เมืองเอดินเบอระ เมืองหลวงหรือเมืองกลาสโกว์ เมืองช้อปปิ้งที่ใหญ่อันดับสองรองจากลอนดอน มีศิลปะตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 13 เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน แต่ถ้าชอบท่องป่าเขาลำเราไพรก็เที่ยวไฮแลนด์ที่มีธรรมชาติงดงามได้

เอดินเบอระ (Edinburgh) เป็นเมืองหลวงของสกอตแลนด์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1437 เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากกลาสโกว์ มีประชากร 4 แสนกว่าคน อยู่บนชายฝั่งตะวันออกติดกับทะเลเหนือ ถือเป็นเมืองที่โรแมนติกอีกเมืองหนึ่งของยุโรป ในเขตโลว์แลนด์ตอนกลาง ย่านเมืองเก้าและย่านเมืองใหม่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1995 มีทัศนียภาพที่งดงาม อุดพมด้วยศิลปะและวัฒนธรรม ภูเขากลางเมืองและสวนสาธารณะที่เขียวขจี สามรารถเดินเที่ยวหรือขึ้นรถบัสโดยสารที่สะดวก มีแผนผังเดินรถที่ชัดเจน ซื้อตั๋วแบบหนึ่งวันขึ้นลงได้ไม่จำกัดเที่ยวหรือซื้อแบบครั้งเดียวก็ได้ แต่ถ้าเดินทางต้องขึ้นลงมากกว่า 1 เที่ยวซื้อแบบวันเดียว (One day ticket) ถูกกว่าแบบครั้งเดียว (One way ticket) และสะดวกกว่าเพราะคนขับรถเมล์เป็นผู้ขายตั๋วเองและไม่ยอมทอนเงินให้เรา เราต้องเตรียมเงินให้พอกับค่าตั๋วเลย

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2551 หลังทานอาหารเย็น ฟ้ายังคงสว่างอยู่ในเวลาเกือบสองทุ่ม ผม พี่ตู่ กัดดัม เกลนด้าและริด้า เดินขึ้นเขาด้านหลังที่พักที่เป็นสวนสาธารณะHolyrood Park เป็นเนินเขาสูงที่ปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี เนินเขาเตี้ยๆที่มีเนินเขาสูงกว่าอีกทิวหนึ่งซ้อนอยู่ ลมพัดเย็นสบาย เจอกระต่ายตัวเล็กๆหลายตัวและมีทากเดินไปมาบนพื้นหญ้าด้วย จนอาทิตย์ลับขอบฟ้าเราจึงกลับลงมาพักผ่อนที่โรงแรม พร้อมกับสัญญาใจว่าจะมากลับเดินรับลมชมวิวและปีนทิวเขาสูงอีกลูกหนึ่งในวันต่อๆไป

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2551 ไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหน

วันพุธที่ 4 มิถุนายน 2551 หลังบ่ายสี่โมงเย็น กลับจากการดูงานโรงพยาบาลแล้วก็นั่งรถบัสต่อเข้าไปชมรอบๆปราสาทเอดินเบอระและเดินขึ้นยอดเขาคาสเซิลฮิลล์ซึ่งเป็นภูเขาไฟเก่าที่สงบแล้วไปสู่ตัวปราสาท ได้ถ่ายรูปร่วมกับทหารชาวสกอตที่ยืนเฝ้าทางเข้าปราสาทอยู่ ต้องเสียเงินเข้าชมปราสาทแต่เห็นว่าเหลือเวลาอีกชั่วโมงเดียวก็ปิดทำการจึงไม่คุ้มที่จะเข้าไปชม ได้ยืนชมทิวทัศน์รอบๆเขา มองเห็นตัวเมืองที่มีอาคารที่มีความเก่าแก่ ทรงคุณค่า ทิวเขารอบๆและทะเลฟ้างามงดงามในยามเย็นที่แสงแดดยังคงส่องแสงอ่อนๆ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน 2551 เลิกอบรมแล้ว ผมกับพี่ตู่ นั่งรถชมรอบเมืองเอดินเบอระทั้งย่านเมืองเก่าและย่านเมืองใหม่ แล้วไปหาข้อมุลการเดินทางที่สถานีรถไฟเอดินเบอระเวเวอร์ลี่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หลังจากนั้นนั่งรถบัสผ่านย่านเมืองใหม่ไปเที่ยวริมทะเลนั่งรถไปเกือบชั่วโมงก็ถึงสถานีรถบัสโอเชียน ลงจากรถเข้าไปในห้างสรรพสินค้าที่ตั้งอยู่ติดกับทะเลเมืองเอดินเบอระเพื่อชมเดอะ รอยัล ยอร์ช บริทาเนียที่สถานีโอเชียน เขตเลธ เป็นเรือยอร์ชที่ราชวงศ์อังกฤษใช้มากว่า 40 ปี ภายในเป็นเหมือนพระตำหนักเล็กๆที่หรูหรา ช่วงที่ไปเป็นช่วงปิดจึงไม่สามารถเดินเข้าไปชมข้างในได้ ได้แต่ชะเง้อชะแง้แลดูความงดงามได้เพียงภายนอก หลังจากนั้นก็นั่งรถบัสกับที่พัก

ทานอาหารเย็นแล้ว ผม พี่ตู่ เกลนด้าและริด้า ก็ออกไปเดินชมทิวทัศน์บนเนินเขาด้านหลังที่พัก เป็นเนินเขาที่เกิดจากการเลื่อนไหลของลาวาใต้ภูเขาไฟแคนตันฮิลล์ที่อยู่ไม่ห่างออกไป เกิดการเคลื่อนตัวจนดันให้เปลือกโลกยกตัวเป็นเนินเขาขึ้นมา เราเดินไปจนถึงบริเวณตรงข้ามกับที่ทำการรัฐสภาแห่งใหม่แล้วก็ค่อยๆไต่ปีนเนินเขาขึ้นไปจนเกือบถึงยอดที่มีทางเดินหรือวิ่งสำหรับจักรยานและคนมาออกกำลังกายเดินชมทิวทัศน์ ช่วงพระอาทิย์ใกล้ลับขอบฟ้าด้านตรงข้าม มองเห็นอาคารและขอบฟ้างดงาม จนแสงอาทิตย์ค่อยๆหายไปเห็นเป็นแสงไฟจากอาคารมาแทนที่ เราเดินต่อไปอีกยาวไกลจนขาเริ่มอ่อนแรง จนมาถึงทางลงบริเวณใกล้ๆที่พัก ผืนดินปูด้วยพรมหญ้าอ่อนนุ่มรองรับรอยเท้าอย่างนิ่มนวล เดินกลับมาจนถึงที่พักและนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2551หลังเลิกอบรมนั่งรถบัสไปชมภายในปราสาทเอดินเบอระ ที่อยู่ในย่านเมืองเก่า (Old town) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา มีถนนปริ๊นเซสเป็นเส้นแบ่งเขต ขึ้นไปบนเนินเขาผ่านทางถนนรอยัลไมล์ และคาสเซิลฮิลล์ เสียค่าเข้าชมปราสาท 12 ปอนด์ เป็นปราสาทเก่าคู่บ้านคู่เมือง ตั้งบนเนินเขาภูเขาไฟที่มอดแล้ว เป็นสัญญลักษณ์ของเมืองที่เด่นงามเป็นสง่า ผมกับพี่ตู่เดินเข้าไปชมหลายจุด ชมเดอะคิงส์ ลอดจ์ดิง ที่เคยใช้เป็นที่พักของราชวงศ์ สร้างสมัยศตวรรษที่ 15 เคยเป็นที่ประสูติของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ของอังกฤษพระโอรสของพระราชินีแมรี่แห่งสกอตแลนด์ ชมเดอะเกรทฮอลล์ ที่สร้างใน ค.ศ. 1511 ใช้เป็นที่ประชุมสภาและประกอบพิธีสำคัญๆ

เดินเข้าไปชมเดอะคราวน์รูม ห้องที่เก็บรวบรวมของมีค่าประจำตำแหน่งของกษัตริย์เช่นมงกุฎเพชร ทำตั้งแต่ปี ค.ศ.1450 เป็นทองประดับด้วยไข่มุก 94 เม็ด เพชร 10 เม็ดและอัญมณีชนิดอื่นอีก 33 เม็ด เสื้อผ้าและตราประดับเกียรติยศ คทาทองประดับยอดด้วยหินควอช พระแสงดาบ หินแห่งโชคชะตา (Stone of Destiny) หลังจากนั้นก็เดินไปชมอาคารเก่าแก่ที่สุดของปราสาทที่สร้างสมัยคริสศตวรรษที่ 12 สมัยพระเจ้าเดวิดที่ 1 ใช้เป็นโบสถ์ส่วนพระองค์และราชวงศ์และสร้างถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระนางมาร์กาเร็ต ที่สิ้นพระชนม์ที่ปราสาทนี้เมื่อปี ค.ศ. 1093 โบสถ์นี้ถือเป็นโบสถ์ที่เล็กที่สุดในสกอตแลนด์และสหราชอาณาจักร ปัจจุบันยังใช้เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาต่างๆ จุคนได้ 25 คนเท่านั้น

หลังจากนั้นได้ชมพิพิธภัณฑ์ทหารสกอตที่รวบรวมประวัติศาสตร์การทหารและการสงครามที่ยาวนานกว่า 400 ปี มีอาวุธ เหรียญ และเครื่องแบบทหาร รวมทั้งนิทรรศการให้ชม เดินชมจนถึงเวลาปิดทำการ จึงเดินลงมาตามถนนรอยัลไมล์เที่ยวชมความงามของสถาปัตยกรรมสองฟากฝั่งถนน ผ่านถนนคาสเซิลฮิลล์มองเห็นหอคอยเอาท์ลุคและคาร์เมล่าออบสคูล่าแต่ไม่ได้เข้าชม เดินผ่านไปชมศาสนจักรเซนต์กายส์ที่ถูกบูรณะใหม่เมื่อคริสศตวรรษที่ 19 ในสไตล์โกธิค หลังคาทรงสูง ด้านในมีส่วนที่งดงามเป็นภาพเรื่องราวบนกระจกเสตนกลาสที่งดงามที่บริเวณ Thistle Chapel เดินแวะไปที่ถนนแคนเดิลเมเกอร์โรลใกล้สะพานพระเจ้าจอร์จที่ 4 พบรูปปั้นของเกรย์ไฟร์ส บ๊อบบี้ สุนัขที่มีความจงรักภักดีกับเจ้าของคือจอห์น เกรย์ที่ตามไปเฝ้าหลุมศพของเจ้าของในสุสานตลอดเวลาจนตัวเองตายตามไปในอีก 14 ปีต่อมา เดินจนค่ำก็นั่งรถบัสกลับที่พัก

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2551 หลังจากการทำกิจกรรมกลุ่มอันน่าเบื่อหน่ายแล้วหลังเที่ยงวัน ผมกับพี่ตู่ก็รีบไปขึ้นรถไฟเพื่อไปเที่ยวเมืองกลาสโกว์ เมืองใหญ่ที่สุดของสกอตแลนด์ มีประชากรราว 6 แสนคน เป้เนมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองในศิลปะแบบวิกตอเรียนที่สวยงามที่สุดในสหราชอาณาจักร เป้นบ้านเกิดของสถาปนิกชื่อก้องโลกอย่างชาร์ล รินนี แมคอินทอช ลงจากรถไฟเดินไปชมย่านจอร์จ สแควส์ ใจกลางเมือง อาคารสไตล์วิกตอเรียนเรียงรายให้ชมมากมาย เดินชมตัวเมืองไปตามถนนสายต่างๆจนไปถึงย่านคาทีดรอล ย่านเก่าแก่ของเมืองชมมหาวิหารกลาสโกว์ ที่สร้างสมัยคริสศตวรรษที่ 13-14 สไตล์โกธิค หลังคาแหลมสูง เดินเข้าไปย่านถนนบูโคนัน ที่เป็นถนนคนเดินจับจ่ายซื้อของหลากหลายชนิดพร้อมห้างสรรพสินค้าชื่อดังหลายแห่ง ผู้คนเดินสวนกันไปมาจำนวนมาก นักดนตรีอินเดียนแดงเปิดหมวกแสดงเรียกความสนใจได้อย่างมาก เดินไปชมทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำ Clyde ยืนรับลมเย็นบนสะพานข้ามฝั่งน้ำ เป็นแม่น้ำที่ยาวถึง 171 กิโลเมตร หลังจากนั้นก็เดินกลับไปขึ้นรถไฟกลับเอดินเบอระ

ถึงสถานีรถไฟแยกย้ายกับพี่ตู่ เดินลุยเดี่ยวไปย่านเมืองใหม่ ที่มีถนนปริ๊นเซสเป็นเขตกั้นกับย่านเมืองเก่า ฝั่งเมืองใหม่ จัดผังเมืองง่ายไม่ซับซ้อน ผมเดินลัดเลาะตามถนนเล็กๆไต่ขึ้นไปบนแคลตันฮิลล์ เนินเขาที่เป็นภูเขาไฟที่มอดดับแล้วอีกแห่งหนึ่ง เป็นภูเขาที่ไม่สูงนัก ถือเป็นจุดชมวิวมองเห็นทิวทัสน์ของเมืองที่อยู่โดยรอบและทิวทัศน์เหนือท้องทะเลเหนืออันงดงาม บนเขามีNational monument ที่สร้าวเลียนแบบมหาวิหารพาเธนอนของเมืองเอเธนส์ มี Nelson Monument และจุดชมวิว เดินชมได้สักพัก ก็เดินต่อลัดเลาะลงจากเนินเขาลงไปสู่ถนนรอยัลไมล์ ไปชมพระราชวังฮอลีรูด เฮาส์ ที่ประทับของพระราชินีอลิซาเบทที่ 2 (องค์ปัจจุบัน) เมื่อแปรพระราชฐานมาประทับที่สกอตแลนด์ ตัวอาคารเป็นสไตล์เรเนซองส์ที่ล้อมรอบด้วยสวนสวยเขียวขจี ภายในมีประวัติศาสตร์มากมายโดยเฉพาะเรื่องของพระราชินีแมรี่แห่งสกอต แต่เสียดายผมมาเย็นไปพระราชวังเขาไม่เปิดให้เข้าชมแล้ว ผมเดินเลยผ่านไปชมความงามภายนอกของอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ที่ออกแบบได้อย่างน่าดึงดูดใจแล้วเดินทะลุสวนสาธารณะเข้าไปถึงที่พัก เดินมากถ้าขาพูดได้คงร้องอุธรณ์ไปแล้ว กลับถึงที่พักทานอาหารค่ำแล้วก็พักผ่อน เตรียมสะสมแรงไว้ตลุยต่อวันรุ่งขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2551 เป้นวันเที่ยวไฮแลนด์ (Highlands) ดินแดนทางตอนเหนือของสกอตแลนด์ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 50 % ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา หุบเขาและทะเลสาบ ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ป่าที่ยังคงอุดมสมบูรณ์และมีพื้นที่มากที่สุดของยุโรป เป็นเขตที่มีคนอยู่น้อย ส่วนใหญ่ยังคงใช้ภาษาแกลิกอยู่ มีเมืองอินเวอร์เนสส์ เป็นเมืองหลวงของไฮแลนด์ ที่มีประชากรแค่ 40,000 คนเท่านั้น มีเมืองท่องเที่ยวน่าสนใจหลายเมือง ผม พี่ตู่ เฟ็ง ริด้า เกลนด้าและจองตั๋วทัวร์ของทิมเบอร์บุช Timberbush Tour ([email protected] ) คนละ 33 ปนอด์ รถออกที่ถนนรอยัลไมล์บริเวณทางขึ้นปราสาทเอดินเบอระ เวลา 8 โมงตรง เราเหมาแท๊กซี่จากที่พักไปกัน 6 คน โปรแกรมที่จัดเป็น Loch Ness, Glencoe & the highlands (Edinburgh) The majestic mountain, highland-valley of Weeping, Glencoe -Lochness &   the mysterious: Nessie

รถบัสปรับอากาศพาเราออกนอกเอดินเบอระผ่านไปทางเมืองสเตอร์ลิงที่สามารถมองเห็นปราสาทยืนเด่นอยู่บนภูเขาไฟที่มอดดับแล้ว แอ่งที่ราบน้ำท่วมริมฝั่งน้ำ Forth มีจุดสะพานข้ามน้ำเป็นจุดแบ่งรอยเขตของเขตเทือกเขาสูงกับพื้นราบต่ำ ด้านขวามองเห็นNational Wallace Monument ที่สร้างขึ้นเพื่อสดุดีฮีโร่ เซอร์วิลเลียม วอลเลซ ที่สามารถรบชนะกษัตริย์ King Edward ที่ Battle of Stirling ปี 1297 มีการนำมาสร้างเป็นหนังเรื่อง Braveheart

จากสเตอร์ลิง ถนนพาเราผ่านข้ามลำน้ำTeith เข้าไปในเขตเมืองDoune ที่ผลิตเหล้ามีชื่อ Deanston Malt Whisky ขณะข้ามสะพานมองเห็นปราสาทดูน เป็นที่ถ่ายทำของหนังMonty Python, The Holy Grail เดินทางต่อไปบนแดนเขาสูง ผ่านหมู่บ้านCallander ที่ตั้งแคมป์ของโรมัน และจุดเชื่อมต่อสำคัญๆแห่งอดีต ผ่านถึง The Trossachs และBares of Balquhidder เป็นรอยบันทึกของRob Roy MacGregor ฮีโรคล้ายๆกับโรบินฮูด

รถหยุดให้เราลงไปถ่ายภาพที่Kilmahog ซื้อของ พักเบรก ชมสัตว์Hamish, the Heelan วัวตัวผู้เขาโง้งที่น่ารัก ผ่านน้ำตกเลนี่ไหลลัดเลาะตามแนวถนน ผ่านLock Lubnaig ผ่านไปทางแยกหลักCrianlarich ระหว่างกลาสโกว์กับสเตอร์ลิง เรามุ่งไปทางเหนือไปที่Tyndrum ที่เคยเป็นชุมทางรถไฟบนทุ่งสูง แล้วมุ่งไปทางตะวันตกทางOban แล้วขึ้นเหนือไปทางFort William

ขึ้นเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมเข้าสู่ประตูหิมะ ขึ้นบนเขาMAMLORN  ผ่านLock Tulla หยุดจอดจุดชมวิวเหนือท้องทะเลสาบและขุนเขา  ผ่านสวนป่าRannoch Moor เข้าไปใกล้ Glencoe ฟังเรื่องราวbloody massacre ที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อ 1692 เมื่อthe Cambells fell on the MacDonalds ตามคำสั่งของกษัตริย์อังกฤษ จอดชมทิวทัศน์ภูเขาสามสาวที่เป็นของ Aonach Eagach ,the notched ridge เข้าไปใกล้ Glen Orchy ผ่านสะพานออชี่ เข้าสู่แรนนอคมัวร์ หุบเขาเกลนโค เข้ามาจนถึงริมฝั่งลอคเนส ผ่านฟอร์ตวิลเลียม ที่ทอดยาวไปถึงอินเวอเนส  มีเชิงเขา Ben Nevis ,Glen Nevis ภูเขาที่สูงที่สุดในอังกฤษ สูง 1343 เมตร ริมฝั่งทะเลสาบล็อคเนส ทำให้ฟอร์ตวิลเลียมมีฝนตกและน้ำตกมาก

ถนนนำไปผ่านทะเลสาบLoch Kinnhe, Loch Lochy, Loch Oich, Loch Ness ทั้งหมดเชื่อมกันด้วย Caledonian canal ที่สร้างขึ้นต้นคศ19 โดยดทัม เทลฟอร์ด ด้านภูเขาตอนใต้ฟอร์ตวิลเลียม มองเห็นที่ระลึกคอมมานโด (commando memorial) ที่รถไฟรับเด็กหนุ่มาฝึกทหารไปร่วมรบในสงครามโลกสอง รถขับพาเราเข้าสู้เขตทะเลสาบล็อกเนส (อ่านต่อจนจบตอนในความคิดเห็นครับ)

หมายเลขบันทึก: 209613เขียนเมื่อ 18 กันยายน 2008 09:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 พฤษภาคม 2012 00:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

(บันทึกต่อจนจบตอนครับ)

รถขับพาเราเข้าสู้เขตทะเลสาบล็อกเนส ไปจอดให้เราลงที่จุดเข้าชมปราสาทเออร์เกิร์ต (Urquhart castle) ที่เหลือเพียงซากปรักหักพังเนื่องจากมีประวัต์ศาสตรืมายาวนานสร้างตั้งแต่ ค.ศ. 1200 ผ่านสงครามอันยืดเยื้อ แต่ยังคงความน่าสนใจอยู่มาก ปราสาทนี้ตั้งอยู่ริมทะเลสาบล็อกเนส ยืนบนปราสาทมองออกไปเห็นแนวทะเลสาบน้ำใสสีครามสุดลูกตา หลังจากนั้นเราลงเรือล่องไปตามทะเลสาบ ชมวิวทิวทัศน์ของท้องน้ำและสองฟากฝั่ง ความสนใจน่าจะอยุ่ที่ความลึกลับของสัตว์ประหลาดเนสซี ที่คนขับเรือถามเราว่าคุณคิดว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนี้มีจริงไหม ในขณะที่เขาบอกว่าขับเรือมาตั้งนานแล้วยังไม่เคยเห็นเลยสักที

ผมดูแล้วก็คล้ายๆล่องแพเหนือเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก (ส่วนนั่งรถชมทิวทัศน์ก็คล้ายๆนั่งรถไปอุ้มผางหรือเพชรบูรณ์) ใช้เวลาสักชั่วโมงหนึ่งก็ถึงที่จอดเรือ เราเปลี่ยนไปขึ้นรถบัสคันเดิมมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงแห่งพื้นที่สูง Inverness เรามุ่งหน้ากลับสู่เอดินเบอระอีกเส้นทางหนึ่งที่ ผ่านทางเพิร์ธ ที่ตั้งของScone palace, Stone of destiny ของกษัตริย์สกอต ก่อนถูกขโมยโดยคำสั่งของกษัตริย์Edward1 ปัจจุบันอยู่ที่ปราสาทเอดินเบอระหลังจากต้องไปอยู่ที่อังกฤษถึง 700 ปี กลับมาผ่านสะพานForth Road bridge เข้ามาในเมืองทาง Arther’s seat & Edinburgh castle เป็นการสิ้นสุดการเดินทางท่องไฮแลนด์และการเที่ยวสกอตแลนด์ บนเส้นทางกว่า 400 กิโลเมตรใน 1 วันเต็มๆนี้ จึงมีทั้งความสุข สนุก ตื่นเต้นกับทิวทัศน์ เทือกเขา แมกไม้สวยสดงดงาม ทิวหิมะ ท่องทะเลสาบ ขณะเดียวกันก็เปี่ยมไปด้วยความอ่อนล้าของผู้เดินทางที่ต่างก็แอบงีบหลับกันเป็นระยะๆไปตามเส้นทางคดโค้งโอบรอบเทือกเขาสูงและท้องน้ำงาม

จากหนังสือเที่ยวสกอตแลนด์ของคุณนภัสกร (สิริเวชกุล) พิษฐานพร ได้กล่าวว่า 10 สิ่งที่ไม่ควรพลาดในสกอตแลนด์นั้น ผมได้สัมผัสกับ 6 สิ่งที่บางสิ่งก็ผิวเผินคือปราสาทเอดินเบอระ ดนตรีพื้นเมือง ทะเลสาบล็อกเนส ผ้าลายสกอตพื้นเมือง สกอตวิสกี้ (แต่ไม่ได้จิบในผับเคล้าเสียงดนตรีพื้นเมือง) แต่อีกสี่สิ่งไม่มีโอกาสได้สัมผัสคือปราสาทเอเลน ไส้กรอกแฮกกิสที่ทำจากเครื่องในแกะผสมกับข้าวโอ๊ตและหัวหอม รถไฟหัวจักรไอน้ำจาโคไบต์กับทิวทัศน์สะพานยาวข้ามแม่น้ำแบบในหนังแฮรี่พอร์เตอร์และการสนทนากับชาวพื้นเมืองเพื่อฟังภาษาอังกฤษสำเนียงสกอตติช นอกจากนี้ยังไม่ได้ตามรอยภาพยนตร์ดังๆอย่างBrave heart, Harry Potter, James Bond (The World is not Enough) และ The Da Vinci Code หรือรหัสลับดาร์วินชี

สกอตแลนด์เป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์สงครามกับอังกฤามาอย่างยาวนาน ปัจจุบันก็พยายามขอเป็นอิสระในการปกครองตนเอง เริ่มมีรัฐสภาเป็นของตนเองอีกครั้ง แม้จะยังคงรวมอยู่กับอังกฤษ เวลส์และไอร์แลนด์เหนือในชื่อของสหราชอาณาจักร (United Kingdom) บางทีก็เรียกว่าเกรทบริเตน (Great Britain) ซึ่งหมายถึง เกาะอันเป็นที่ตั้งของประเทศอังกฤษ ประเทศเวลส์ ประเทศสกอตแลนด์และประเทศไอร์แลนด์เหนือ ที่รวมเรียกกันในชื่อเต็มว่า United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland ที่แต่ละประเทศมีอิสระในการวางระบบต่างๆเช่นระบบสาธารณสุขของตนเอง แต่ยังต้องขึ้นกับรัฐบาลอังกฤษและมีกษัตริย์อังกฤษเป็นประมุข การเข้าไปเที่ยวประเทศทั้ง 4 นี้ก็ขอเป็นวีซ่าอังกฤษอย่างเดียวโดยวีซ่ามีอายุถึง 6 เดือน

พิเชฐ บัญญัติ(Phichet Banyati)

Verbond straat 52, 2000 Antwerp, Belgium

14 มิถุนายน 2551 (แก้ไขเพิ่มเติม 17 กันยายน 2551 ที่เมืองไทย)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท