ตาราง สรุปข้อแตกต่างระหว่างพุทธเถรวาทกับพุทธมหายาน
พุทธเถรวาท |
พุทธมหายาน |
1. เน้นด้านประหยัด (เป็นต้นแบบความเรียบง่ายสมถะ) | เน้นความสามารถ (เป็นต้นแบบด้านช่วยสรรพสัตว์ด้วยจิตโพธิสัตว์ จึงต้องรู้จักใช้เครื่องมือช่วยสังคม เช่น ขับรถยนต์ได้ จัดกิจกรรมเก่ง ต้อนรับบริการดี) |
2. ความสุภาพเรียบร้อย | ความกระฉับกระเฉง กระชุ่มกระชวย |
3. ศีล | ทาน |
4. ปฏิบัติส่วนตัว | ปฏิบัติส่วนรวม |
5. ปฏิบัติโดดเดี่ยว พึ่งตนเอง แยกตัวหลุดพ้น (เอาตัวเองก่อน) | ปฏิบัติรวมกัน
รวมกันเป็นกลุ่ม บรรลุพร้อมกันเป็นทีม
มีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน
(เอาทั้งตนกับส่วนรวมพร้อมกัน) |
6. มุ่งสู่อรหันต์ เท่านั้น | สานต่ออุดมการณ์โพธิสัตว์ถึงพระพุทธเจ้า |
7. ตายแล้วสูญ ไม่อยากเกิดอีก | ตายแล้วยินดีเกิดอีก มาช่วยคนอื่นต่อไป |
8. ไม่กินเจ - ตามมีตามได้ | ต้องกินเจ เพื่อลดการเบียดเบียนกันทั้งทางตรงทางอ้อม |
9. ไม่กินมื้อเย็น | กินมื้อเย็นได้ เรียกว่าอาหารยา (เอี้ยวสือ) |
10. เศรษฐกิจในประเทศ - จน | เศรษฐกิจในประเทศ - รวย |
เอกสารอ้างอิง
หนังสือคุณลักษณะและกระบวนการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมของประเทศไต้หวัน
วิจารณ์ พานิช
18 มี.ค.49
ตื่นเต้นมากครับที่พยายามจะ แลกเปลี่ยนกับอาจารย์เป็นครั้งแรกที่จะเริ่มต้น เห็นบันทึกแล้วโดนใจมากครับ ในความเห็นผมนั้น พุทธเถรวาทหรือพุทธมหายานเปรียบสายน้ำสองสายที่แยกจากกัน อาจมีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกันแต่จุดหมายแห่งโมกขธรรมนั้นคือสิ่งเดียวกัน ขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ
อยากถามว่า แล้วสมัยพุทธเจ้ามีพุทธเถรวาท และพุทธมหายาน หรือ? แล้วทำไมถึงต้องแบ่ง แบ่งเพราะอะไร แบ่งเพื่ออะไร ...หรือแบ่งเพราะความหลงของมนุษย์ คนแบ่ง แบ่งตามกิเลส ไม่ได้ยึดหลักที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า.....
ผมว่า คนเขียนหนังสือเล่มนี้ คงต้องไปศึกษาพุทธศาสนา หรือพุทธประวัติ หรือพระไตรปิฏก ให้ชัดเจนอีกเยอะเลยน่าจะดี มีความเข้าใจผิดในสิ่งที่เขียนเปรียบเทียบแทบทั้งหมด เผยแพร่ไปน่าสงสารคนอ่านมากกกกกกก....ไม่ดีไม่ดี
ขอบคุณที่เปิดให้แสดงความคิดเห็น
การที่ศาสนามีหลายนิกายหลายลัทธิหลังการสิ้นพระชนม์ของศาสดาหรือเจ้าของลัทธินั้นๆในการต่อมานั้น สามารถแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาหรือลัทธิความเชื่อนั้นๆในแต่ละกาลสมัย ถิ่นฐาน ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ พื้นฐานความเชื่อเดิม ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามที่มีอยู่
จากการศึกษาประวัติศาสาตร์มนุษย์นั้น สมัยที่ศาสนาหนึ่งๆมีการแตกลัทธินิกายมากที่สุดนั้น เป็นกาลสมัยที่มนุษย์มีจิตใจดีงามใฝ่หาความจริงและความเจริญงดงามของชีวิตจิตใจมากกว่าวัตถุ (บ้างเป็นการขยายความ,บ้างก็เป็นการผนวกหรือปรับให้เข้ากับภูมิประเทศ-อากาศหรือความเชื่อเดิม )
พุทธศาสนานั้นเคยมีเป็นสิบๆนิกาย ( สังฆิกะวาท, อันธกะ,เอกวยหาริกะ, โลโกตตรวาท, พหุศุรติยะ, โคกุลิกะ, สรวาสติวาทิน) ปัจจุบันเหลือแค่เเถรวาท,มหายาน ??? ; คริสต์มีคาทอลิก,โปรแตสฯ ???
ผมไม่มองว่าใครดีกว่าใคร หรือใครกล่าวหาใคร แต่หาทางทำความเข้าใจ - เรียนรู้ ซึ่งต้องใช้กาลามสูตร ไม่ด่วนตัดสิน
วิจารณ์ พานิช
เมื่อทุกท่านเข้าไปในวัดในฝ่ายมหายาน สิ่งที่จะได้พบเห็นจนเป็นปกติทั่วไปคือ สรีระธาตุของบูรพาจารย์ที่ไม่เน่าเปื่อย ประดิษฐานอยู่ในวิหารให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะบูชา และได้ยึดถือเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติธรรม สรีระธาตุของบูรพาจารย์ดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่จะเป็นภิกษุในนิกายฌาน (เซน) ที่ถือวิปัสสนาธุระอย่างเคร่งครัด เมื่อถึงกาลมรณภาพมักจะเข้าฌานสมาบัติให้สิ้นใจในเวลานั่งสมาธิอยู่ในฌานสมาบัตินั้น เมื่อมรณภาพแล้วร่างกายจะดำรงอยู่อย่างนี้แล้วแห้งไปเอง ชาวจีนนับถือบูชากันว่าเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์เรียก กันว่า พระสำเร็จ หรือ เส่งเต๋า
ตลอดประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาในประเทศจีน และต่างประเทศมักจะเห็นสรีระธาตุของบูรพาจารย์มากมาย ตัวอย่างที่รู้จักกันดี คือ พระสังฆปริณายกเว่ยหลางแห่งนิกายฌาน ซึ่งมรณภาพมากว่า 1000 ปีแล้ว สรีระพระอาจารย์ตังชั้ง สรีระพระอาจารย์คัมซัว (หันซาน) พระปราชญ์แห่งราชวงศหมิง ที่ประดิษฐานรวมกันในวัดน่ำฮั้วยี่ (หนานหัวซื่อ) มณฑลกวางตุ้ง
ส่วนพระเถระฝ่ายจีนนิกายในเมืองไทยที่นั่งมรณภาพในฌานสมาบัติก็มีอีกหลายรูป เช่น พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร(สกเห็ง) พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร (กวยหงอ) แต่ร่างของท่านทั้งสองได้รับพระราชทานเพลิงศพตามประเพณีนิยม
ในปัจจุบันวัดฝ่ายจีนนิกายยังมีสรีระร่างบูรพาจารย์ได้แก่ พระอธิการตั๊กฮี้ พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร (เซียงหงี) พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (โพธิ์แจ้ง) พระอาจารย์เย็นกวง พระอาจารย์เย็นกวน เป็นต้น
ภาพสรีระธาตุบูรพาจารย์ฝ่ายมหายาน จีนนิกาย ที่สำเร็จธรรมแล้วนั่งสมาธิดับขันธ์ แต่สรีระธาตุกลับไม่ผุพัง
http://www.palungjit.com/board/attachment.php?attachmentid=193595&d=1186633494
"เถรวาทเน้นศีล มหายานเน้นทาน"
มีความหมายว่าอย่างไรครับ
พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ไม่ได้แตกต่างจากเถรวาทมากเลย เพราะ มหายานได้กล่าวถึงเรื่องนิพพาน ในปรัชญาปารมิกตาหฤทัยสูตร อย่างชัดเจน และกล่าวถึงนิพพาน ถึง 3 ระดับ (นิพพานของมหายาน นั้นเหมือนกับทางเถรวาทแน่นอน).
เพราะมหายานไม่ได้ปฏิเสธคำสอนของเถรวาทเลย หากแต่ ยังไม่พอที่จะสงเคราะห์สัตว์โลก จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการสอน ให้ถูกกับจริต ของแต่ละบุคคล
ศีล ทางมหายาน นั้นมีศีล สำหรับ คฤหัสถ์ เหมือนกันกับทางเถรวาท แต่มีข้อปฏิบัติมากกว่า และยากลำบากกว่า คือ นอกจากจะถือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล (สามเณร) ศีล 250 (ภิกษุ) 508 ข้อ(ภิกษุณี) ยังต้องถือศีลโพธิสัตว์ อีก 58 ข้อ การรับศีลโพธิสัตว์ของมหายานจะรับครั้งเดียว เท่านั้น...
มหายานไม่ได้ถอดถอนสิกขาบท หรือศีล ซึ่งเป็นความเชื่อของทางเถรวาท ที่สอนมาผิด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ซึ่งหากศึกษาที่จริงแล้ว มหายาน กับเถรวาทยึดพระวินัยปิฏกฉบับเดียวกัน (ศึกษาได้จากสิกขาบทอุตรนิกาย วัดโพธิ์แมนคุณาราม)
ทาน ในทางมหายาน นั้น ไม่ได้หมายถึงว่าการให้ทานเฉพาะในโลกธาตุภพภูมิแห่งมนุษย์เท่านั้น หากมีแต่การให้ทานในโลกธาตุอื่น เช่น นรกภูมิ (พิธีโยคะตันตระเปรตพลีโยคะกรรม)
หลักจริง ๆ ของมหายาน ที่จุดเด่น คือ เรื่องโพธิจิตตฺ ซึ่ง มหายานสอนเรื่องการดำเนินชีวิตประจำวัน ในเรื่องของความกรุณา ปราถนาให้ผู้อื่นได้เป็นสุข จากผู้เป็นสุขให้สุขยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการก้าวสู่การเป็นโพธิสัตว์ นอกจากนี้ยังต้องบำเพ็ญทศปารมี ตามวิถีทางแห่งโพธิสัตว์
จุดเด่นอีกข้อของมหายานอีกข้อ คือเรื่อง ของสภาวะความเป็นพุทธาตุ หรือ อีกความหมายหนึ่ง คือ ทุกคนสามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เหมือนกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
พุทธเจ้า ท่านไม่ได้เป็นอะไรที่สูงเกิน ไปจนทุกคนไม่สามารถปฏิบัติตามท่าน แล้วไม่ประสบความสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้เลย
สภาวะความพุทธะของมนุษย์ในมหายานไม่ได้แบ่งเพศ ชาย-หญิง เพราะการปฏิบัติตามคำสอนหรือการเข้าถึง รวมถึงการบวชมหายานนั้น ไม่ได้แบ่งเพศชายหญิง ผู้หญิง กับผู้ชายเสมอกัน
ยังมีอีกหลาย ๆ ๆๆ เรื่อง ที่คนไทยยังไม่รู้.....มหายาน...เพราะ การรับรู้ และสื่อที่ออกมานั้น ไม่เข้าใจพื้นฐาน วัฒนธรรม การสืบทอด และประเพณีของแต่ละท้องถิ่น ในการประยุกต์ หรือ ถ่ายทอดคำสอนนั้น
ความคิดเห็นที่ 10 แยกแยะได้เข้าใจเป็นอย่างดี ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ
แต่ความหมายของ เถรวาทเน้นศีล มหายานเน้นทาน นั้น ดิฉันแปลกใจอยู่เล็กน้อย
เถรวาทนี้คือ เหล่าภิกษุสงฆ์ ใช้หรือไม่ค่ะ แล้วแต่ละรูปเนี่ย เน้นศีลจนครบถ้วนถูกต้องหรือเปล่าคะ
มิได้จะดูหมิ่นนะคะ ขอความเข้าใจด้วยคะ
ขอบพระคุณอย่างสูง
ผมได้พบฆราวาสผู้หนึ่ง ผู้มีอภิญญาขั้นสูง เดินสายพุทธมหายานโดยตรง สามารถสนทนาธรรมได้ 18 ภาษา ทั้งที่พื้นความรู้ระดับประถมเท่านั้น สามารถตอบธรรมได้ทุกเรื่องอย่างรวดเร็ว บทสวดมนต์ที่ใช้สวดเน้นเพียงอิติปิโสและบทสวดที่ไม่เคยได้ยินจากพระสงฆ์ทั่วๆไปมาก่อน เป็นบทสวดโบราณ ท่านสวดได้คล่องแคล่วและยาวบทละประมาณ 20-30 นาทีหรือกว่านั้นโดยไม่ต้องดูหนังสือเลย(เพราะไม่มีในหนังสือสวดมนต์ทุกชนิด) แต่เดิมท่านเป็นหมอดูชื่อหมอเต็ก อยู่ใกล้ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี (โทร. 0840171746 ) แต่ต้องเลิกราเพราะท่านต้องกินต้องใช้ ถามว่าแล้วเงินค่าดูหมอล่ะ ใช้ไม่ได้หรือ ท่านบอกว่าใช้ไม่ได้แม้แต่บาทเดียว ต้องถวายวัดทั้งหมด จึงต้องหาเลี้ยงชีพโดยเป็นพ่อค้าขายกับข้าวตามตลาดนัดต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันทุกวันพฤหัสบดีท่านจะเปิดให้ผู้สนใจมาสวดมนต์เสริมบารมีกันที่บ้านท่านตั้งแต่เวลา 1 ทุ่มเป็นต้นไป คนที่ไปต้องสวมใส่ชุดขาว บนบ้านท่านเห็นมีรูปเสด็จพ่อ ร.๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รูปหลวงพ่อแพ หลวงปู่บุดดา ฯลฯ ท่านตั้งใจมั่นที่จะปกป้องสถาบันสูงสุดคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้คงอยู่คู่ประเทศไทยต่อไปไม่ให้ใครมาล้มล้างได้ ภาษาเขียนทีท่านใช้จดบันทึกเป็นภาษาโบราณที่เลิกใช้ไปแล้ว (จำชื่อไม่ได้ ลองติดต่อสอบถามดูครับ) ถ้าท่านสนใจลองโทรคุยดูครับ หรือติดต่อไม่ได้ก็ติดต่อผม อ.ฉลอง 0877528247 ครับ
การถกเถียงว่านิกายไหนดีกว่ากัน ไม่มีประโยชน์ควรดูที่จุดมุ่งหมายเพราะต้องการให้คนเป็นคนอื่นเหมือนกัน บรรลุพุทธเหมือนกัน
ต่างตรงที่แนวคิด(นิดหน่อย) และวิธีปฎิบัติ ดิฉันสวดนัม เมียว โฮ เร็ง เง เคียว อยู่ซึ่งก็สอนให้สวดมนต์มากๆพร้อมกับขัดเกลาตัวเอง ไม่โกรธ ไม่ด่าว่า นิททา หรือคิดร้ายกับผู้อื่น
วันนี้โลกมนุษย์เจริญรุ่งโรจน์ด้วยด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนจำนวนมาก เพราะถ้ามีเงินแล้วจะหาความสุขความสบายแบบไหนๆก็พอได้ แต่ความสุขที่หาได้นั้นก็ยังเป็นความสุขปลอมๆ เพราะสัจจธรรมของโลกคือทุกข์ ดังนั้นไม่ว่ารวยหรือจนก็จะต้องพบเผชิญกับความทุกข์เป็นของแน่นอน แต่พวกเรายังโชคดีที่มีพระธรรมช่วยบรรเทาทุกข์และหายจากทุกข์ได้ และเมื่อไหร่ที่เราสรุปด้วยปัญญาได้ว่า ทั้งทุกข์และสุขมีค่า = 0 ก็จะนับว่าเป็นผู้มีโชคอย่างมาก
และที่สำคัญจำเป็นในวันปัจจุบันนี้ ท่านต้องเห็นความจริงตามธรรมชาติว่า แผ่นดินโลกไม่เคยหมุนรอบตัวเอง! ถ้ารู้แล้วก็น่าจะคลายทุกข์ได้อีกระดับหนึ่ง
เถระวาทเน้นศิล แต่มหายานไม่ได้เน้นทานเลย พระทุกองค์ไม่ยึดติดในทาน มหายานนั้นเน้นปัญญาเพื่อที่จะหลุดพ้นหรือ สัมเร็จสัมมาสัมโพธิญานเป็นหลัก จึงมีหลักของโพธิสัตวจริยา
ยากให้2นี้กายลวมกันเป็น1หน้าจะดี
จะได้มีความรู้เยอะๆ