เสวนาเฉพาะกิจที่บ้านในสวนริมน้ำยามมุ้งมิ้ง


วงเสวนาภูมิปัญญาในชุมชน

     

        คิดอะไรอยู่ในใจมา 4-5 วันแล้ว ความคิดคำนึงมันเกิดขึ้นจากกระแสความวุ่นวายในบ้านเมืองที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที  จากข่าวที่ทำให้ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง เช้า สาย บ่าย เย็น การแบ่งขั้วความรู้สึกนึกคิดชัดเจนมากขึ้น ผู้ที่ได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็น อาจารย์ เป็นนักวิชาการ ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นนานาสาระ ผู้รับผิดชอบบ้านเมือง ก็ไม่มีบทสรุปในการแก้ไขปัญหา นับวันสมองยิ่งอลเวง  ความรู้สึกเครียดนั้นเป็นต้นเหตุของความทุกข์  ทางสกัดทุกข์แก้ได้โดยการทำให้ความเครียดลดน้อยลง  การระบายความเครียดมีหลายวิธี   ต่างคนต่างมีวิธีคิด  มีวิธีหากิจกรรมมาบำบัด     ไม่ว่าสังคมไหนหากได้รวมกลุ่มเเฮฮากันแล้วก็จะคลายเครียดได้ชะงัดนัก   คิดได้ดังนั้นก็วางแผนเตรียมกับแกล้มอร่อย 2-3 ชนิด ประกอบไปด้วย ลาบปลาดุก ส้มตำแซบ แล้วก็ต้มไก่บ้าน    หลวงแหยงเป็นคนแรกที่คิดถึง เจ้าดำเป็นคนที่สอง สาวลัย สาวอุ่ม ไข่แมว ล้วนเป็นคนที่คุยถูกคอกันทั้งสิ้น  แกล้งไปบอกว่าวันนี้จะทำการไหว้สวน (พิธีกรรมของชาวบ้านอย่างหนึ่งในการขอบคุณแก่เจ้าที่เจ้าทางเทวดาอารักษ์ผู้ดูแลเรือกสวน และทำให้อยู่เย็นเป็นสุข)  ตอนเย็นๆขอเชิญมานั่งคุยกันสนุกๆ ปรากฏว่าไม่มีใครขัดข้อง

        ได้เวลาตามที่นัดหมายทุกคนมานั่งล้อมวง   เริ่มต้นด้วยการทักทายปราศัย เรื่องราคาพืชผล โดยเฉพาะราคาปาล์มน้ำมันที่ลดลงจาก 4-5 บาท เหลือเพียง 3.50 บาท  แล้วก็เรื่องทุเรียนที่กำลังเริ่มจะออกดอก อันเป็นผลมาจากฝนทิ้งช่วงระยะยาวในเดือนกรกฎาและสิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อฝนเริ่มตก ตาดอกของทุเรียนก็เริ่มโผล่ขึ้นมา  หากดวงดีเดือนกันยายน และตุลาคม ฝนไม่ตกชุกเกินไป ก็คงจะมีทุเรียนวางโชว์ตามหน้าบ้านร้านตลาด ช่วงปลายปี หรืออย่างช้าก็ต้นปีหน้า  แต่ถ้าหากฝนตกลงมามากตาดอกก็คงเปลี่ยนเป็นใบอ่อน    หลวงแหยงตักลาบปลาดุกใส่ปากพร้อมกับยกแก้วเบียร์ที่เย็นเยียบด้วยก้อนน้ำแข็ง เต็มแก้วขึ้นซดเฮือกใหญ่ พร้อมกับตักลาบปลาดุกใส่ปากเคี้ยวตุ้ยตุ้ย   สาวลัยพูดแหย่ไข่แมวที่กำลังเคี้ยวเนื้อไก่ต้ม อย่างเอร็ดอร่อย

          "เห็นว่าจะขึ้นไปกรุงเทพฯ ไปร่วมกับพันธมิตรที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ไม่ใช่หร์อ"       

          ไข่แมวยิ้มแล้วกล่าวว่า "คงไม่ไปแล้วเพราะดูๆมันรู้สึกมั่วๆอย่างไรไม่รู้    พรก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลประกาศ ก็ทะแม่งๆ  นักวิชาการ วิจารณ์กันมั่ว นักศึกษากออกมาแสดงความคิดเห็นหลายพวกหลายฝ่าย"

          หลวงแหยงเอ่ยขึ้นบ้าง "เออว่ะตอนนี้บ้านเมือง มันแตกแยกทางความคิดกันจริงๆ มันจะเหมือนตอนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองหรือเปล่าก็ไม่รู้"

            สาวอุ่มนั่งฟังนิ่งๆมานานคงทนไม่ได้จึงพูดขัดหลวงแหยงขึ้นมาบ้าง  "พี่แหยงการเสียกรุงนั้นเป็นการรบพุ่งระหว่างชนชาติไทยกับพม่า  แต่วันนี้มันไม่ใช่การสู้รบเพื่อแย่งชิงเมืองกัน มันจะเหมือนกันได้อย่างไร"

           หลวงแหยงซึ่งกลายเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในวงเสวนา กล่าวตอบสาวอุ่มทันที "อีอุ่มเอ้ย เดี๋ยวนี้สงครามแบบพม่ากับไทยมันคงจะเกิดขึ้นยากมาก หรือคงจะไม่เกิดแล้วละ เว้นแต่จะเกิดขึ้นในลักษณะการรังแกกันโดยประเทศมหาอำนาจรังแกประเทศเล็กๆที่ไม่มีโอกาสต่อสู้  เดี๋ยวนี้มันเป็นสงครามระหว่างทุนนิยมกับมนุษย์นิยม  จึงกลายเป็นสงครามช่วงชิงคน"

             เจ้าดำพูดดักคอหลวงแหยงขึ้นมา "ที่ตนพูดว่าทุนนิยมกับมนุษย์นิยม พูดผิดไปแล้วมั้งพี่หลวง เขาเรียกทุนนิยมกับสังคมนิยมต่างหาก"

            หลวงแหยงยิ้มแล้วกล่าวต่อว่า " ถ้าเราคิดตามที่เขาว่ากันมาก็เหมือนที่เอ็งพูดนั่นแหละเพราะเมื่อก่อนสงครามที่ผ่านมามันเป็นเรื่องของทุนนิยมอเมริกากับสังคมนิยมคอมมิวนิสต์  แต่วันนี้จำเป็นมากนักหรือที่ต้องคิดตามของเดิมๆสิ่งเดิมๆ เราคิดกันเองบ้างไม่ได้หรือ"         ทุกคนเงียบ หลวงแหยงพูดต่อ "พวกเอ็งคิดดูซี เหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง มันเป็นปฏิบัติการ  ที่ใช้ ความรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อให้เกิดผลทางจิตวิทยา"

             "แล้วบ้านเมืองเราที่แบ่งแยกทางความคิด แบ่งกลุ่มแบ่งฝ่าย เพื่อจะเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ในขณะนี้มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ " สาวลัยพูดเข้าเหตุการณ์ปัจจุบัน    ไข่แมวกล่าวขึ้นมาบ้าง "ก็เรื่องมันอยู่ที่ไม่มีใครยอมใคร มันเป็นการต่อสู้กับคนของพรรคไทยรักไทยเดิม กับกลุ่มพันธมิตรซึ่งต้องการให้คนที่มีความผูกพันกับทักษิณ หมดโอกาสทางการเมือง ถ้าหากว่ากลุ่มคนเหล่านั้นยังมีเยื่อใยกับทักษิณอยู่"

              สาวอุ่มเอ่ยขึ้น "ยังไงนายสมัครก็คงไม่ลาออกแน่นอน เพราะแกบอกว่าแกไม่มีความผิดอะไรทำใมจะต้องออก "     ไข่แมวเริ่มเสียงดัง "ไม่ผิดยังไง นายสมัครทำตนเป็นกันชนทักษิณแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่ทักษิณยังเป็นนายก และรับเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน สืบทอดเจตนารมย์ไทยรักไทยอย่างชัดเจน"

              สาวอุ่มเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง "แล้วเขาได้เสียงข้างมาก เข้าสภา แสดงว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย และต้องการพรรคที่สืบทอดไทยรักไทย"  

           หลวงแหยงเห็นไข่แมวกับสาวอุ่มเริ่มพูดเสียงดัง เลยรีบพูดตัดบท  "เฮ่ย นั่นแหละที่ข้าบอกเอ็งว่า สงครามวันนี้มันเป็นสงครามระหว่างทุนนิยมกับมนุษย์นิยมไงล่ะ พวกแกจะบอกได้ใหมว่า คนส่วนหนึ่งนิยมทักษิณ และนายสมัครพลอยฟ้าพลอยฝน   อีกกลุ่มหนึ่งนิยม สนธิ กับมหาจำลอง จริงใหมว่ะ " หลวงแหยงหัวเราะลงลูกคอ 

               เจ้าดำนั่งฟังอยู่นาน หลังจากจิบเบียร์ไปหลายแก้ว ได้โอกาสพูดขึ้นบ้าง  "ผมฟังตั้งนานแล้ว ยิ่งฟังยิ่งงง  เมื่อกี้หลวงแหยงบอกว่าทุนนิยมกับมนุษย์นิยม   ทีนี้กลุ่มพันธมิตรกับกลุ่มคนรักทักษิณ มันก็เป็นการแตกแยกทางความคิดกันระหว่างคนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งชอบการทำงานของทักษิณ อีกกลุ่มหนึ่งเห็นด้วยกับมหาจำลอง กับนายสนธิ แล้วพวกที่ร่วมชุมนุม  ก็ไม่ใช่นักธุรกิจหรือนายทุนอะไรทั้งสิ้นแต่เป็นชาวบ้านเป็นประชาชนธรรมดาธรรมดา ทั้งนั้น    แล้วเขาก็ไม่ได้นิยมมนุษย์มนาที่ใหน "

                 หลวงแหยงหยุดนิ่งชั่วครู่ แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า เอาละพวกแกอายุกี่ปีแล้ว สาวลัยเกิดปีไหน

   ปี 2505   สาวลัยตอบ   เออ 46 ปี    เจ้าดำละ   ผมเกิด 2510  แก 41 ปี    สาวอุ่ม เกิดปี 2520   เออ 31 ปี     ไข่แมว 2521  เออ 30  ปี    หลวงแหยงถามอายุเสร็จ ก็กล่าวต่อ  "เอาล่ะข้าอาบน้ำร้อนก่อนเจ้า เพราะข้าเกิด 2495  ข้าจะเล่าให้ฟัง  โรงเรียนที่ข้าเรียนหนังสือเป้นครั้งแรกจำได้ว่าตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโรงเรียน  คนในหมู่บ้านแทบทุกคน ได้ช่วยกันก่อสร้าง ตั้งแต่ช่วยเลื่อยไม้ที่ใช้แรงคนชักไปชักมา

           การเรียนสมัยนั้น วิถีชีวิตของตนในสังคม ต้องหาอาหารเลี้ยงครอบครัว  ตื่นเช้าขึ้นมา พ่อแม่ต้องออกไปทำไร่ ทำสวน ปลูกผักปลูกหญ้า เด็กๆทุกคนจึงต้องรู้จักรับผิดชอบตนเอง หาข้าวหาปลากินเอง ช่วยดูแลน้องกรณีที่มีน้อง การได้ช่วยพ่อแม่ทำสวนทำนา เป็นสิ่งที่ทำให้รู้จักธรรมชาติ และมีความรู้สึกผูกพัน      การเรียนรู้กลไกการทำงานเป็นกลุ่ม เป็นสิ่งที่เด็กได้พบเห็นตลอดเวลา ของกินแทบจะไม่ต้องใช้เงินซื้อหา  ทั้งในงานบุญ หรือเวลามีการลงแขกช่วยเหลืองานกัน  ก็จะร่วมกันทำอาหารเลี้ยงกันเอง ไก่ที่เลี้ยงไว้ถูกนำมาเป็นอาหาหาร ขนมพื้นบ้านก็แสนจะอร่อย  เด็กเล่นไปทำไป ร่วมรับประทานอาหารกับผู้ใหญ่ไป อย่างสนุกสนาน

             ของเล่นต่างๆ ผู้ใหญ่จะนำวัสดุธรรมชาติมาทำให้เด็กๆ เช่นลูกข่าง ทำเรือ ทำรถเข็น เด็กผู้หญิงก็หัดจักสานหรือทำของเล่นด้วยใบไม้เป็นตุ้กตา  การเจ็บป่วย จำได้ว่าตอนเช้าแม่จะต้มใบมะขามหรือใบส้มป่อยให้อาบเป็นประจำ ยามหานิลถูกนำมาให้รับประทานหรือพอกบนกระหม่อม เมื่อมีหมออนามัยไปอยู่ที่สถานีอนามัย จึงเริ่มรู้จักยาฉีด ยากินหรือยาหลวง 

            พวกเราเรียนรู้สังคมคนในเมืองจากหนังฉายกลางแปลง เรียนรู้จักการต้อนรับขับสู้ข้าราชการที่ไปเยี่ยมบ้าน ที่พวกเด็กๆมองอย่างเกรงขาม   

             หลวงแหยงหยุดพูดชั่วครู่หันไปหยิบกับแกล้มตักเข้าปาก สาวลัยได้จังหวะ ก็กล่าวต่อ "เออคนสมัยก่อนกับสมัยนี้มันแตกต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือเลยน่ะ อะไรก็เป็นเงินไปทั้งหมดเลย   ไม่มีเงินซักอย่างเขาจะทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว "

     หลวงแหยงพูดต่อ        " เออ เออนั่นแหละ วิวัฒนาของพวกเราที่ต้องแหวกว่าย อยู่ภายใต้กระแสทุนนิยม จนแทบจะหมดแรงว่ายกลับเข้าฝั่งได้อยู่ทุกวันนี้นั่นแหละ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และเราจะฮึดสู้เพื่อทวนกระแสเหล่านี้ได้อย่างไร และที่ข้ากล่าวว่าสงครามในวันนี้ มันเป็นการต่อสู้ระหว่างทุนนิยมกับมนุษย์นิยม นั้น พวกแกพอมองออกหรือยัง "  

      "ข้ามองไม่ออกเลย เพราะที่ข้าเห็นและจำความได้ก็ช่วยพ่อกรีดยาง เสร็จแล้วไปเรียนหนังสือ แล้วก็ออกมาทำงานช่วยพ่อแม่ "  ไข่แมวที่อาวุโสน้อยกว่าผู้อื่นกล่าวขึ้น

       "พี่หมอมีอะไรพูดบ้างซิ นั่งยิ้มอย่างเดียว"  สาวลัยหันมาที่ผม

      "เอาละผมพยายามนั่งฟังและพยายามทำความเข้าใจอยู่  ผมจะย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชน ที่ผ่านมา เพื่อให้พวกเราลองฟังดูว่าความรู้สึกของผมจะเข้าสเป้คความคิดของหลวงแหยงหรือเปล่า  เมื่อช่วงก่อนปี 2520 มีการเคลื่อนย้ายถิ่นอพยพของผู้คนเข้ามา อยู่ที่นี่  โดยผู้นำครอบครัวที่ใจกล้า และเป็นนักสู้ชีวิต ได้นำครอบครัว เข้ามาอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้ ซึ่งเป็นป่าดิบ พวกเขามากันเป็นหมู่เหล่ามาอยู่รวมกัน แล้วก็ถางป่าปักเขตแนวเพื่อบอกความเป็นเจ้าของ ใครที่มีลูกชายติดตามมาหลายคนและโตพอที่จะช่วยเหลือได้ก็จะได้พื้นที่มากหน่อย ใครมาตัวคนเดียวก็ได้พื้นที่น้อยหน่อย  หลวงแหยงมาจากเกาะสมุย ช่วงที่มาที่นี่ อายุก็ปาเข้า  20 กว่าปีเข้าไปแล้ว  แล้วสาวลัย ละมาเมื่ออายุเท่าไหร่  " ผมหันไปถามสาวลัย "ฉันมาจากสุราษฎร์ ฉันเรียนหนังสืออยู่ เพิ่งตามมาเมื่อปี 2530 แล้ว " สาวลัยตอบ  ส่วนอุ่ม กับไข่แมว เกิดที่นี่เรียนหนังสือที่นี่เอง"

      หลวงแหยงคันปากขึ้นมาอีก  "เออหากเล่าความหลังละก็ช่วงนั้น ข้ามาใหม่ๆ พวกเอ็งรู้ไหมว่าข้าหาบหน่อมะพร้าวจากชายทะเล ครั้งละ 20 ลูก เพื่อนำมาปลูกโดยใช้เวลาเดินเกือบ 3 ชั่วโมง เพราะทางเดินเป็นถนนที่ทำไว้เพื่อให้รถเข้าไปลากไม้ซุง  เมื่อนำมะพร้าวไปถึงสวนก็รีบปลูก  สมัยนั้นถ้าเป็นคนที่มาจากเกาะก็จะปลูกมะพร้าวเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเป็นคนมาจากทางสุราษฎร์หรือมาจากนครศรี จะปลูกยางพารา  " 

      ผมพูดต่อ "เออแล้วพวกเราเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ของพื้นที่ตรงนี้ในช่วงระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา"  ผมหันไปถามหลวงแหยงเป็นคนแรก

          "  ที่เห็นชัดๆก็คือไม้ต้นใหญ่ 2-3 คนโอบ ไม่มีเหลือให้เห็น ทุกวันนี้ ปลูกยางปลูกปาล์มกันเกือบถึงยอดเขาแล้ว"    หลวงแหยงตอบ

          " เมื่อก่อนบริเวณข้างบ้านเรา ตอนผมเรียน ป.1 ป2 ทีบริเวณห้วยหนองข้างบ้าน น้ำลึกขนาดช้างลงไปยืนน้ำยังท่วมท้องช้างเลย แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นห้วยน้ำแห้ง " ไข่แมวพูดขึ้นบ้าง

          " เออพูดถึงเรื่องน้ำตอนฉันมาอยู่ใหม่ๆ เราขุดบ่อน้ำตื้น ก็มีน้ำพอใช้ในครัวเรือน แต่เดี๋ยวนี้ขุดไปลึกขนาดใหนก็ไม่เจอน้ำ"  สาวอุ่มพูดขึ้นมาบ้าง 

         ผมได้โอกาสเลยอธิบายให้ฟังว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาหลายๆคนคงจะได้รับฟังปรารภของสมเด็จแม่ ที่ทรงเป็นห่วงเรื่องการขาดแคลนน้ำในอนาคตข้างหน้า เพราะเกิดจากการทำลายป่าไม้และไม่ได้ปลูกป่าให้เพียงพอและทันต่อความต้องการ

          เจ้าดำพูดแทรกเชิงปรารภ "จะพูดว่าเราไม่ได้ปลูกป่า มันก็คงจะไม่ใช่ เพราะเรามีทั้งยางพารา มีทั้งปาล์มน้ำมัน มีมะพร้าว ทุเรียน "   นิ่งเงียบอึดใจหนึ่งแล้วพูดต่อ ไป "แล้วทำใม น้ำในดินมันถึงได้แห้ง ในห้วยหนองจึงขาดน้ำไปหมด"   ทุกคนหันมามองที่ผม ผมเลยหันไปถามหลวงแหยง "ตนคิดว่ายังไงหลวงแหยง"       หลวงแหยงตอบ   "คนมันถางป่าไปเรื่อยๆ ดินมันโล่งไปเรื่อยๆ พอร้อนจัดดินแห้ง พอฝนตกน้ำก็ลงมามากชะดินลงไปในลำคลองทำให้ลำคลองตื้น"  แล้วแกก็หันไปถามไข่แมวต่อ แกล่ะว่าอย่างไร  ไข่แมวพูดขึ้นว่า "จะไม่ให้ดินแห้งอย่างไรเล่า พอมีหญ้าขึ้นเขียวสักหน่อยก็ ไปซื้อยาฆ่าหญ้ามาฉีด" 

            "พูดถึงยาฆ่าหญ้าที่พวกเราใช้กัน จำได้ว่าตั้งแต่ปี 2522 มาแล้ว เราใช้ยาอะไรแล้วน่ะที่เป็นผงขาวๆละลายน้ำ" เจ้าดำพูดและหันไปถามหลวงแหยง "ยาอะไรน่ะ หลวงแหยง "

      หลวงแหยงคิดอยู่ครู่หนึ่ง "เออข้านึกได้แล้วชื่อดาลาพอน ที่เขาว่ากันว่า อเมริกานำมาใช้พ่นป่าในสงครามเวียตนาม พออเมริกากลับเมือง พี่ไทยก็ก็บไอ้ยาเคมีนั่นมาขายมาใช้กันเพลิดเพลิน"

       " ข้าจำได้ว่าใช้ดาลาพอนนี่แหละต้นยางที่ปลูกไปได้ปีกว่า เฉาตายไปครึ่งหนึ่งต้องตัดให้ขึ้นไหม่ "สาวลัยพูดขึ้นบ้าง     

        ผมรีบตัดบท "เอาล่ะผมจะลองสรุปที่พวกเราพูดกันมา ในเรื่องของน้ำในดิน ทุกคนต้องเข้าใจว่าน้ำในดินนั้นแบ่งเป็นน้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน สิ่งที่ทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาซึมซับลงไปสู่ผิวดินได้เป็นอย่างดีก็คือ รู หรือช่อง และรูหรือช่องเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะสิ่งมีชีวิตในดินส่วนหนึ่ง และรากของพืชอีกส่วนหนึ่งซึ่งมีทั้งรากฝอยที่หากินอยู่ไกล้ผิวดิน ส่วนรากโจทย์นั้นแหย่ลึกลงไปใต้ดินมาก ยิ่งต้นไม้โตใหญ่และอายุมากเท่าใดก็จะยิ่งลึกมากเท่านั้น เมื่อเราตัดต้นไม้ทีโตใหญ่ทั้งหมดออกมา และทำลายทิ้ง ก็ยังมีตอซึ่งยังคงอยู่ที่พอจะให้น้ำซึมลงไปได้บ้าง แต่เราไม่ยอมให้เหลือตอ อย่างตอไม้เนื้อแข็งเช่นไม้หลุมพอ ก็ขุดกันขึ้นมาทำเฟอร์นีเจอร์กันอีกไม่ยอมให้เหลือ แล้วเมื่อนำสารเคมีที่เรียกว่ายาฆ่าตอมาใช้ ก็ทำให้ตอไม้เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว แถมยังมีสารพิษตกค้างในดินอีก จริงใหมหลวงแหยง " หลวงแหยงพยักหน้า

       ที่เจ้าดำพูดว่า เราปลูกป่ากันอยู่ตลอดเพราะเราทำสวน เอ้าลองคิดดูซิว่า ต้นปาล์มน้ำมันมีรากโจทย์ใหม มันจะมีแต่รากที่สานกันคล้ายร่างแห ต้นมะพร้าวก็เช่นกันเพราะเป็นพืชพันธ์เดียวกัน ส่วนยางพารา และทุเรียน ถามจริงๆว่าใครบ้างที่ใช้เมล็ดปลูก ทุกคนใช้ต้นชำถุงแทบทั้งนั้น เพราะฉนั้นรากจึงไม่ลึกพอ แต่ก็ยังดีที่มีรากโจทย์ และเมื่ออายุได้ระยะหนึ่งเราก็โค่นทิ้ง ขายต้นไม้และไถดันเอารากเอาโคนขึ้นทั้งหมดเพื่อปลูกใหม่  ส่วนในเรื่องของการใช้สารเคมีทั้งยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลงนั้นที่แน่นอนคือสิ่งมีชีวิตในดิน ก็ลดน้อยลง รูหรือโพรงจากสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มี เมื่อฝนตกลงมาน้ำจึงไหลลงที่ลุ่มอย่างเร็วและดินก็จะอัดแน่นตลอดเวลาทำให้โอกาสที่น้ำลงไปในดินและใต้ดินน้อยมาก"  และนั่นก็คือแนวโน้มของการขาดน้ำในอนาคต  เมื่อน้ำไหลซึมลงในดินน้อยลง แต่เราขุดเจาะสูบ น้ำบาดาลมาใช้กันตลอดอย่างต่อเนื่อง แล้วน้ำที่จะซึมลงไปเพิ่มมันก็ไม่ทัน และโอกาสที่น้ำเค็มจะซึมเข้ามาแทนที่น้ำบาดาลก็จะเป็นไปได้ในอนาคต"ผมนิ่งเพื่อรอให้มีใครพูด 

          ไข่แมวถามขึ้น "อ้าวแล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไรล่ะ เมื่อมันเป็นอย่างนั้น"

           สาวอุ่มพูดขึ้นบ้าง "ตั้งหลายปีมาแล้ว เห็นเจ้าหน้าที่ราชการขนต้นไม้มาให้ปลูกกันบ่อยๆบอกว่าช่วยกันปลูกป่า ในที่ประชุมหมู่บ้านต่างคนต่างเอากันมาไว้ที่บ้าน แต่ที่จะเอาไปปลูกจริงๆมีน้อยมาก เพราะเขาไม่อยากให้เสียเนื้อที่ปลูกยางปลูกปาล์มของเขา  "

           "ใช่ถ้าตอนนั้นถ้าพวกเราได้รู้เหตุผล และเข้าใจอย่างถ่องแท้ ป่านนี้ริมลำห้วยต้นน้ำลำธารก็จะมีต้นไม้ใหญ่ๆ เป็นพุ่มปกคลุมเป็นแถวเป็นแนว มองแต่ไกลก็ยังรู้ว่าเป็นแนวลำห้วยแนวลำคลอง  ตามแนวถนนก็ปลูกให้ทั่ว ในเรือกสวนก็ปลูกสลับไว้บ้างบ้านละ 2 ต้นก็ยังดี ป่านนี้คงมีเยอะแยะ "  

          เสียงกริ่งโทรศัพท์มือถือดังขึ้น  สาวลัยรีบยกโทรศัพท์ขึ้นไปแนบที่หู เสียงคุยกับลูกเหมือนตกลงอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทุกคนก็ได้ยินเสียงบ่นพึมพัมของสาวลัย  "เฮ้อ ไม่รู้เมื่อไรมันจะพอเสียที ไอ้น้องมันโทร.มาออดอ้อนขอเงินซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เล่นเนตได้ บอกว่าจำเป็นจริงๆ มันบอกว่ามันจะไม่ดื้อกับแม่อีกขอให้ได้โทรศัพท์เครื่องไหม่ก็แล้วกัน "  เหนื่อยใจเหลือเกินกับลูกบังเกิดเกล้า

          สาวอุ่มพูดขึ้นบ้าง "อย่าว่าแต่ของตนเลย ของฉันอยู่ ป. 4 ใช้เงินวัน หนึ่ง ห้าหกสิบบาท ซื้อแต่ของจากร้านค้า  ทั้งของเล่นของกิน เราไม่ให้ซื้อก็งกๆงอนๆ อยู่อย่างนั้นแหละ รำคาญจริง  "

        "  เหมือนกันทั้งนั้นแหละเด็กๆทุกวันนี้  มันสบายกันมากเหลือเกิน ไม่รู้จักทำอะไรเลย เสาว์อาทิตย์ถ้าไม่เฝ้าหน้าจอทีวี ก็ไปหาเพื่อน "  ยิ่งตอนนี้ห้างโลตัสเปิดไม่ไกลบ้าน และมีเซเว่น ไปง่ายๆ รู้สึกว่าพ่อแม่จะต้องควักกระเป๋าเพิ่มขึ้นอีก  ค่าน้ำมันที่แพงขึ้นทำเหมือนจะประหยัดกันบ้างแต่เอาจริงๆไม่เกิน 2 เดือนวันนี้ ก็แปร๋นไปแปร๋นมาเหมือนเดิมอีกแล้ว "

       " เออคุยไปกินไปบ่นไปชักจะดึกแล้วซิสรุปกันได้หรือยังล่ะ    ที่หลวงแหยงพูดว่าวันนี้เหตุการณ์บ้านเมือง ได้เกิดสงครามขึ้นระหว่างทุนนิยมกับมนุษย์นิยม " เจ้าดำพูดขึ้น ไข่แมวเออออด้วย

         หลวงแหยงหัวเราะลงลูกคอ ฮ่าๆ ฮ่าๆ นึกว่าจะไม่พูดถึงกันอีกแล้วเห็นคุยกันเสียยาวเหยียด "มันจะยากอะไรละว่ะ  ฝ่ายทุนนิยมคือฝ่ายที่คิดเฉพาะวิธีการที่จะทำอย่างไรให้ได้มาซึ่งเงินเยอะๆ ใช้เงินเยอะๆ ทำอะไรก็มองเห็นแต่เงิน และฝ่ายทุนนิยมเขาจะศึกษาวิถีชีวิตชุมชนเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การแสวงหาเงิน และมองคุณค่าของทรัพยากร เพียงแค่วัสดุที่จะนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อนำผลิตภัณฑ์ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงิน     แล้วฝ่ายมนุษย์นิยมก็คือฝ่ายที่มีความผูกพันกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทั้งกายและใจ  เข้าใจความเป็นจริงของวิถีชีวิต  รู้จักปัญหารอบตัวและวิธีการแก้ปัญหา ต้องการความสุขที่ครอบคลุมและอย่างพอเพียงทั้งกายและจิตใจ   แล้วแกล่ะอยู่ฝ่ายใหนว่ะเจ้าดำ"     เจ้าดำหัวเราะบ้าง "แหมคุยกันเสียนานนึกว่าจะมีอะไรมากมาย อธิบายสรุปได้แค่นี้เองเรอะ ผมก็อยู่ฝ่ายมนุษย์นิยมซิหลวงแหยง เพราะอยากจะมีเงินอย่างเขาบ้างแต่ก็หาไม่ทันกับลูกเรียน ใหนค่าเทอม ใหนค่าเรียนพิเศษ ใหนค่ากิน แล้วยังมีขอพิเศษอีกต่างหาก  พอบอกให้เข้าดูแลในสวนบ้าง เขาจะอ้างทันทีว่าไม่ว่างติดภาระกิจ ต้องไปทำการบ้านกับเพื่อน "  เฮ้อแล้วระบบการศึกษาวันนี้ จะเน้นข้างใหนละหลวงแหยง จะอยู่ข้างทุนนิยมหรือมนุษย์นิยมกันละ   "   ทุกคนฮาครืน        

           ความรู้สึกของทุกคน ที่ถูกเรียกขานว่าเป็น คนรากหญ้า เป็นภูมิปัญญาในชุมชน ผู้นั่งมองเหตุการณ์บ้านเมืองอยู่ในเรือกสวนไร่นา ไม่มีโอกาสไปแสดงความคิดความอ่านกับใครที่ใหน  เพราะภาระกิจที่มีอยู่มากมาย   หลวงแหยงกล่าวให้ฟังอย่างภาคภูมิใจอยู่เสมอว่า  แกก็เป็นคนรักชาติ แกใส่ปุ๋ยต้นยาง  ดูแลสวนเป็นอย่างดีได้ผลผลิตน้ำยางดี และรายได้ที่เกิดขึ้นจากหยาดเหงื่อของแก   ก็คือรายได้ของชาติบ้านเมืองส่วนหนึ่งที่ไปช่วยเหลือเกื้อกูลคนในเมืองเช่นกัน

 

 

หมายเลขบันทึก: 207353เขียนเมื่อ 10 กันยายน 2008 01:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:16 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดี ครับ

อ่านวงสนทนา เพลินเลย ครับ

ได้รู้...ได้เข้าใจ...ภูมิปัญญาในชุมชน เพิ่มมากขึ้น จริง ๆ ครับ

ขอบพระคุณมาก ครับ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท