จากสวัสดี ผ่านสะบายดี ถึงซินจ่าว ( 2 )


เปิดโลกทัศน์

สวัสดีครับ สบายดีเจ้า ซินจ่าว  ผมลืมเล่าในตอนแรกว่า เหตุใดจึงไม่นั่งเครื่องบินจากดอนเมือง  สู่สนามบิน นอยไบท์  ณ นครฮานอย  ครับ  เพราะเนื่องจากว่าถ้าเดินทางจากขอนแก่นสู่กรุงเทพมหานคร และนั่งเครื่องบินจากดอนเมืองสู่ฮานอยแทนที่จะนั่งจากขอนแก่นสู่นครหลวงเวียงจันทน์แล้วนั่งเครื่องบินจาดเวียงจันทน์สู่ฮานอย ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายเยอะมากครับ  เพราะขอนแก่นถึงเวียงจันทน์ ห่างกันแค่ 170 กว่ากิโลเมตรเองครับ  แต่ถ้าจะเข้ากรุงเทพฯตั้ง 410 กิโลเมตร อีกทั้งเราเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่มากครับ

                11  ตุลาคม 2547   เครื่องบินลง ณ สนามบินนานาชาตินอยไบ ณ กรุง ฮานอย  เวลาเท่าไหร่ผมจำไม่ได้เพราะตื่นเต้นกับการเดินทางน่าจะใช้เวลาจากเวียงจันทน์ถึงฮานอย 1 ชั่วโมง 45 นาทีครับ  สนามบินที่ฮานอยดูโอ่โถง  โล่งสบาย หรูดีครับ จากนั้นผู้นำทัวร์พาคณะไปแลกเงิน ณ จุดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศภายในสนามบิน(แต่ผมยังไม่แลกครับ) ระหว่างทางจากสนามบินเข้าไปในตัวเมือง ได้พบเห็นวิถีชีวิตของชาวเวียดนามเห็นชาวนากำลังขมีขมันกับการทำไร่ทำนา ข้าวของชาวเวียดนามเป็นพันธุ์เตี้ยๆ ครับ  ชาวนาจะนั่งเกี่ยวข้าว ไม่เหมือนบ้านเรา เกี่ยวเสร็จก็เห็นไถนาต่อเลยก็มีครับ  เนื่องจากว่าจะต้องส่งภาษีค่าเช่าดินให้รัฐบาลในอัตราสูงมาก  เพราะฉะนั้นจึงต้องขยัน  ทราบคร่าวๆมาว่า  ทำนาปีละ 4หนแนะครับ  พันธุ์ข้าวของเขาน่าจะมีอายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่าพันธุ์ข้าวบ้านเราครับ  คล้ายๆข้าวดอในแถบอีสานที่อายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่าข้าวในแถบอีสานตอนล่าง  (ข้าวหอมมะลิ)

                ผมยังเห็นเกษตรกรใช้ควายในการไถนาอยู่เลยครับ  แต่รถไถนาเดินตามก็พอมีให้เห็นบ้างครับ ส่วนบ้านเรือนนั้นสีสันแปลกตาคล้ายๆ ทาวเฮาว์ล็อคเดียวแคบๆ  สีสันฉูดฉาด ชมพู เขียว เหลือง ม่วง ทั้งหลัง คล้ายบ้านในการ์ตูนเลยครับ  ทาสีเฉพาะด้านหน้า และด้านใน  ด้านข้างและด้านหลังไม่ทาครับ  คงเป็นรสนิยมเขาครับ  ถนนเส้นหลักจะมีการแบ่งทางเดินให้รถจักรยานด้วย  มีแผงเหล็กกั้นตลอดทาง( เฉพาะนอกเมืองครับ) เพราะคนใช้จักรยานเยอะมาก โดยเฉพาะในตัวเมืองขวักไขว่ด้วยจักรยาน และจักรยานยนต์ครับ  เสียงแตรดังสนั่นไปทั่วท้องถนน(คงบีบแตรกันจนชินครับ) การเดินทางข้ามถนนก็จะต้องเดินช้าๆ ไปเรื่อยๆ ห้ามหยุดและห้ามถอยกลับ  เพราะรถที่กำลังเดินมาจะให้เกียรติคนเดินข้ามจะกะจังหวะและอ้อมหลังเราไปครับ  ตามแยกต่างๆก็มีไฟแดงน้อยมากครับ รถคันใหญ่ถูกจำกัดความเร็วที่ 50 กม./ชม. ส่วนคันเล็ก 70 กม./ชม.    รับประทานอาหารกลางวันเสร็จ  ทานอาหารพร้อมน้ำชาร้อนๆ  ประมาณบ่ายโมง  เข้าพบและคารวะท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงฮานอยที่บ้านพัก  ท่านได้กล่าวต้อนรับและเล่าถึงประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเวียดนาม  ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ.1978 โดยเวียดนามให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก ตลอดจนการสนับสนุนทุนการศึกษาส่วนในด้านการลงทุนสหรัฐอเมริกาต้องการเข้ามาลงทุนในทุกๆด้าน และกำลังขยายการลงทุนในเวียดนามอย่างมากเลยครับ 

                บ่ายๆก็เที่ยวชมวัด......ซึ่งเป็น มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม  มีเต่าหินแกะสลัก และแผ่นหินแกะสลักรายชื่อจอหงวน(คล้ายๆจีนด้วย) เต่าหินแต่ละตัวมีลักษณะแตกต่างกันครับ ภายในมีสถาปัตยกรรมต่างๆ มีรูปปั้น  มีวัด สระน้ำ  และการแสดงของนักดนตรีพื้นบ้าน โดยเล่นเพลง ลอยกระทงของไทยให้ฟังกันครับ  ลอยลอยกระทง  ลอยกระทงกันแล้วขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง... แต่สำเนียงจะเพี้ยนๆครับ

                หลังจากที่ชมวัดเสร็จก็เข้าที่พักครับ ที่โรงแรมบ่าวเซิน  หลังจากนั้นก็ไปทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารเวียดนาม มีแต่อาหารแปลกครับ  ได้ทานแหนมเนืองต้นตำหรับด้วยครับ  หลังจากนั้นก็กลับโรงแรมพักผ่อนตามอัธยาศัย ตอน 3 ทุ่มก็ไปเดินชมเมืองยามค่ำคืนครับ   ฮานอยในยามค่ำคืนก็น่าสนใจดีครับ เขาน่าจะไม่ค่อยทานข้าวเย็นที่บ้าน ค่ำๆจะมีคนเต็มร้านอาหาร เสียงเจี๊ยวจ้าวเต็มเมืองครับ ยองยองเหลา ถ้าจำไม่ผิดร้านอาหารและร้านริมทางเท้าเก้าอี้น้อยๆ โต๊ะตัวเล็กๆคล้ายโต๊ะญี่ปุ่น วางเรียงรายขายอะไรไม่ทราบในหาบของแม่ค้า ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็เลยเดินเข้าไปถามดด้วยใจอยาก  เห็นหน้าเขาก็เอ่ยคำว่า ซินจ่าว ซินจ่าวด้วยหมายความว่าจะถามราคาเท่าไหร่  แม่ค้ามองหน้าเราด้วยอาการงงๆ เราก็งงไปด้วย ก็พยายามพูดว่า ซินจ่าว  ซินจ่าว โดยหยิบของในหาบนั้นขึ้นมาน่าจะเป็นลูกมะกอกน้ำ ถ้าจำไม่ผิด  ปรากฏว่าแม่ค้าก็ทำหน้างงๆกับผม พอคิดไปคิดมาเลยอดตลกตัวเองไม่ได้ครับว่า    พูดผิดไปควรจะพูดว่า บ่าวเยียวซึ่งแปลว่า เท่าไหร่แต่กลับใช้คำว่า ซินจ่าวซึ่งแปลว่า สวัสดี มิน่าล่ะครับแม่ค้าถึงได้ทำหน้างงๆ  ป่านนี้ในใจของแม่ค้าคงจะด่าผมน่าดูว่า จะสวัสดีหาสวรรค์วิมานอะไรเป็นสิบรอบ ครับ

               

เมืองฮานอยยามค่ำคืนก็วุ่นวายพอสมควรก็อุปมาอุปมัยว่า คงไม่ต่างกับกรุงเทพฯมากนักเพราะเป็นเมืองหลวงของประเทศเช่นเดียวกัน ต่างกันต้องที่ รถที่อยู่ในถนนในฮานอยกลับเป็นจักรยานยนต์ มากกว่า รถยนต์ ครับ 

ในฮานอยมีสวนสาธารณะเยอะมากครับ  เขายังสร้างสวนรอบๆบึง บริเวณทุกๆตารางเมตรจะมีคนจับจองกันเป็นคู่ๆ ไม่รู้เขาทำอะไรกัน ได้แต่ทำให้คนไทยโดยเฉพาะหมู่นักศึกษาสนใจเป็นอย่างยิ่ง  พยายามเดินหาสวนสาธารณะอยู่เรื่อยๆ เพราะมีอะไรแปลกๆให้ดูให้ชมกันครับ แต่ถ้าใครเคยไปแล้วก็จะทราบกันดีครับ ถ้ามาอยู่ในบ้านเราเจ๊ระเบียบรัตน์ คงสั่งห้ามให้คนไปนั่งในสวนสาธารณะมั้งครับ  คืนแรกในเวียดนามก็มีเรื่องราวน่าสนในเพียงเท่านี้ครับ  อ่านต่อตอนต่อไป

ปล.ต้นไม้ในวียดนามจะทาสีขาวๆรอบๆที่โคนต้นครับ อยากรู้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ

หมายเลขบันทึก: 203965เขียนเมื่อ 28 สิงหาคม 2008 09:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 14:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท