หลังการเดินทางกลับจากวัดเกาะแก้ว
อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น ผมพาเจ้าสองหนุ่มตรงดิ่งเข้าเมือง เพื่อตัดผมให้แล้วเสร็จ
หลังจากละเลยเพราะไม่มีเวลามาแสนนาน ซึ่งกว่าจะกลับเข้าบ้านได้ เวลาก็ล่วงถึงสองทุ่มพอดิบพอดี
ในห้วงยามที่เพื่อนชีวิตไม่อยู่เช่นนี้ การมีโอกาสควบหน้าที่พ่อบ้านและแม่บ้านอย่างเสร็จสรรพ พลอยให้ชีวิตดูตื่นเต้น ท้าทาย และอบอุ่นไปในอีกมิติหนึ่ง –
คืนนี้ (30 สิงหาคม 2551) ผมมีบรรยายให้นิสิตได้รับฟังในเวทีโครงการ “คืนใสใส สานสายใยชาวดิน” ซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่มนิสิตพรรคชาวดิน โดยเนื้อหาที่ต้องบรรยายและร่วมแลกเปลี่ยนกับนิสิตนั้น ก็หนีไม่พ้นเรื่องกิจกรรมของนิสิต ประวัติความเป็นมาของพรรค และพันธกิจของคนหนุ่มสาวที่มีต่อสังคม
แรกเริ่มผมร้อนใจมาก เพราะไม่รู้จะดูแลลูก ๆ อย่างไรดี เพราะการบรรยายนั้นเป็นช่วงเวลา 3-5 ทุ่ม ด้วยเหตุนี้ คงไม่สามารถพาพวกเขาไปนั่งข่มตาหลับอยู่ในเวทีนั้นได้เป็นแน่ จึงได้แต่พยายามโทรหาน้องนุ่งที่สนิทกันช่วยมาทำหน้าที่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าสองหนุ่ม และพาพวกเขาเข้านอน ฯลฯ
ผมไปถึงเวทีในราวเกือบจะ 3 ทุ่ม อันเป็นช่วงเวลาที่พิธีบายศรีสู่ขวัญได้เสร็จสิ้นลง จากนั้นการร่วมรับประทานอาหารของนิสิตก็เริ่มขึ้นอย่างคึกคัก ขณะที่เวทีก็มีกิจกรรมบันเทิงเริงใจขับกล่อมอยู่อย่างครึกครื้น
ผมเกริ่นกล่าวเข้าสู่เนื้อหาการบรรยาย หรือพูดคุยกับนิสิตด้วยภาพรวมความเป็นมาของพรรคชาวดินโดยกว้าง ๆ พร้อม ๆ กับการเชื่อมโยงให้เห็นบุคลิกของพรรคชาวดินให้นิสิตได้รับรู้ในทำนองว่า เป็นกลุ่มนิสิตที่ค่อนข้างยึดมั่นหลักการ จริงจัง สร้างสรรค์และออกแนวศิลปิน โดยมีปรัชญาการดำเนินงานของพรรคว่า “กิจกรรมเพื่อส่วนรวมและสังคมที่ดีกว่า” และมีสโลแกนที่คุ้นหูว่า “ศรัทธา เชื่อมั่น”
กรณีดังกล่าวนั้น ผมยกตัวอย่างปรากฏการณ์ด้านกิจกรรมมายืนยันและสนับสนุนคำพูดของผมอย่างหนักแน่น เป็นต้นว่า การริเริ่มผลักดันให้มีสโมสรนิสิตคณะ การยกร่างระเบียบแนวปฏิบัติว่าด้วยกิจกรรม การประกาศนโยบายกระจายงบประมาณสู่ชมรม การจัดกิจกรรมที่เข้มข้น เข้าร่วมการพิทักษ์สิทธิ์ของนิสิตและประชาชนมาอย่างสม่ำเสมอ (แต่ปัจจุบันแทบไม่พบ)
และนั่นยังรวมถึง การริเริ่มโครงการใหม่ ๆ ขึ้นในมหาวิทยาลัย เช่น ลอยกระทง มหกรรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน ค่ายแบบบูรณาการที่ไม่เน้นการก่อสร้างวัตถุเสียทั้งหมด (ค่ายสาธารณสุขสู่ชนบท) ต้นไม้สายใยรัก กระดาษเพื่อน้อง ต้านลมหนาวสานปัญญา ฟุตบอล 7 คน ฯลฯ
ขณะที่ด้านศิลปะศิลปินนั้น ก็ได้สะท้อนให้เห็นว่า พรรคชาวดินเป็นต้นตำรับของการจัดกิจกรรมในทำนองศิลปะแขนงต่าง ๆ อยู่มากโข ทั้งจัดคอนเสริ์ต (โครงการหอบเสื่อมาเผื่อน้อง) โดยเชิญศิลปินมีชื่อมาแสดงดนตรี หรือไม่ก็ทอล์คโชว์ ซึ่งเน้นแนวคิดนั่งฟังสบาย ๆ ไม่เต้นแร้งเต้นกาเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พร้อม ๆ กับการสนับสนุนให้นิสิตแกนนำของพรรค (ประจวบ จันทร์หมื่น) ได้ออกอัลบั้มเพลงของตัวเอง และจัดคอนเสริ์ตของตนเองขึ้นในมหาวิทยาลัย ซึ่งนั่นน่าจะเป็นมิติใหม่ในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ (ปัจจุบันนิสิตท่านนั้นก็กลายเป็นศิลปินที่มีอัลบั้มเพลงสังกัดค่ายดังไปแล้ว)
กิจกรรมในทำนองนี้ ต้องยอมรับว่า เป็นกิจกรรมที่สะท้อนถึงความกล้าของนิสิตพรรคชาวดินในการค้นหาแนวทางใหม่ในการจัดหาทุนไปทำกิจกรรม แทนที่จะเน้นการฉายหนังอย่างเดียว แต่กลับนำมิติด้านดนตรีและทอล์คโชว์มาเป็นทางเลือก ซึ่งบางครั้งก็ทำสติ๊กเกอร์จำหน่ายในราคาถูก เรียกได้ว่า ได้ทั้งเงินและกระแสของการปลุกเร้าจิตสำนึกในวาระต่าง ๆ ไปด้วยเช่นกัน
เกี่ยวกับการจัดคอนเสริ์ตนั้น ผมยังจำแม่นเลยว่า “หอบเสื่อมาเผื่อน้อง โครงการ 2” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2540 นั้น ได้กำไรมาก้อนโตเป็นแสนบาทเลยทีเดียว
- รายได้ส่วนหนึ่งนำไปจัดกิจกรรม “ผ้าป่าอาหารสัตว์” ที่จังหวัดชัยภูมิ และกิจกรรม “ค่ายสาธารณสุขสู่ชนบท” ที่บ้านผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย ซึ่งเป็นการสร้างห้องน้ำให้นักเรียน อบรมให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์และยาเสพติด รวมถึงการจับมือกับโรงพยาบาลจังหวัดเลยออกหน่วยบริการตรวจสุขภาพให้กับชาวบ้าน
กิจกรรมที่ผมยกตัวอย่างนั้น ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมในการริเริ่มและบุกเบิกในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า กิจกรรมหลายกิจกรรมก็ปิดตัวลง ไม่มีการสานต่อ หลงเหลือเพียงเรื่องเล่าและภาพถ่ายเพียงไม่กี่ภาพเท่านั้นที่พอให้แตะต้องและสัมผัสได้
ภายหลังการพูดคุย หรือนำเสนอเรื่องราวในทำนองประวัติของพรรคผ่านมิติกิจกรรมต่าง ๆ โดยสังเขปแล้วนั้น ผมก็เชื่อมโยงมาถึงการทำกิจกรรมในภาพรวมของสังคม
หลัก ๆ ผมสะท้อนแนวคิดของตัวเองว่า กิจกรรมที่ดี ต้องไม่เพียงตอบสนองกิเลสส่วนตัวของตัวเองเท่านั้น แต่ควรต้องตอบสนองต่อสังคมด้วย ซึ่งนั่นก็หมายถึงการรับใช้สังคม เฉกเช่นปรัชญาของพรรคที่ว่า “กิจกรรมเพื่อส่วนรวมและสังคมที่ดีกว่า” และปรัชญาของมหาวิทยาลัย ดังว่า “ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน”
รวมถึงแนวคิดที่ว่า
- กิจกรรม คือ การเรียนรู้ที่ไม่มีถูก มีผิด
- กิจกรรม คือ เครื่องมือในการค้นหาตัวเอง , ค้นหาเพื่อน และค้นหาสังคม
- กิจกรรม คือ เรือนเพาะชำชีวิตของนิสิต
- กิจกรรม คือ เบ้าหลอมจิตสำนึกสาธารณะ
- กิจกรรม คือ กระบวนการสังเคราะห์ความหมายของชีวิตและการมีอยู่ของชีวิต ฯลฯ
ในตอนท้ายของค่ำคืนนั้น -
ผมได้หยิบยกเรื่องสั้นที่มีชื่อว่า “คำขานรับ” ของศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์) ให้กับนิสิตฟังโดยคร่าว ๆ โดยเรื่องสั้นดังกล่าวถูกพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์วันจันทร์ ซึ่งเป็นการพิมพ์ก่อนยุคปี พ.ศ. 2500 เลยทีเดียว
เรื่องสั้นดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงภาพชีวิตของปัญญาชนในรั้วมหาวิทยาลัย และสภาพการณ์ของมหาวิทยาลัยในมุมอันแปลกแยกไปจากที่สังคมวาดหวังไว้
โดยตัวละครเอกฝ่ายชายได้ตัดสินใจหันหลังให้กับมหาวิทยาลัย ไม่ยอมเข้าสอบเพื่อให้สำเร็จการศึกษาตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย พร้อม ๆ กับการบอกลาหญิงสาวคนรัก เพื่อออกไปค้นหาความหมายของชีวิตในวิถีของตนเอง
และนี่คือส่วนหนึ่งของถ้อยคำที่ปรากฏในเรื่องสั้นที่มีชื่อว่า “คำขานรับ”
....”คนที่ประสงค์เพียงแต่จะหากินเลี้ยงชีพให้เป็นสุขสำราญไปวันหนึ่ง ๆ ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย เพราะคนเกือบทั้งประเทศ ก็ไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แต่เขาก็เลี้ยงตัวและครอบครัว มีความสุขสบายไปตามเรื่องตามทางของเขา ...
... การที่เรามาเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อจะศึกษาให้มีวิชาความรู้สึกซึ้งนั้น จะต้องมีความมุ่งหมายที่อยู่เหนือไปกว่าการมาขนเอาวิชาไปทำมาหากินเลี้ยงชีพเพื่อตัวเราเท่านั้น เราควรจะมีความมุ่งหมายเพื่อจะได้ช่วยผู้อื่นที่ช่วยตัวเองได้ ...
... มหาวิทยาลัยของเราไม่ต่างไปกว่าที่อื่น ๆ ที่ผมได้ผ่านมาแล้วในวัยเด็ก คือ แทนที่จะเป็นทางเปิดให้เราไปสู่อิสรภาพ กลับกลายเป็นที่คุมขังอันมั่นคง คุมขังเราไว้ในประเพณีและความคิดเก่า ๆ
... ตราบใดที่เราคิดถึงแต่ตัวของเราล้วน ๆ คือตั้งหน้าเรียนไป เพื่อจะได้กระดาษแผ่นหนึ่ง สำหรับจะไปประมูลเอาราคาสูงสุดในตลาดของความขี้ฉ้อขูดรีด เราก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นเด็กที่อ่อนโยน สุภาพและน่ารัก แต่ถ้าเราแบ่งเวลาไปคิดถึงเรื่องของคนอื่น ๆ คิดถึงความทุกข์ยาก และความกดขี่อยุติธรรม ที่เกิดขึ้นที่ที่นั่นและที่โน่น ... เราก็จะถูกแลดูด้วยดวงตาอันทมึงทึง และถูกบริภาษว่าเป็นเด็กที่เกะกะ เป็นผู้ที่จะก่อกวนความไม่สงบ ......
ผมไม่รู้หรอกว่า การนำเรื่องราวในแนวอุดมคติมาบอกเล่ากับนิสิตท่ามยุคสมัยเช่นนี้ จะถือเป็นเรื่องเฉิ่มเชยหรือไม่ แต่ถึงกระนั้น ผมก็ทบทวนแล้วว่า การนำเรื่อง “คำขานรับ” มาบอกกล่าวกับพวกเขา ก็ดีกว่าไม่นำมาพูด อย่างน้อยก็คงช่วยให้กิจกรรมในค่ำคืนนั้น ดูมีสาระขึ้นบ้างกระมัง -
ส่วนเขาจะรับรู้ รับฟัง และ “ขานรับ” ต่อแนวคิดเหล่านั้นได้มากน้อยแค่ไหน ทุกอย่างก็สุดแท้แต่นิสิตจะเลือกที่จะค้นหา หรือแสวงหาความหมายของการเรียนและการใช้ชีวิตด้วยตัวของเขาเอง
สำหรับผมแล้ว .. ผมแค่มาบอกเล่าเรื่องราวบางเรื่องเท่านั้น
และไม่ลืมที่จะ พ่วงแถมหน้าที่อีกอย่าง คือการตั้งคำถามเกี่ยวกับการเรียนและการใช้ชีวิตของพวกเขา - (ผู้ซึ่งเรียกตนเองว่า "ปัญญาชน")
สำหรับผมแล้ว...
ค่ำคืนนั้น ผมว่า ผมทำดีที่สุดแล้ว
มาชื่นชม คุณแผ่นดิน
บรรยายได้ดี เห็นบรรยากาศเลยนะนี่
สวัสดีครับ อ.. umi
อันที่จริง จะให้ดีเรื่องสั้นเรื่องนี้ต้องอ่านให้จบทั้งเรื่องนะครับถึงจะเข้าใจในวัตถุประสงค์ หรือแนวคิดที่ปรากฏในเรื่องสั้น แต่ที่ผมยกมาสั้น ๆ นั้น เพียงเพื่อสื่อสารให้รู้ว่า การเรียนในมหาวิทยาลัย คงไม่ใช่เพาะร่ำเรียนเพื่อให้จบไปแล้วมี "ใบเบิกทาง" ไปสู่อาชีพอย่างเดียว หากแต่หมายถึง การเรียนรู้ชีวิตไปพร้อม ๆ กับการเรียนหนังสือ
และนั่นก็รวมถึง การย้ำให้นิสิตนักศึกษา ได้ตระหนักถึงบทบาทของตนเองที่ต้องเติบใหญ่มาเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ .
ขอบพระคุณครับ
กว่าจะมีเวลาได้ทำในสิ่งที่ตอบสนองกิเลสส่วนตัว..เวลาของแต่ละวันของผมก็ล่วงเลยไปเกือบจะเป็นวันใหม่ซะแล้ว...
เพราะทุกวันนี้ถูกปีบคันด้วยภาระหน้าที่การงาน(อย่างหนักหน่วง)บางวันคำก็ไม่ได้ยืน..คืนก็ไม่ได้อยู่..เดินทางท ำงานในกรุงเทพและปริมณฑลเผื่อจะถึงที่พักก็ดึกดื่นเลยครับ
จนกิจกรรมที่สนองกิเลสที่ผมวางแผนต้องผลัดวันไปจนเกิดความโหยหา เช่น เข้าแผงหนังสือ,ท่องเน็ต,ฟังการปราศัย,ติดตามงานเขียนบทความที่เคยเสพอ่าน..!!!!!
"กิจกรรมคืนใสใส..สานสายใยชาวดิน.." ผมคงได้แต่จินตนาการบรรยากาศงาน ที่ปัจจุบันแนวคิดของต้นกล้าชาวรุ่นใหม่ๆกับแนวทางการทำงานทีสนองความคิด..หรือปฎิบัติตามคำสั่งนโยบายฯ..หรือวิถีทางใหม่ๆจนสูญเสียอิสรภาพความคิดหรือแนวคิดที่เป็นตัวของตัวเอง(เหมือนผมตอนนี้...ฮ่าๆ) หรือจินตนาการผมอาจจะผิดผมก็ไม่เสียใจครับ..แต่ปลุกใจที่ผมยังได้เห็นยังได้ยินคำว่า "ศรัทธา เชื่อมัน" ขอบคุณพี่มากครับที่ยังคอยถ่ายทอดบรรให้ได้ติดตามอยู่ตลอด..ยังคงให้ผมมีกำลังใจและแนวคิดที่ทำให้ผม"ไม่หลงลืมอะไรไปบางอย่าง"
สวัสดีค่ะอ.แผ่นดิน
อ่านแล้วเหมือนได้ร่วมในกิจกรรมด้วย...
ชอบที่ว่า .. “ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน”
เพราะผู้มีปัญญาย่อมรตระหนักดีว่า เราทุกคนในโลกล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ
ความคิด คำพูด การกระทำของเราย่อมส่งผลต่อภาพรวม
ชื่นชมแนวคิดและกิจกรรมดี ๆ ค่ะ
(^___^)