ตำรวจไม่รู้กฎหมาย อันตรายประชาชน ตำรวจทำตนเป็นกฎหมาย อันตรายบ้านเมือง”


พี่น้องชาวไทยที่เคารพรัก ขออวยพรให้ท่านต่อสู้ต่อไปจนได้รับชัยชนะ ถ้าหากตำรวจเขาต่อสู้ขัดขวางก็โปรดเข้าใจไว้ด้วยว่า เขายังไม่พร้อมที่จะเป็นประชาธิปไตย แผ่เมตตาให้เขาเถิด และสู้ต่อไปด้วยความเข้มแข็งและกำลังแรง ตำรวจทั้งหลายก็รอคอยวันที่ท่านจะมาปลดปล่อยเขาเช่นเดียวกัน
อาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ 1 กันยายน 2551 14:48 น.
       พี่น้องชาวไทยที่เคารพรักทั้งหลาย
       
       มูลเหตุที่ผมต้องมาปราศรัยกับพี่น้องอีกครั้งก็เพราะการที่ได้เห็นตำรวจในครื่องแบบจำนวนมากพากันเข้าไปรื้อถอนทำลายทรัพย์สินของพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานฯ ที่เจ็บปวดยิ่งกว่านั้น ก็คือการทุบตีประชาชนผู้บริสุทธิ์ เด็ก ผู้หญิงและคนชรา มือเปล่าที่มิได้ขัดขืด ภาพของตำรวจที่กระชากชายเสื้อสีเหลืองที่ล้มอยู่แล้วหวดทุบด้วยกระบอง ภาพที่ตำรวจเอาปืนจ่อถึงหัวกะโหลกของประชาชนนั้นเหมือนกับสงครามล้างเชื้อชาติที่มนุษย์ต่างผิวพรรณเชื้อชาติศาสนายกพวกเข้าไปเข่นฆ่าสังหารผู้แพ้ที่ผมเคยเห็น แต่ผมไม่เคยเหตุท่าทางที่ลิงโลดโหดอำมหิตเหมือนตำรวจไทยทำกับประชาชนผู้ไม่มีทางสู้ครั้งนี้เลย
       
       มีคนบอกผมว่าตำรวจที่ใช้กระบองหวดชายเสื้อเหลืองนั้น เป็นตำรวจภูธรเขมรมาจากบุรีรัมย์ เมืองหลวงของเนวิน ลูกชายเพื่อนของผม อาจจะเป็นการใส่ไคล้ก็ได้ จริงหรือเท็จผู้บังคับบัญชาน่าจะต้องรีบตรวจสอบดู เพราะพยานหลักฐานในวิดีโอมันฟ้องอยู่แล้ว
       
       ผมเพิ่งพูดไปหยกๆ เมื่อวันก่อนว่า ตำรวจไม่มีสิทธิหรืออำนาจที่จะทำเช่นนี้ ขั้นตอนของการบังคับคดีตามกฎหมายมันมีอยู่ ผมเตือนแล้วว่า ถ้าตำรวจทำตนเป็นกฎหมายเสียเองจะพากันติดคุกทั้งนายและลูกน้องคราวนี้
       
       เมื่อวันที่ 28 ที่ผ่านมา ผมก็มีจดหมายเปิดผนึกไปเตือนทั้งสมัคร โกวิท และพัชรวาทถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะ ผมเศร้าใจมากที่บ้านเมืองของเราต้องตกอยู่ในอำนาจของนักการเมืองและตำรวจที่ไม่รู้กฎหมาย หรือรู้แล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้ เพื่อที่ตนจะได้ใช้อำนาจตามสะดวก เพื่อจะสะสมความสำเร็จและผลงาน
       
       ผมตั้งใจอยู่แล้วว่าจะเขียนบทความสักเรื่อง ใช้ชื่อว่า “ตำรวจไม่รู้กฎหมาย อันตรายประชาชน ตำรวจทำตนเป็นกฎหมาย อันตรายบ้านเมือง” นั่นก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางแจ้งเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมนี้ และเหตุการณ์อื่นที่เกิดขึ้นบ่อยมากจนผิดสังเกตตั้งแต่ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนแรกเป็นตำรวจ
       
       วันนี้เวลาจำกัด ผมก็คงจะพูดได้เพียงหยาบๆ ไม่ใช่หยาบคายนะครับว่า เมืองไทยจะฉิบหายวายวอดมาหลายครั้งแล้วก็เพราะความเลวของตำรวจหรือตำรวจมันเลว และเมืองไทยในอนาคตก็คงจะมีสันติสุขต่อไปไม่ได้ หากตำรวจยังเป็นแบบนี้ หรือยังมีตำรวจแบบนี้ แบบไหน สารพัดแบบที่ทำตัวนอกคอกเหนือกฎหมายรีดไถกดขี่ข่มหัวประชาชนแบบตำรวจไทยหลายสิบปีที่ผ่านมาจนถึงเดี๋ยวนี้นี่แหละ
       
       เรื่องนี้มันไม่สนุก พวกเราอย่าพึ่งเฮกันเลยนะครับ ช่วยกันรำลึกดูให้ดีถึงบุญคุณของตำรวจที่ทำให้ท่านหรือญาติมิตรเจ็บช้ำน้ำใจ รู้แต่ว่ามันแก้ไขหรือทำอะไรไม่ได้ เพราะใครๆ ก็โดนเหมือนกันหมด ราวกับว่านี่คือวิถีชีวิตของคนไทย
       
       ผมเคยคุยกับพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สองต่อสองก่อน 19 กันยายน 2549 ตอนที่เริ่มระแคะระคายว่าท่านอาจจะต้องเป็นนายกฯ ท่านบอกผมว่าด้วยความจริงใจไม่อยากเป็นนายกรัฐมนตรีเลย แต่ถ้าบังเอิญได้เป็นแล้ว ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ขอปรับปรุงตำรวจให้ดีขึ้นสักครึ่งหนึ่งก็จะพอใจ
       
       นายกฯ สุรยุทธ์รีบตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการตำรวจ ผมได้อ่านและได้ยินรายงานเป็นครั้งเป็นคราว แต่ในที่สุดสุรยุทธ์ก็คว้าน้ำเหลว พวกตำรวจดื้อด้านต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และมีอิทธิพลความสามารถพอที่จะขัดขวางการเปลี่ยนแปลงเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนหรือผลประโยชน์ของตำรวจเอง ในอดีตผมเจออย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว
       
       พี่น้องที่เคารพรักครับ เบื่อหรือยังครับ เรื่องตำรวจ นอกจากเบื่อไม่ได้แล้ว ควรจะต้องชวนตำรวจซึ่งกำลังรายล้อมผู้ชุมนุมที่ทำเนียบ และสะพานมัฆวานฯ ให้ช่วยกันฟังด้วย ส่วนตำรวจชั้นผู้ใหญ่ขอให้เจียดเวลาจากการนับส่วนแบ่งส่วย หรือรับการแอบสั่งของนักการเมือง หรือเจ้านายที่มันมิชอบด้วยกฎหมายมาใคร่ครวญดูบ้างว่า ถ้าไม่ปฏิรูปกิจการตำรวจ บ้านเมืองจะล่มจมจริงหรือไม่
       
       ผมเชื่อว่าพี่น้องทั้งหลายได้ฟังคำปราศรัยของตำรวจดีมีกึ๊นเมื่อก่อนเที่ยงวันอาทิตย์นี้ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ อดีตผู้บังคับการสันติบาลได้เล่าถึงความผิดพลาดไม่สมควรและผิดกฎหมายที่ตำรวจได้กระทำลงไปกับผู้ชุมนุม ทั้งในระดับสูงและในที่เกิดเหตุคือสะพานมัฆวานฯ มูลเหตุใหญ่ก็คือการที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทำตนรับใช้นักการเมือง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องทางกฎหมาย
       
       ผมอยากให้พี่น้องชาวไทยลองนึกย้อนลงไปถึงอดีต จะเอาแค่ปัจจุบันไม่กี่วันนี้ คือ เหตุการณ์ที่มัฆวานฯ การออกหมายจับกบฏ 9 พันธมิตรฯ หลังจากแจ้งความด้วยข้อหาและหลักฐานเท็จภายในวันเดียว การที่รถตำรวจนำขบวนอันธพาลรักเมืองอุดรฯ มาเป็นกิโลเพื่อบุกเข้าเข่นฆ่าผู้ชุมนุมมือเปล่า และแจ้งข้อหากับสตรีที่ถูกตีจนสลบ แทนที่จะรีบจัดการกับอันธพาลฯลฯ หรือนานไปอีกหน่อยถึงเหตุการณ์ที่ชิปปิ้งหมูหายตัวไป ทนง โพธิ์อ่าน หายตัวไป ทนายสมชาย นีละไพจิตร หายตัวไป หรือเมื่อตำรวจเอานักโทษออกจากคุกมากระทืบประชาชนที่เซ็นทรัล การปิดล้อมหนังสือพิมพ์เนชั่น
       
       การที่ นปก.ปิดล้อมขว้างปาตะโกนด่ารัฐบุรุษประธานองคมนตรีถึงหน้าบ้าน จนป่านนี้ปีหนึ่งแล้วคดียังไปไม่ถึงไหน ซ้ำแกนนำยังได้ดีมีตำแหน่งพากันไปนั่งคับทำเนียบ นายกรัฐมนตรียังเอามาสรรเสริญในทีวีว่าเป็นผู้แพร่ความจริงค่าควรเมืองอยู่ในพูดจาประสาสมัคร เมื่อเช้าวานนี้ (อาทิตย์ 31 สิงหาคม 2551) หรือจะย้อนให้ยาวลงไปอีกถึงพ.ศ. 2489-90 เมื่อ 4 อดีตรัฐมนตรีถูกโจรจีนระดมยิงตายทั้งกุญแจมือที่ทุ่งบางเขนในคุ้มกันของตำรวจ หรือการที่ น.ท.พจน์ จิตรทอง พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข ถูกตำรวจปีนหลังคาบ้านขึ้นไปสังหาร และคดีอีกนับไม่ถ้วนที่ในที่สุดตำรวจตกเป็นผู้ต้องหา และถูกพิพากษาลงโทษ
       
       ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะตำรวจรับใช้นักการเมือง ตำรวจเป็นทาสนักการเมือง ตำรวจเป็นเหยื่อการเมือง ตำรวจเล่นการเมือง ใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่จะเป็นเพราะอะไร ตอบอีกทีก็ได้ว่า เพราะตำรวจไม่ยึดมั่นในอาชีพ ไม่ยึดมั่นในกฎหมาย และอุดมคติของการเป็นตำรวจที่ดี ซึ่งใช่ว่าจะไม่มีการสั่งสอนกันมา ตามที่พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ เล่า
       
       ถ้าสงสารตำรวจใจอ่อน ตำรวจนอกคอก ตำรวจมักง่าย ตำรวจมักได้ที่เป็นทาสนักการเมือง ขอให้สงสารประชาธิปไตย และสงสารประชาชนที่ตกอยู่ใต้ความโหดเหี้ยมของยุคหรือรัฐตำรวจ
       
       ไม่มีครั้งใดที่ประเทศไทยจะตกอยู่ใต้รัฐตำรวจอย่างเบ็ดเสร็จเท่ายุครัฐบาลทักษิณและยุครัฐบาลนอมินี ไม่เชื่อลองถามนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ มหาดไทยโกวิท หรือ ผบ.ตร.พัชรวาท ดูว่า รู้จักเนวิน และศักดิ์สยาม ชิดชอบ หรือไม่
       
       พี่น้องชาวไทยที่รักเคารพทั้งหลาย ผมแน่ใจว่าท่านที่อยู่ต่างประเทศหรือท่านดูทีวีหรืออ่านหนังสือพิมพ์ที่เป็นสื่อสากล ท่านต้องเห็นแล้วว่าเขาพากันพูดถึง Police Brutality แปลว่าความโหดเหี้ยมของตำรวจ หรือการที่เมืองไทยมีพฤติกรรมคล้าย Police State หรือรัฐตำรวจ องค์การสิทธิมนุษยชนทั้งหลายต่างก็พากันประณามประเทศไทยกันอย่างสนุก
       
       ผมอยากจะบอกพวกไฮโซขวัญอ่อนหรือนักวิชาการบนหอคอยงาช้างทั้งหลาย การชุมนุมทางการเมืองมิใช่สิ่งที่ทำให้การท่องเที่ยวหรือการลงทุนตกต่ำหรอก ยิ่งชุมนุมอย่างผู้ดีแบบไทยที่ผ่านมาแถมจะเป็นสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวเสียอีก แต่ความโหดเหี้ยมของตำรวจต่างหากที่จะทำให้เขาดูถูกและเบือนหน้า เพราะเขาจะรู้ได้โดยทันทีว่าบ้านเมืองของเรามิได้ปกครองโดยกฎหมาย แต่ปกครองโดยกระบองและดาบปลายปืนตำรวจ
       
       ต่อไปนี้ผมอยากให้พวกเราช่วยกันทำความเข้าใจกับแนวความคิดเรื่องความโหดเหี้ยมของตำรวจและรัฐตำรวจ ซึ่งถ้าหากใช้ภาษาอังกฤษบางครั้ง ต้องขออภัยถึงท่านไม่สันทัดภาษาอังกฤษ พออธิบายท่านก็จะเข้าใจทันที เพราะท่านได้ประสบปัญหาของตำรวจมาด้วยตนเอง
       
       Police Brutality หรือความโหดร้ายของตำรวจนั้น ไม่จำกัดอยู่ที่สะพานมัฆวานฯ หรือตัวอย่างที่กล่าวมาเท่านั้น แต่มีอยู่ทั่วไปที่ตำรวจรีดไถและข่มขี่ประชาชน ในรูปแบบต่างๆ ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยจากตำรวจ นี่ก็คือความรู้สึกของประชาชนที่อยู่ในรัฐตำรวจหรือ Police State โดยไม่จำเป็นว่านายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีมหาดไทยจะเป็นตำรวจหรือไม่
       
       รัฐตำรวจหรือตำรวจโหดนี้เกิดขึ้นได้ง่ายในกรณีดังต่อไปนี้
       
       1. เมื่อองค์กรหรือการบริหารตำรวจมีลักษณะรวมศูนย์ (Centalized)เป็นระบบนครบาลอยู่ในเมืองใหญ่(Metropolitan) หรือเป็นระดับหรือระบบตำรวจชาติ (National Police) อังกฤษและอเมริกาไม่มีตำรวจระดับชาติ
       
       2. เมื่อตำรวจมียศตำแหน่งและจัดระบบบังคับบัญชาคล้ายทหาร (Para Military)
       
       3. เมื่อตำรวจมีอำนาจอื่นนอกจากการสืบสวนและจับกุม และมิได้อยู่ใต้การบังคับบัญชาของท้องถิ่นและชุมชน อำนาจสอบสวนที่ตำรวจมีมากเกินไป ทำให้ตำรวจนอกคอกกลายเป็นโจรไปเสียเอง ในสมัยที่ผมรับราชการอยู่ในกระทรวงมหาดไทย อำนาจการสอบสวนขึ้นอยู่กับตำรวจและฝ่ายปกครองทั้งคู่ โดยมีนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน รู้สึกว่าประชาชนยังพอจะอบอุ่นใจว่ามิตกอยู่ภายใต้เงาทมิฬของตำรวจแต่อย่างเดียว
       
       พี่น้องชาวไทยที่รัก การนองเลือด 14 ตุลาคม 2516 และโอกาสที่เราจะนองเลือดอีกครั้งนี้ นอกจากจะเป็นเพราะตำรวจทำตนเป็นทาสนักการเมืองแล้วยังเป็นเพราะตำรวจโง่และไม่รู้กฎหมาย ออกคำสั่ง และปฏิบัติการที่ผิดกฎหมาย เช่น การออกหมายจับและการคลี่คลายปัญหาการชุมนุมทั้ง 2 กรณี
       
       ถ้าหากว่าการชุมนุมครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี และด้วยชัยชนะของประชาชน เราจะต้องช่วยกันปฏิรูปตำรวจด้วยหลักการสั้นๆ และมาตรการที่ยิ่งใหญ่ดังต่อไปนี้ คือ (1) Demilitarization เลิกยศตำแหน่ง การจัดการและพฤติกรรมเสมือนทหารของตำรวจ (2) Decriminalization ช่วยให้ตำรวจเลิกประพฤตินอกคอกเป็นโจรเพราะเป็นทาสนักการเมืองและเจ้าพ่อ (3) Regionalization and Localization) เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของกำลังพลตำรวจต้องขึ้นอยู่กับองค์กรและการบังคับบัญชาส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น อาจจะมีคณะบัญชาการ (Commisioner) แบบผสมประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี หรือตัวแทนองค์กรปกครองท้องถิ่น และตัวแทนของประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่ข้อ 4 คือ (4) Democratization and Popular Control การจัดการบริหารตำรวจให้เป็นประชาธิปไตยภายใต้การควบคุมของประชาชน
       
       พี่น้องชาวไทยที่เคารพรัก ขออวยพรให้ท่านต่อสู้ต่อไปจนได้รับชัยชนะ ถ้าหากตำรวจเขาต่อสู้ขัดขวางก็โปรดเข้าใจไว้ด้วยว่า เขายังไม่พร้อมที่จะเป็นประชาธิปไตย แผ่เมตตาให้เขาเถิด และสู้ต่อไปด้วยความเข้มแข็งและกำลังแรง ตำรวจทั้งหลายก็รอคอยวันที่ท่านจะมาปลดปล่อยเขาเช่นเดียวกัน
       
       ขอบคุณ
หมายเลขบันทึก: 205004เขียนเมื่อ 2 กันยายน 2008 12:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤษภาคม 2012 12:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอบคุณมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท