เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยความมีเหตุผล
ความมีเหตุ มีผล ทำให้เรานั้นทำอะไรต้องคุ้มต้องมีค่า ทำสิ่งต่าง ๆ ได้ให้ได้มาซึ่งผลตอบแทน
ชีวิตของมนุษย์ที่เดินบนถนนแห่งหลักการของเศรษฐศาสตร์นั้นจึงคาดและหวังกับทุกก้าว ทุกลมหายใจ ว่าเมื่อก้าวไปต้องได้อะไรที่คุ้มค่ากว่านั้นกลับมา
ผลประโยชน์ อำนาจ ทรัพย์สมบัติ จึงเป็นเป้าหมายสูงสุดอันไม่มีที่สิ้นสุดของคนบนถนนแห่งเศรษฐศาสตร์
เมื่ออุปสงค์ (Demand) หรือความต้องการตามอำนาจกิเลสนั้นมีมาก แต่อุปทาน (Supply) ผลตอบแทนที่ได้มาถึงแม้ว่าจะมากแต่ไม่เคยเพียงพอต่อกิเลสจึงทำให้สังคมมนุษย์ต้องผจญกับความอาเภทจากอำนาจและความเห็นแก่ตัว
แต่หากใจของเรามีอุปสงค์ (Demand) หรือความต้องการความสงบ และมีอุปทาน (Supply) คือการให้อยู่เต็มหัวใจแล้ว สังคมนี้ก็จะพลันอุดมไปด้วยความสุขจากความสงบ
เศรษฐศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่คุยกันด้วยเหตุด้วยผล มนุษย์ทุกวันนี้ความรู้มาก เหตุผลมาก ปัญหามาก ความทุกข์ก็เลยมากตามด้วย
แต่...
เศรษฐศาสตร์แห่งความสุข (Economics of Happiness) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความเมตตา ความเมตตานั้นอยู่นอกเหตุ เหนือผล
ความเมตตานั้นอยู่เหนือความผิดและความถูก
ความเมตตาจักไม่เลือกใคร แบ่งใครว่าผิด ว่าถูก
ความเมตตาจักให้เมตตากับทุก ๆ คน
ความผิดทำให้ยุ่ง ความถูกก็ทำให้ยุ่ง ความเมตตานั้นทำให้สงบ
คนเก่งหรือคนดีจริงนั้นจึงไม่ใช่คนเก่งหรือคนถูก คนเก่งและคนดีจริงนั้นคือคนที่มีความเมตตา มีและให้ความเมตตากับครอบครัว สังคม และประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ตนเอง”
ความเมตตาเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่มีติดตัวมาและมีมากล้นอยู่ในจิตใจของมนุษย์
มอบความเมตตาต่อกันเถิด
แสดงออกซึ่งความเมตตาให้ตนและคนอื่นได้ประจักษ์
ครอบครัว สังคม และประเทศชาติจะสงบสุข
สังคมนี้จะอยู่อย่างสุขด้วยความสงบได้ด้วยท่านทั้งหลายมีอุปทาน (Supply) คือ “ความเมตตา”
ให้ความเมตตาซึ่งกันและกัน
เศรษฐศาสตร์แห่งความสุขจึงเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วยความเมตตา
อุปสงค์ (Demand) คือความเมตตา
อุปทาน (Supply) ก็คือความเมตตา
ความเมตตาจึงเป็นเครื่องค้ำจุนโลก…
ผมคิดว่า เมตตา นั่นเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญในตัวอยู่แล้ว หากแต่ต้องใช้คุณธรรมข้ออื่นร่วมไปด้วยจึงจะเกิดผล อย่างเช่น เมตตา + สติ + ปัญญา อยากให้หลวงอาช่วยให้ความกระจ่างเพิ่มด้วยนะครับ
หาสาระไม่ได้เลย