สายเกินไป.....สำหรับผู้สำเร็จอนันตริยกรรม


ทรงกระสับกระส่ายพระทัย เพราะถวายพระอาญาขั้นสุดท้าย ที่รับสั่งไปแล้ว

     ในชีวิตของคนเรามีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่มักจะมาถึงเรา เมื่อสายเกินไปเสียแล้ว โดยเฉพาะความผิดพลาดที่มันเกินแก้ แม้จะอ้อนวอนขอเวลาให้เหลือสัก ๑ วินาที ก็ยังไม่สามารถทำได้

เทือกเขาในกรุงราชคฤห์

ที่สร้างตำนานมากมาย ในพุทธประวัติ

"เขาคิชฌกูฏ"

   ขอเล่าเรื่องของเหตุการณ์สำคัญ ที่เกิดขึ้นในกรุงราชคฤห์ สมัยพุทธกาลต่อไป

   บันทึกที่แล้ว ได้เล่าถึงพระเจ้าอาชาตศัตรู ได้สำเร็จอนันตริย กรรม ด้วยการปิตุฆาตพระราชบิดา ลงแล้ว แต่ถ้าอดีตจะย้อนกลับคืนไปได้ แม้เพียงเสี้ยววินาที ที่จะยั้งเวลามิให้พระราชบิดาสวรรคต พระเจ้าอชาตศัตรู คงยอมทุกอย่าง เพื่อแลกกับเสี้ยววินาทีนั้น ขอเพียงพระราชบิดาอย่าเพิ่งสิ้นพระชนม์ ขอให้พระองค์ได้กลับพระทัย แล้วมาเฝ้าเสด็จ ดูแลแก้ไขจนพระราชบิดา กลับมีพระพลานามัยสุขสมบูรณ์ต่อไป มิให้สวรรคตในสภาพเช่นนี้ และจากน้ำมือพระองค์

  เพราะวันที่พระเจ้าพิมพิสาร ทรงทนทุกขเวทนาไม่ไหว และสิ้นพระชนม์นั้น เป็นวันเดียวกันกับ พระราชโอรสของพระเจ้า      อชาตศัตรูประสูติพอดี เสียงร้องของพระโอรส ที่ผ่านพระโสตของพระเจ้าอชาตศัตรู สร้างความปิติโสมนัสเหลือประมาณ ความรักใคร่ ความเบิกบาน แจ่มใส บรรเจิด และเกาะกุมพระทัยทันที ณ เวลานั้นกุศลจิตในพระองค์ ทำให้หวนระลึกถึงความรักของผู้เป็นพ่อขึ้นมาได้ ในวันที่พระองค์ประสูติ พระราชบิดา ก็คงมีความปิติเปี่ยมพระราชหฤทัยเช่นเดียวกัน พลันก็ให้สำนึกในความหลงผิด หวาดระแวง ต่อผู้บังเกิดเกล้า จนถึงกับสั่งลงอาญา ป่านฉะนี้ พระราชบิดาจะทุกขเวทนาประมาณใด จึงสั่งให้ ทหารไปนำพระเจ้าพิมพิสารออกจากคุกโดยทันที ให้รีบนำหมอหลวงมารักษาให้ดีที่สุด ทรงกระสับกระส่ายพระทัย เพราะถวายพระอาญาขั้นสุดท้าย ที่รับสั่งไปแล้ว ด้วยบาปกรรม กำลังเผาผลาญพระทัยพระองค์ตลอดเวลา  อีกทั้งได้รับการกราบบังคมทูลว่า พระราชบิดา สิ้นพระชนม์แล้ว

   ขณะจิตนั้นพระเจ้าอชาตศรัตรู อยากจะหมุนโลกให้ย้อนกลับ ปรารถนาให้เหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว เปลี่ยนแปลงเสียใหม่ ให้พระโอรสของพระองค์ประสูติก่อนหน้านี้ เพื่อให้พระองค์ได้ซึมซาบรสรักเสน่หา ระหว่างพ่อต่อลูก เพื่อพระองค์จะได้กลับไป ทำนุบำรุงพระบิดา มิให้ได้รับการทารุณเช่นนั้นแต่วันเวลา ก็ไม่เคยย้อนกลับมาได้ ดังปรารถนา

   พระเจ้าอชาตศรัตรู ทรงวิ่งไปหาพระราชมารดา คาดครั้นให้เล่าถึงครั้งที่พระองค์ประสูติ พระราชบิดามีอาการเยี่ยงพระองค์หรือไม่ ทรงปิติเสน่หาปานใด

 พระราชมารดา ทรงเล่าให้พระราชโอรสฟังจนหมดสิ้น นับตั้งแต่ พระราชบิดา กรีดพระพาหา เพื่อให้พระนางเสวยพระโลหิต แก้การแพ้พระครรภ์ การดูดนิ้วที่เป็นฝีของลูก การยกโทษ แม้จะรู้ว่าราชบุตร ลอบปลงพระชนม์ ซัำยังยกราชสมบัติให้ตามพระราชประสงค์

  โดยสรุปก็คือ สายตาของพ่อแม่ ไม่เคยปองร้ายในบุตรของตน มีแต่จะเอ็นดู ทะนุถนอม ขจัดปัดเป่าทุกข์โทมนัสของลูก ไม่โกรธ แม้ลูกสั่งฆ่าก็ตาม

  พระราชมารดาเมื่อทรงทบทวนเรื่องราวจนจบ ประกอบกับได้สัมผัส จิตใจที่กระด้างโหดเหี้ยมของพระราชบุตรตลอดมา ซึ่งเคยสั่งห้ามแม้กระทั่ง รู้ว่าพระนาง แอบเอาอาหารทาพระวรกาย เพื่อนำไปให้พระเจ้าพิมพิสารเสวย ความเดียดฉันท์ จึงทำให้ ทรงกลับคืนสู่เมืองของพระนาง ไม่สามารถจะทนอยู่กับพระโอรสต่อไปได้

 พระเจ้าอชาตศรัตรู ผู้ก่ออกุศลกรรม อย่างยิ่งยวด 

ธรรมชาติของจิตนั้น จะคิดได้ทีละเรื่องอยู่แล้ว ยิ่งต้องประทับอย่างโดดเดี่ยว ความสงบทำให้กุศลเข้าครอบงำพระทัย

  การได้ระลึกถึงกรรมที่ได้กระทำมาจึงเกิดขึ้น

แต่อกุศลฝ่ายบาป ก็ตามรักษา ให้ทุกข์ทรมานใจ

นับตั้งแต่พระราชบิดาสิ้นพระชนม์ พระองค์มิเคยได้บรรทมหลับอีกเลย แม้สักชั่วยาม

    การได้หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข จึงเป็นคำอวยพร ก่อนจาก สำหรับวันนี้ค่ะ

 

หมายเลขบันทึก: 202988เขียนเมื่อ 23 สิงหาคม 2008 17:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (28)

เจริญพร โยมหมอ

กรุงราชคฤห์มีพระราชโอรสกระทำปิตุฆาตต่ิอมาอีกหลายราชวงศ์

เป็นเรื่องน่าเศร้าใจมาก

เจริญพร

กราบนมัสการท่านพระปลัดเจ้าค่ะ

โยมเคยได้ยินมาเช่นนั้น แต่ก็ไม่ทราบรายละเอียด ถ้าพระคุณเจ้า

จะนำมาเผยแผ่ก็ต้องกราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

คงเป็นกรรมที่ผูกพันกันมา แต่ปางก่อนนะเจ้าคะ

สวัสดีครับ...

พยายามหาหนังสืออ่านเรื่องปิตุฆาตของพระเจ้าอาชาตศรัตรูี้เหมือนกัน รู้ว่าทำเช่นนั้นเพราะแผนการมาจากพระเทวทัตทั้งหมด  และกับข้อความที่ว่าเป็นเรื่องเวรกรรมที่ลูกฆ่าพ่อมาหลายชาติ  แต่มิได้กล่าวถึงเลยว่าก่อนหน้านี้พระเจ้าพิมพิสารฆ่าพ่อ พ่อชื่ออะไร เพราะพิจารณาจากประวัติแล้วก็น่าจะทราบประวัติพ่อของพระเจ้าพิมพิสาร

ด้วย เพราะว่าพระเจ้าพิมพิสารอายุประมาณพระพุทธเจ้า    หรือว่าเคยฆ่ากันในอดีตชาติ  

พี่หมอถ้าทราบช่วยบอกด้วยนะครับ   ผมสนใจเรื่องอานุภาพของฌาน

ที่พระเจ้าพิมพิสารอยู่ได้ในคุกเป็นเวลานานโดยไม่ต้องเสวย

เจริญพร โยมหมอ

อาตมาไปอ่านหนังสือที่ไหนจำไม่ได้แต่หากโยมสนใจอาตมาจะลองค้นหาดู

เรื่องอนันตริยกรรม คือ ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ ประทุษร้ายพระพุทธเจ้า และทำลายสงฆ์ให้แตกกัน จัดเป็นครุกรรม

ผู้ใดได้กระทำกรรมเหล่านี้ แม้เพียงประการหนึ่งประการใดก็ตาม เป็นคนต้องห้าม บวชไม่ได้แล้ว

ครั้นเมื่อจากโลกไปแล้ว  จะไปเกิดใน อเวจีมหานรกทันที ไม่มีผลบารมีกุศลกรรมใดๆมาช่วยเหลือป้องกันได้เลย

ครุกรรม จึงเป็นกรรมที่มีอิทธิพลสูงสุด ในการสร้างภพสร้างชาติใหม่

เจริญพร

สวัสดีค่ะคุณ Suchet Chookong

ค่ะต้องขอเวลาค้นคว้า หรือหากผู้ใดมีความรู้เรื่องฌาณ ที่ทำให้เกิดปิติ จนหล่อเลี้ยงกายหยาบ ให้มีชีวิตอยู่ได้ ก็ต้องขอเรียนเชิญ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนะคะ

กรรมหนัก เป็นกรรมที่น่ากลัวมาก และเป็นรอยกรรม ที่ตามกันมาข้ามภพข้ามชาติ และมีแรงวิบาก ให้ได้กระทำล่วงเกินกันอีก

ทั้งนี้ คิดว่า การได้พบครู พบพระพุทธศาสนา และกัลยาณมิตร ก็คงจะช่วยให้ผู้นั้น ข้ามชาติ ไปได้โดยมิต้องก่อเวรอีกต่อไป

ขอบพระคุณมากค่ะ ที่สนใจเรื่องราวพระพุทธสาสนา ดิฉันเองก็สนใจ และพอได้รู้มา ก็อยากเผยแพร่กันต่อไป

ช่วยกันจรรโลง พระพุทธสาสนานะคะ

สาธุ สาธุ สาธุ

กราบนมัสการท่านพระปลัดค่ะ

กราบขอบพระคุณที่ได้เมตตา นำรายละเอียดเรื่องของครุกรรมมาให้ได้ทราบกัน

ดีจังเลยค่ะ ช่วยเติมเต็มในการศึกษาธรรมะ

ต้องขอนิมนต์ท่าน ช่วยค้นคว้าเรื่องฌาณ ให้ได้ทราบด้วย ว่าเหตุใด ความปิติ จึงหล่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่ได้ โดยมิต้องกินอาหาร

โยมไม่ค่อยรู้เรื่องพระอภิธรรมเจ้าค่ะ

ขอได้เมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ

เวลาเป็นของมีค่า แต่ความจริงมีค่ามากกว่าเวลา

เป็นวิบากกรรมที่เจ้าชายเองก็หลีกเลี่ยงไม่ไ้ด้

พระองค์ทรงรู้ัตัวอีกทีก็เมื่อพระองค์ได้พระราชโอรสนี่ก็คือผลที่ทำให้พระองค์สำนึกและรู้สึกเสียพระทัย

ขอบคุณสำหรับนิทานเรื่องนี้นะครับสอนอะไรได้ดีมากเลยโดยเฉพาะปิตุฆาต

สวัสดีค่ะขมิ้นเหลือง เดินดิน

เป็นเรื่องจริงสมัยพุทธกาลเลยค่ะ

และเป็นเรื่องที่สอนใจคนได้ดีจนทุกวันนี้

ขอบคุณค่ะที่มาร่วมแลกเปลี่ยนค่ะ

ตามมาอ่านครับ

สบายดีไหมครับ

 

สวัสดีค่ะ ตามมาศึกษาเพิ่มเติมค่ะ ขอบคุณมากค่ะ  ตามพี่โย่งมาค่ะ

สวัสดีครับ

มาอ่านต่อจากเมื่อวานแต่คนละเรื่องเดียวกัน

ขอบคุณมากครับ

สวัสดีค่ะคุณครูโย่ง

ความผิดพลาดนั้น เทื่อเกิดขึ้นแล้วยากจะหวนกลับค่ะ

จึงเกิดการเตือนให้มีสติอยู่เสมอ

ก่อนจะสายเกินไป

ขอบคุณที่มาตามอ่านนะคะ

เช้านี้ไปเรียนดนตรี ครึ่งวันค่ะ

สวัสดีค่ะ10. paula wara

ค่ะ

หากมีข้อมูลเพิ่มเติม ก็ขอให้ช่วยนำมาแลกเปลี่ยนกันด้วยค่ะ

จะได้มีความสมบูรณ์มากขึ้น

ขอบคุณมากค่ะ

สวัสดีค่ะพี่เกษตรยะลา

เรื่องดำเนินไปเหมือนชีวิตทั่วๆไป

ผลัดกันมีบทบาทในการนั้นๆ

แต่ก็เรื่องเดียวกันแหละค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

1.พระราชโอรสของพระเจ้าอาชาตศัตรู ก็กระทำปิตุฆาต...และกระทำสืบกันมา 3 ชั่วอายุคน(generation)...ราษฎรจึงเกิดความเบื่อหน่ายและรังเกียจ สุดท้ายจึงก่อกบฎล้มราชบัลลัง เป็นการจบสิ้นราชวงศ์ของพระเจ้าอาชาตศัตรู ครับ...2.พระเจ้าพิมพิสาร บรรลุพระโสดาบัน อาศัยการเดินจงกลมภาวนา เพื่อข่มเวทนาได้สำเร็จ...แต่ต่อมา เมื่อโดนพระอาญาให้ถูกกรีดเท้า ก็เดินจงกลมไม่ได้ และไม่ทรงสันทัดในการเจริญภาวนาด้วยวิธีการอื่น ประกอบกับร่างกายอ่อนเพลียมากที่สุดแล้ว จึงสิ้นพระชนม์ครับ...3.ในอดีตชาติหนึ่ง พระจ้าพิมพิสาร เคยใส่รองเท้า ไม่ยอมถอดตามคำแนะนำ แล้วก้าวล่วงเข้าไปในโบสถ์ ของพระบรมศาสดาพระองค์หนึ่ง ครับ...ชยพร แอคะรัจน์ (ปล.ผมเขียนแต่ "กล้วยไม้"ลงในgotoknowนี้ เพราะไม่ค่อยจะกล้าแสดงภูมิธรรมครับ ทั้งการปฏิบัติด้วยครับ...แต่เห็นว่า เจ้าของบทความ ขอคำเสนอแนะมา เหมือนแก้วเปล่าที่หงายขึ้น...ผมจึงขอเป็นน้ำคาง 1 หยด นะครับ...)

โยคีน้อย

อนุโมทนาสาธุกับเรื่องราวจากประวัติศาสตร์พุทธศาสนา

การไปเห็นด้วยตัวเองที่สถานที่จริงในอินเดีย ทำให้ได้รับคติธรรมหลายอย่าง

ล้วนไม่พ้น อนิจจัง ทุกขังและอนัตตา จริงดังคำของพระศาสดา

สัจจธรรมจึงไม่มีวันตายเพราะมีให้ผู้สนใจได้เห็นจริงเสมอมา

ที่เห็นได้ชัดก็คือกรรมนั้นเป็นใหญ่เสมอ และต้องมีเหตุจึงจะเกิดผลตามมา

การเกิดเหตุและผลก็มีเงื่อนไขที่มีองค์ประกอบมากมายแต่เป็นระบบ

จะบอกว่าไม่มีใครพ้นกรรมที่ทำมาได้ ก็น่าจะถูกต้อง

บทเรียนที่เราควรจะได้จากเรื่องราวในประวัติศาสตร์จึงน่าจะอยู่ที่การนำไปเป็นประโยชน์ในการพัฒนาปัญญาในปัจจุบันเพื่อนำไปสู่การหลุดพ้นทางจิตในอนาคต

บางครั้งคิดว่ากรรมดีและกรรมชั่วนั้น ดูเหมือนต่างขั้วกันมาก เหมือนขาวกับดำ

เป็นบุญกับบาป เป็นกุศลกับอกุศล....ฯลฯ

ก็เพราะคิดกันแบบนี้ จึงไม่หลุดพ้นสักที

ขออนุโมทนากับคติธรรมจากเรื่องพระเจ้าพิมพิสาร ที่นำให้เกิดปัญญานี้ครับ

สวัสดีค่ะคุณชยพร แอคะรัจน์

กราบงามเลยนะคะ

กับความกรุณานำเรื่องราวมาเพิ่มเติมให้ค่ะ

อย่างนี้แหละค่ะเป็นการช่วยกันฟื้นพุทธประวัติ

เมื่อครั้งไปอินเดีย แล้วฟังพระอาจารย์บรรยาย

บางเรื่องราวเหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อน

หรือเคยรู้แบบข้ามๆไป

จึงคิดจะประติดประต่อให้คนที่มาอ่าน ได้เข้าใจเหมือนเรื่องเล่าต่อเนื่องกันไป

คุณชยพร นั้นชอบเขียนเรื่องกล้วยไม้ นับถือค่ะ

คนที่สนใจในสิ่งรอบข้าง ล้วนเป็นผู้มีจิตใจที่ละเอียดอ่อน

และมองการณ์ไกล

ขอสนับสนุนค่ะ

ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ และมาเติมเต็มกันอีกนะคะ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

เป็นการเขียนบันทึกที่เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา หลังจากกลับจากอินเดียมาได้ระยะหนึ่ง

ยังมีอีกหลายความรู้ ที่ได้รับมา และจะค่อยๆผุดขึ้นมา จนนึกอยากบันทึกไว้ให้อ่านกัน

แต่โยคีน้อย ก็ยังรู้น้อย

อย่างไรก็ดี คงต้องขอเชิญพี่โยคี และผู้รู้ ทั้งหลาย มาช่วยเสริมด้วยนะคะ

พุทธประวัติจึงจะได้สมบูรณ์ ตามที่ตั้งใจจะนำความรู้ส่วนตัวเท่าที่มีออกมาเขียนค่ะ

ขอบพระคุณข้อคิดธรรมะจากพี่ค่ะ

เมื่อเจ้าของบล็อกยินดีให้เติมต็ม...ผมก็จะเพิ่มดังนี้นะครับ... ตอนที่พระเจ้าอาชาตศัตรูจะทราบความ มีมหาดเล็ก2คน เดินทางมาพบกันโดยบังเอิญที่หน้าพระตำหนัก จึงได้ถามกันว่า มาทำไม ต่างฝ่ายก็ต่างบอกว่า จะมาทูลข่าวให้แก่พระเจ้าอาชาตศัตรู จึงได้เข้าเฝ้าพร้อมกัน พระเจ้าอาชาตศัตรูตรัสถามว่ามีอะไรหรือ มหาดเล็กทั้งสองตอบว่า มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย พระเจ้าอาชาตศัตรูบอกเอาข่าวดีก่อน มหาดเล็กคนแรกจึงกราบทูลว่า พระองค์ได้ราชบุตร พระเจ้าอาชาตศัตรูดีพระทัยเป็นที่สุด เลยกระหวัดคิดถึงพระราชบิดาเป็นอย่างยิ่ง แล้วถามว่า แล้วข่าวร้ายล่ะ มหาดเล็กอีกคนจึงกราบทูลว่า พระราชบิดาของพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าอาชาตศัตรูจึงทรงกรรแสงด้วยความเสียพระทัยยิ่ง...ทุกวันนี้ ในหมู่ธรรม จึงมักมีคำถามทำนองอะไรเอ่ย เป็นธรรมบันเทิงว่า อะไรเอ่ย ดีใจแล้วเสียใจ...คำเฉลยก็คือเรื่องความตอนนี้นะครับ....ที่จริง คำเฉลย ได้แก่อีกเรื่องด้วยเช่นกัน ...คือเรื่องสมัยพระโพธิสัตว์ เห็นแพะจะถูกบูชายันต์ ร้องไห้แล้วก็หัวเราะ จึงสงสัย แล้วถาม จึงได้คำตอบว่า ที่ร้องไห้เพราะอาลัยในชีวิต ที่หัวเราะเพราะเป็นชาติสุดท้ายแล้วที่จะโดนตัดคอ ผู้คนไม่เชื่อ จึงมีการปล่อยแพะไป สุดท้าย แพะก็โดนสะเก็ดหินจากฟ้าผ่าที่หน้าผา ปลิวมาตัดคอแพะขาดตายครับ.....ชยพร แอคะรัจน์ (ปล.สงสัยผมจะต้องเขียนบล็อกทางธรรมะบ้างคงจะดีนะครับ...ขอบคุณมากครับ ที่ให้ได้มีโอกาสเล่าให้ฟังครับ...จริงใจครับ)

คุณชยพร คะ

ยินดีมากค่ะ ที่ได้นำเรื่องราวมาเพิ่มเติม

เขียนนะคะจะคอยติดตาม

สมัครเป็นแฟนคลับเลยค่ะ

ขออนุโมทนาบุญ การที่เราได้มีโอกาสทำอะไรก็แล้วแต่ คงไม่ใชแค่บังเอิญ

แต่อาจเป็นสิ่งที่ต้องทำก็ได้ค่ะ

ดีมากเลยค่ะที่น้องบุญรุ่งได้แรงบันดาลใจจากการได้ไปสถานที่สำคํญๆทางพุทธศาสนา แล้วมาเขียนเล่า พี่ดูรูปแล้ว อ่านเรื่อง รู้สึกอินไปด้วย ราวได้ร่วมทางไปด้วย ขออนุโมทนาบุญนี้ด้วยค่ะ

เจริญพร โยมหมอ

ก่อนที่จะได้ฌานนั้น ขั้นต้น โยมต้องมีจิตใจตั้งมั่นแน่วแน่ มีสติรู้การเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถ ลมหายใจเข้า-ออก คือ หลักอานาปานสติ อานาปานะ แปลว่า ลมหายใจเข้า-ออก สติ แปลว่า การระลึกนึกถึง

อานาปานสติ จึงหมายถึง การระลึกนึกถึง ลมหายใจเข้า-ออก

ส่วนที่ว่า ปีติ นั้นคือ  จิตตามกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออกอย่างแน่วแน่ จึงเกิดความรู้สึก ชุ่มฉ่ำเย็นในจิตใจ อย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน อาการอย่างนี้เรียกว่า ปีติ บางทีอาจมีอาการตัวเบาหรือตัวขยายใหญ่และจะรู้สึกสบายทางร่างกาย เช่น อาการปวดเมื่อยเพราะนั่งสมาธินานๆก็จะหายไปทันที อาการอย่างนี้เรียกว่า สุข

ฉะนั้น เมื่อโยมรู้สึกมีอาการชุ่มฉ่ำเย็นในจิตใจ และสบายกาย อย่างที่กล่าวมา ก็แสดงว่า โยมเข้าถึง ปฐมฌาน(ฌานที่ 1) แต่ว่า อาการที่รู้สึกอย่างนี้ เป็นแค่เวลาสั้นๆเท่านั้น เมื่ออาการสงบหายไป จิตของโยมมักจะฟุ้งซ่าน เพราะตื่นเต้น ยินดีต่ออาการที่ตนได้ประสบมา

เรื่องสมาธิและการปฏิบัตินี้ เป็น สันทิฏฐิโก โยม คือ ผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้เอง และเป็น ปัจจัตตัง คือ รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น ส่วนที่จะให้สำเร็จขั้นนั้นขั้นนี้ ขึ้นอยู่กับ วาสนาบารมีธรรม มากน้อยของโยมเอง โยมเข้าใจนะ

เจริญพร

สวัสดีค่ะคุณ ตันติราพันธ์

ว้าว เนื้อหายาวมากค่ะ อ่านจุใจ ฮิๆๆ

แวะมาเป็นกำลังใจให้ค่ะ

สบายดีไหมค่ะ?...

 

สวัสดีค่ะพี่นุช

ค่อยๆคิดทบทวน ค่อยๆบันทึกไว้

ความจำของคนเราจำกัดค่ะ

ไม่นานก็จะลืมเลือนกันไป

มาทวนบุญอีกครั้ง ให้พี่นุชปิติด้วยกันนะคะ

กราบนมัสการท่านพระปลัดค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

เป็นบุญอีกอย่างหนึ่งของโยม ที่ได้รับทราบ ถึงการเกิดสภาวธรรมจากท่านเจ้าค่ะ

และคงเป็นประโยชน์ ต่อพุทธศาสนิกชนด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

สวัสดีค่ะคุณกล้วยแขก

ยาวจริงๆด้วย แต่พอดี บรรยายความรู้สึกเหตุการณืค่ะ

ขอบคุณค่ะที่อ่านจบ และให้กำลังใจมา

เลี้ยงลูกชู้มาแต่เล็กๆโดยเข้าใจว่าเป็นลูกตนเอง ต่อมาฆ่าพ่อเป็นอนันตริยกรรมใหมหนอ

สวัสดีค่ะคุณท.กาน

ดิฉันได้เรียนถามจากพระคุณเจ้า ประเสริฐ คงปล้อง มาค่ะ

ท่านตอบมาดังนี้

ตามที่โยมถามเรื่อง อนันตริยกรรม ซึ่งเป็นครุกรรม ที่มีบาปหนัก มีอำนาจให้ผลในภพ เป็นลำดับไป

ซึ่งมีอยู่ 5 ประการคือ

1. มาตุฆาต ฆ่าแม่

2 .ปิตุฆาต ฆ่าพ่อ

3. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์

4. โลหิตุปาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนยังพระโลหิตห้อ(ช้ำ)

5. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้แตกกัน

การฆ่าพ่อแม่ ที่จัดเป็น อนันตริยกรรมนั้น หมายเอาเฉพาะฆ่าพ่อแม่บังเกล้าเท่านั้น ฆ่าแม่เลี้ยง ฆ่าแม่ยาย ฆ่าพ่อตา ฆ่าพ่อเลี้ยง ไม่เป็นอนันตริยกรรม ถึงเป็นพ่อแม่ ก็ไม่เข้าเงื่อนไข

ในกรณี ฆ่าพ่อแม่นี้ ถึงไม่รู้เลยว่าเป็นพ่อแม่ หากฆ่าลงไปก็เป็นอนันตริยกรรม

ต้องขอกราบนมัสการขอบพระคุณท่านไว้โอกาสนี้ด้วยเจ้าค่ะ

ในความคิดส่วนตัว คิดว่าพ่อและแม่แท้ๆนั้น ย่อมมีกรรมผูกพันธ์ ลึกซึ้น มีคุณมหาศาล ตั้งแต่ถือกำเนิดในท้อง ก็ไม่คิดฆ่าทำลาย ปล่อยให้โตและดูแลอย่างดีในครรภ์ของตน แม้จะคลอดมาแล้ว ก็ยังเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ซึ่งคิดว่าข้อนี้ เป็นสิ่งเฉพาะตน ผู้ไม่ได้ให้กำเนิด จะไม่มีในส่วนนี้ แม่จะได้เลี้ยงดูกันมา ดังนั้นพระพุทธเจ้า จึงยกให้พ่อแม่แท้ๆนี้ มีคุณสูงสุด

เมื่อลูกฆ่าผู้มีคุณสูงสุดได้นั้น บาปกรรมจากเจตนาการฆ่าครั้งนี้ จึงเป็นเสมือนคราบาป เป็นเข็มเสียดแทงดวงใจ ให้จิตเศร้าหมอง จนไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นอรหันต์ได้

กฎแห่งกรรม มีผลและยุติธรรมเสมอ ผู้กระทำย่อมรู้ได้เอง ในส่วนที่ฆ่าคนที่เข้าใจว่าเป็นพ่อแม่แทัๆ ทั้งที่ไม่ใช่ เช่นที่กล่าวมานี้ ดิฉันคิดว่า ความรู้สึกผิดบาปในปัจจุบันชาติ คงไม่แพ้กัน ถึงแม้จะไม่ใช่อนันตริยกรรม แต่เจตนาฆ่าผู้อื่น ก็คงสร้างความทุกข์ทรมานใจมากเช่นกัน

ขอตอบตามความรู้อันน้อยนิด ต้องขออภัย ถ้าไม่ถูกต้องทั้งหมด

ขอบพระคุณมากค่ะ ที่เข้ามาร่วมสนทนากัน สวัสดีค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท