จากสวัสดี ผ่านสะบายดี ถึงซินจ่าว (1 )


เปิดโลกทัศน์

เมื่อเดือนตุลาคม 2547ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการเปิดโลกทัศน์ นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นสู่ภูมิภาคอินโดจีน ณ  สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามหรือประเทศเวียดนามครับ  ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยเฉพาะท่านอธิการบดี รศ.สุมนต์ สกลไชย รวมทั้งผู้คิดริเริ่มโครงการที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่น  ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลลีเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในโลกกว้าง

                การเดินทางในครั้งนี้ประกอบไปด้วยผู้บริหาร คณาจารย์  เจ้าหน้าที่  และนักศึกษาจำนวนหนึ่งที่เป็นตัวแทนในการเดินทางไปนั้นคือ กรรมการบริหารหรือกรรมการดำเนินงานองค์การนักศึกษา  กรรมการสภานักศึกษา นายกสโมสรนักศึกษาจากทุกคณะหรือตัวแทน โดยส่วนตัวเชื่อว่า มหาวิทยาลัย ต้องการให้กำไรและขอบคุณนักศึกษาที่เสียสละ แรงกาย แรงใจ ในการทำกิจกรรมเสริมสร้างหลักสูตร หรือที่เราเรียกว่า นักกิจกรรมที่ได้เหน็ดเหนื่อยจากการช่วยเหลือกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยให้เป็นบัณฑิตผู้กอปรด้วย วิทยา จริยา และปัญญา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนานักศึกษาผ่านกิจกรรมเสริมหลักสูตร

                การเดินทางไปศึกษาดูงาน  เปิดโลกทัศน์และแลกเปลี่ยนประสบการณ์    ประเทศเวียดนาม  มีกำหนดในระหว่าง

วันที่  11-15 ตุลาคม 2547 ก่อนเดินทาง 1 วัน(10 ต.ค.47) ฝ่ายเตรียมงานได้จัดการปฐมนิเทศผู้ร่วมเดินทาง ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานอธิการบดี  อาคาร 1 รับฟังการบรรยายเรื่องราว ข้อมูลต่างๆ ของประเทศเวียดนามโดย อ.ปรีชา ลักษณะสกุลชัย  อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  ฟังการให้ข้อมูลและแนวปฏิบัติจากผู้นำทัวร์  จึงจะเล่าคร่าวๆว่า ธงชาติของเวียดนามมีพื้นสีแดงเข้ม ตรงกลางมีดาว 5 แฉก  ซึ่งแต่ละแฉกมีความหมายว่า  ประชาชน เกษตรกร  ผู้ใช้แรงงาน  พ่อค้า  และทหาร/ตำรวจ  สีแดงนั้นมีความหมายว่า  ขยัน อดทน  มีความคิดสร้างสรรค์  กล้าหาญ  รักสันติ  เคารพคุณธรรมและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้ที่มาเยือน

                การเดินทางไปเวียดนามครั้งนี้  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะเดินทางไปต่างประเทศ แม้ไม่ได้ไปประเทศที่เจริญแล้วหรือพัฒนากว่าเรา แต่ในใจก็ตื่นเต้น และดีใจที่จะได้เดินทางในครั้งนี้  เตรียมตัวตั้งแต่ไปทำหนังสือเดินทาง (Passport) กระเป๋าเดินทาง และเตรียมซื้อของฝากให้หลายๆ คน

                11 ตุลาคม 2547 ออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นเวลา03.35น. เพื่อมุ้งหน้าไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย    สะพานมิตรภาพไทย ลาว ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง (06.00 น.) ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เดินทางไปยังสนามบินนานาชาติ

วัตไต ณ  นครหลวงเวียงจันทน์ ผ่านใจกลางเมืองเห็นผู้คนตักบาตรพระสงฆ์ผู้คนยังไม่พลุกพล่านมากนัก  เพราะยังเช้าอยู่สองข้างทางยังเงียบสงบ  มีร้านขายอาหารเช้า คือ ข้าวจี่ลาว หรือ ขนมปังฝรั่งเศสสอดไส้  (คงต้องหาโอกาสลองชิมสักหน่อย)

                วัดที่ลาวจะสวยและปราณีต เห็นพระสงฆ์เดินบิณฑบาต  ผู้คนตื่นเช้ามาตักบาตรรู้สึกคิดถึงเมื่อครั้งเยาว์วัย ชีวิตแบบนี้ขาดหายไปนานโดยเฉพาะตั้งแต่มาศึกษา ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

                เมื่อถึงสนามบินก็เช็คอินเพื่อที่จะขึ้นเครื่องบินจากสนามบินวัดไต มุ้งหน้าสู่มหานครฮานอย  เมืองหลวงของเวียดนาม โดยสายการบินลาวขึ้นไปลำเล็กๆ  ผู้บริการหรือแอร์โฮสเตสนั้นสวยดีครับ ใช้ 2  ภาษา คือ อังกฤษและลาว  ภาษาอังกฤษก็ฟังไม่ค่อยออก เจอภาษาลาวของแท้ งงไปเลยศัพท์สูงมาก  สบายดี ผู้โดยสารซูผู่ซูคน ขณะนี้...ยนต์กำลังซิเจิดขึ่น... ฟังไม่ทันไรเครื่องบินก็ยกหัวลำขึ้น อย่างแรกแอบขำอยู่ในใจ เครื่องบินเป็นเครื่องบินเล็ก ชนิดใบพัด เก้าอี้ที่ผมนั่งนั้น เข้มขัดนิรภัยขัดข้องรัดไม่ได้  มาเจอเครื่องบินเก่าๆลำเล็กๆ อีก ยิ่งตื่นเต้นไปใหญ่เลยครับ  และแล้วก็เดินทางถึงเวียดนาม ผ่านท้องฟ้าข้างบนที่สวยงาม  แต่ร้อนเพราะใกล้พระอาทิตย์  ผนวกกับแอร์บนเครื่องบินไม่ค่อยจะเย็นครับ  สักพักได้ยินเสียงประกาศว่า  เครื่องกำลังจะลง ทันใดเครื่องบินก็หักหัวลง คล้ายๆหัวจะทิ่มลงดิน  มาถึงพื้นด้วยความรุนแรง จากการกระแทรก  โอ้ย! หัวใจจะวายครับ

                ปล. ลืมบอกไปครับ  รถที่ลาวเขาเป็นช่องวิ่งขวาพวงมาลัยรถยนต์อยู่ทางซ้ายมือ แอบคิดตลกๆอยู่ในใจว่า ถ้าขับมอเตอร์ไซด์ คันเร่งจะอยู่ซ้ายมือด้วยรึเปล่า

หมายเลขบันทึก: 203964เขียนเมื่อ 28 สิงหาคม 2008 09:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 01:47 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท