ทักษะการใช้คำถาม
ทักษะการใช้คำถาม คือ
ความสามารถในการใช้คำพูดหรือประโยคที่มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นหรือดึง
(elicit) การตอบสนองของผู้เรียนออกมา
จุดมุ่งหมายที่ครูใช้คำถามถามนักเรียนมีหลายประการด้วยกัน เช่น
ต้องการทราบว่านักเรียนเข้าใจหรือรู้เรื่องที่ครูสอนแล้วหรือไม่เพียงไร
นักเรียนอ่านหรือทำการบ้านที่กำหนดให้หรือไม่
หรืออาจจะถามเพื่อเร้าความสนใจหรือทำความกระจ่างในจุดใดจุดหนึ่งโดยตรงก็ได้
การใช้คำถามนับว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากสำหรับการสอนในปัจจุบัน
ที่ผู้สอนควรจะใช้คำถามเป็นสื่อให้ผู้เรียนได้คิดตาม
หรือเป็นสื่อในการให้ผู้เรียนได้เสาะแสวงหาความรู้ด้วยตัวของเขาเอง
ครูควรใช้คำถามเป็นสื่อตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นการสอนด้วยวิธีใด เช่น
การสาธิตประกอบการใช้คำถาม
หรือการบรรยายประกอบกับการใช้คำถามเพื่อสร้างความเข้าใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้แล้ว
จะขาดการใช้คำถามประกอบในขั้นตอนการอภิปรายก่อนการทดลอง การทดลอง
และการอภิปรายหลังการทดลองไปไม่ได้เลย
คำถามที่ใช้กันโดยทั่วไปมีหลายลักษณะ ดังนี้
1. คำถามขั้นพื้นฐาน เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบในระดับ ความรู้
ความเข้าใจ และการนำไปใช้ ตัวอย่างคำถามได้แก่
1.1 การถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง
ซึ่งมักจะประกอบด้วยคำว่า “ใคร” “อะไร” “เมื่อไร” และ “ที่ไหน”
เป็นการถามให้ผู้เรียนระลึกถึงข้อมูลหรือสิ่งที่เคยเรียนมาก่อน
เช่น ถามว่า จังหวัดในเขตภาคเหนือตอนล่างได้แก่จังหวัดอะไรบ้าง
หรือใครคือบิดาแห่งวิทยาศาสตร์
1.2 การถามให้อธิบาย
เป็นคำถามที่ยากกว่าการถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง
แต่การตอบก็ยังคงอาศัยความจำเป็นสำคัญ
แต่ผู้ตอบจะต้องอาศัยความสามารถในทางเหตุผลหรือความสามารถในการมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง
ๆ ที่จำได้ประกอบกันด้วย จึงจะสามารถตอบคำถามได้
ซึ่งมักจะประกอบด้วยคำว่า “อย่างไร” เช่น ถามว่า
“พระนเรศวรมหาราชรบชนะพระมหาอุปราชได้อย่างไร”
1.3
การถามถึงการนำความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาที่คล้ายกับสถานการณ์ที่เรียน
หรือต้องประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องที่เรียน
หรือเรื่องใหม่ หรือการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ถามว่า
นักเรียนจะนำหลักการของการนำความร้อน
ไปใช้ในชีวิตประจำวันของนักเรียนได้อย่างไรบ้าง
1.4 คำถามเพื่อให้แก้ปัญหา
เป็นการถามให้นักเรียนใช้ความรู้เดิมที่เคยเรียนมาแก้ปัญหาใหม่ ๆ
ที่เขาประสบ เช่น “จงหาสมการของวงรีที่มีจุดยอดอยู่ที่ (6,0) และ
(-6,0) และมีโฟกัสจุดหนึ่งอยู่ที่ (5,0)” หรือ
”นักเรียนจะนำกฎเมนเดลมาใช้ในการคัดเลือกพันธุ์ได้ อย่างไร”
2. คำถามขั้นสูง เป็นคำถามในระดับที่สูงกว่าการนำไปใช้ ได้แก่
การถามเพื่อให้วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า
รวมทั้งคิดอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งให้ผู้เรียนคิดแบบนามธรรม
โดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือคำอธิบาย แล้วนำไปสรุปหาความสัมพันธ์ ความหมาย
เปรียบเทียบ อ้างอิง และเหตุผล เพื่อหาคำตอบถูก
ปกติคำถามประเภทนี้จะมีคำ “ทำไม” ประกอบอยู่ด้วยเสมอ
ผู้สอนมักมักนิยมใช้ถามเพื่อดูความสามารถด้านการคิดของผู้เรียนลักษณะของคำถามประเภทนี้คือ
2.1 คำถามเพื่อให้ประเมิน
เป็นคำถามที่ต้องการให้ตัดสินใจ หรือเลือกโดยใช้คุณค่าเป็นเกณฑ์
เช่นถามว่า
“การลอกงานเพื่อนเป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่เพราะเหตุใด”
2.2 คำถามเพื่อให้อ้างอิง
เป็นการถามให้อุปมาน (inductive)
คือถามให้สรุปหรือค้นพบกฎเกณฑ์จากการรวบรวมข้อมูลหรือข้อเท็จจริงหลาย
ๆ อย่าง และให้อนุมาน (deductive)
คือถามให้นำกฎเกณฑ์หรือทฤษฎีไปอธิบายเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ
เช่นถามว่า
“ถ้าอุณหภูมิของก๊าซเท่าเดิม เมื่อนำก๊าซนี้ไปไว้สูง
4,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล ความดันของก๊าซจะเป็นอย่างไร
เพราะเหตุใด” (อนุมาน)
“จงบอกคุณสมบัติที่สำคัญที่ผู้นำในโลกทั่ว ๆ ไปมีอยู่
พร้อมทั้งบอกถึงลักษณะของผู้นำที่ท่านอยากเป็น
เพราะเหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” (อุปมาน)
2.3 คำถามเพื่อให้เปรียบเทียบ
เป็นการถามให้ผู้เรียนบอกความแตกต่าง ความคล้ายคลึง ความสัมพันธ์
และความขัดแย้งกันของความคิดหรือสิ่งของต่าง ๆ เช่น
“การเป็นคนเก่งและดีกับคนเก่งแบบเห็นแก่ตัวเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร”
หรือ “สารสองหมู่นี้มีคุณสมบัติเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร”
2.4 คำถามเพื่อให้หาเหตุและผล
เป็นคำถามที่ให้ผู้เรียนหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ บุคคล วัตถุ
ความคิด ว่าอะไรเป็นเหตุผลกัน เช่น
“นักเรียนคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการ”
2.5 คำถามเพื่อให้คิดริเริ่ม
นิยมใช้คำถามแบบอเนกนัย (Divergent Question)
เป็นการถามความคิดริเริ่มเป็นคำถามแบบเปิด
ผู้เรียนมีอิสระเต็มที่ในการคิดและการตอบ เช่น ถามว่า
“นักเรียนเชื่อว่าโลกจะแตกหรือไม่ เพราะเหตุใด” หรือ
“ทำอย่างไรประชากรของโลกจึงจะอยู่กันอย่างมีสันติภาพ”
2.6 คำถามเพื่อให้เกิดการค้นพบ
โดยใช้คำถามและคำตอบก่อน ๆ เป็นแนวทาง (Probing Questions)
เป็นการถามที่เริ่มด้วยผู้สอนให้ผู้เรียนตอบคำถาม
แล้วใช้
คำตอบของผู้เรียนเป็นแนวในการถามเพื่อให้ผู้เรียนตอบหรือเข้าใจในสิ่งที่ผู้สอนต้องการ
เช่น
ครู : รากที่สองของ 54 คืออะไร
นักเรียน : ไม่ทราบครับ
ครู : รากที่สองของ 64 คืออะไร
นักเรียน : 8 ค่ะ
ครู : ดีแล้ว รากที่สองของ 49
เท่ากับเท่าไร
นักเรียน : 7 ค่ะ
ครู
:
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่ารากที่สองของ 54 เท่ากับเท่าไร
นักเรียน
:
หนูว่ามันจะต้องมีค่าระหว่าง 7 กับ 8 ค่ะ
คำถามประเภทนี้มีลักษณะสำคัญคือ หลังจากผู้เรียนตอบจบแล้ว
ผู้สอนควรเริ่มถามคำถามทันที
เพื่อให้ผู้เรียนคิดสอดคล้องสัมพันธ์กับคำตอบเดิมของเขาเอง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
เสนอว่าการตั้งคำถามมี 4 ระดับ เรียกว่า O-E-P-C
ซึ่งเหมือนกับระดับขั้นของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ดังนี้
1. คำถามขั้นการสังเกต (Observation Question)
เป็นคำถามที่ให้ผู้ตอบใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการรับรู้และตอบปัญหา
หรือเป็นการรวบรวมข้อมูล
เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและแก้ปัญหาในขั้นต่อไป เช่น
เมื่อเทน้ำใส่กระป๋องใบหนึ่งจนเต็มแล้วเปิดจุกที่ปิดรูบนกระป๋องในระดับต่าง
ๆ ทำให้น้ำพุ่งออกมา ครูถามว่า
“น้ำจากรูที่เท่าไรไหลแรงหรือไกลที่สุด”
2. คำถามขั้นการอธิบาย (Explanation Question)
หมายถึงคำถามที่ต้องการให้ผู้ตอบใช้เหตุผลประกอบกับข้อมูลต่าง ๆ
ที่รวบรวมได้จากการสังเกตในสถานการณ์ปัจจุบันและจากความรู้เดิม เช่น
จากตัวอย่างการทดลองในข้อ 1. ผู้สอนอาจถามให้ผู้เรียนตอบว่า
“ทำไมน้ำในรูล่างสุดจึงไหลออกไปไกลที่สุด”
3. คำถามขั้นการตั้งสมมติฐานหรือขั้นการทำนาย (Prediction
Question)
เป็นคำถามที่ต้องการให้ผู้ตอบคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง
หรือคาดการณ์เพื่อขยายข้อสรุปในขั้นอธิบายให้กว้างขวางออกไป
จากตัวอย่างการทดลองในข้อ 1.ครูอาจถามนักเรียนในขั้นนี้ได้ว่า
“ถ้าเจาะรูที่ก้นกระป๋อง
น้ำที่ไหลออกจากรูที่เจาะใหม่จะไหลค่อยหรือแรงกว่าน้ำที่ไหลออกจากรูเดิม”
4. คำถามขั้นควบคุมและสร้างสรรค์ (Control and Creativity
Question)
เป็นคำถามที่ต้องการให้ผู้เรียนนำกฎเกณฑ์และความรู้ต่าง ๆ
ที่มีอยู่ไปประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์หรือสิ่งอื่น ๆ
เป็นการคิดสิ่งที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ ออกมา จากตัวอย่างการทดลองในข้อ 1.
ผู้สอนอาจถาม ผู้เรียนว่า “ถ้าเราดำน้ำลึกจะรู้สึกอย่างไร
เพราะเหตุใด”
หลักในการสร้างคำถาม
1.
คำถามที่สร้างขึ้นต้องมีคุณค่าทางวิชาการและเร้าให้อยากตอบ
2. คำถามควรเป็นประเภทปลายเปิด
จะช่วยทำให้ผู้เรียนทุกคนกระตือรือร้นที่จะตอบ
เพราะเป็นคำถามในลักษณะให้แสดงความคิดเห็น
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดประกอบการใช้เหตุผลในการตอบ
ส่วนคำถามประเภทปลายปิดที่มีคำตอบคงที่ตายตัวควรจะลดจำนวนการใช้ลง
3.
คำถามควรเน้นให้ผู้เรียนได้อธิบายประกอบกับการใช้หลักเหตุผลในการตอบ
ซึ่งอาจจะใช้คำว่า “อย่างไร” ประกอบ เช่น “กราฟที่มีสมการเป็น
9x2 - 16 y2 = 144 มีลักษณะอย่างไร” หรือ
“ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่ามีการนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นแบบแผน”
4. คำถามควรมุ่งถามเหตุผลซึ่งมักจะประกอบด้วยคำว่า “ทำไม” หรือ
“เพราะเหตุใด” เช่น ถามว่า “ทำไมจึงเกิดรุ้งกินน้ำ” หรือ
“เพราะเหตุใดครูจึงควรสอนให้เด็กเกิดกระบวนการเรียนรู้มากกว่าการสอนความรู้ให้เขา”
5.
คำถามที่ดีจะต้องช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถด้านการคิด
มีพัฒนาการทางสมองได้ดีขั้น โดยประกอบไปด้วย
5.1 การรับรู้
(perceiving)
เป็นการถามเพื่อให้ผู้เรียนจดจ่อหรือใส่ใจในเรื่องที่กำลังเรียน
5.2 การสัมพันธ์
(relating) เป็นการถามเพื่อให้ผู้เรียนนำข้อมูลต่าง ๆ
มาสัมพันธ์กัน
เพื่อความเข้าใจและกระจ่างแจ้งในเรื่องที่ได้เรียนไป
5.3 ถามความจำหรือการระลึกได้
(reproducing) เป็นการถามเรื่องราวหรือ ข้อมูลต่าง ๆ
จากความจำของผู้เรียน
5.4 ถามให้ประยุกต์ (applying)
เป็นการถามเพื่อให้ผู้เรียนนำข้อมูลที่ได้รับไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในสถานการณ์หรือปัญหาใหม่ที่ไปพบ
5.5 ถามให้วิเคราะห์
(analyzing)
เป็นการถามเพื่อให้ผู้เรียนแยกแยะรายละเอียดและข้อเท็จจริงต่าง ๆ
จากข้อมูลที่ได้รับหรือเรียนรู้ไปแล้ว
5.6 ถามให้ประเมินคุณค่า
(evaluating) เป็นการถามเพื่อให้ผู้เรียนประเมิน
คุณค่าหรือตัดสินใจในเหตุการณ์หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าดี เลว ถูก หรือ
ไม่ถูกอย่างไร
5.7
ถามให้สร้างหรือผลิตสิ่งใหม่ (producing)
เป็นการถามเพื่อให้ผู้เรียนรู้จักสังเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา เช่น
ถามว่า
“ถ้าเป็นตัวท่านในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ท่านจะสร้างรูปแบบของการสอนได้อย่างไร”
6. พยายามหลีกเลี่ยงคำถามที่ต้องการคำตอบเพียง “ใช่” หรือ
“ไม่ใช่”
7. คำถามควรสั้นและชัดเจนที่สุด
8. ใช้ภาษาง่าย ๆ ที่เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป
ข้อควรปฏิบัติในการถามคำถาม
1. ควรถามคำถามก่อนแล้วจึงเรียกชื่อผู้เรียนให้ตอบ
เพราะการเรียกชื่อก่อนจะทำให้เด็กคนอื่น ๆ
ที่ไม่ถูกเรียกชื่อขาดความสนใจได้
2. เว้นช่วงเวลาหลังจากถามจบ
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดในการตอบ
โดยเฉพาะการถามเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดและเหตุผล
ควรจะต้องให้เวลาในการคิดพอสมควร
การรีบเร่งเกินไปอาจทำให้ผู้เรียนรู้สึกอึดอัดและเบื่อ
รวมทั้งอาจไม่ทำให้ผู้เรียนแสดงความคิดอันเฉียบคมของตัวเขาออกมาได้
3. เปลี่ยนคำถามหรือคำพูดใหม่ถ้าผู้เรียนยังตอบไม่ได้
4. แสดงการยอมรับคำตอบและคำถามของเด็กโดยไม่ต้องพูด
อาจใช้ท่าทางประกอบ ก็ได้ เช่น ยิ้ม พยักหน้า
เป็นต้น
5. ถามผู้เรียนทั้งชั้นโดยไม่เจาะจงเฉพาะคนใดคนหนึ่ง
6. พยายามให้ผู้เรียนตอบในลักษณะที่พูดกับเพื่อนทั้งชั้น
ไม่ใช่พูดกับผู้สอนเพียงคนเดียว
7. ให้การเสริมแรงเมื่อผู้เรียนตอบเสร็จแล้ว และถ้าตอบไม่ได้
หรือตอบผิดก็ไม่ควรจะ ดุว่า แต่ควรหายุทธวิธีอื่น ๆ
ในการให้เขาพบคำตอบด้วยตนเองหรือจากเพื่อน ๆ ด้วยกันเอง
8. ไม่แนะแนวทางหรือคำตอบให้ทันทีหลังจากถาม
จนกว่าเด็กจะไม่สามารถตอบได้จึงจะใช้คำถามแนะทีละน้อยทีละน้อย
สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติในการถาม
1. เปลี่ยนคำถามใหม่โดยที่เด็กยังไม่ตอบคำถามเดิม
2. ถามคำถามซ้ำ ๆ ซาก ๆ
โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้หยุดคิดเพื่อตอบคำถาม
3.
ผู้สอนตอบคำถามของตนเองเนื่องจากหมดความอดทนที่จะรอให้ผู้เรียนตอบ
4.
พูดซ้ำหรือทวนคำตอบของผู้เรียนเพราะจะทำให้ผู้เรียนไม่ค่อยตั้งใจฟัง
คุณลักษณะที่ประเมิน
1. ชัดเจน เข้าใจง่าย และเหมาะสมกับระดับและความสามารถของผู้เรียน
2. ถามได้ตรงตรงประเด็นตามจุดมุ่งหมาย และไม่มีหลายแง่
3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนคิด
4. มีการหยุดเว้นระยะเพื่อให้ผู้เรียนคิดหาคำตอบ
5. มีการกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจในการตอบคำถามของผู้สอนอยู่เสมอ
6. มีการให้กำลังใจแก่ผู้เรียนในการตอบคำถาม เช่น
คำชมเชยหรือท่าทางที่ให้กำลังใจในการตอบคำถาม
7. ผู้เรียนส่วนใหญ่มีส่วนในการตอบคำถาม (แจกคำถามได้ทั่วถึง)
8. ในกรณีที่ผู้เรียนตอบไม่ได้
ผู้สอนมีวิธีการในการทำให้คำถามนั้นง่ายลง
ที่มา :
http://pisadd.212cafe.com/archive/2008-08-02/elicit-1-1-1-1-2-1-3-1-4-60-60-50-2-2-1-2-2-inductive-deductive-4000-2-3-2-4-2-5-divergent-question-/