นายกอปท. กับวิสัยทัศน์พัฒนา
วิสัยทัศน์เป็นภาษาไทยที่ได้จากภาษาแขก แปลจากภาษาอังกฤษว่า vision (วีชั่น) หมายถึงภาพฝันที่ใครคนหนึ่งหรือองค์กรหนึ่งตั้งไว้เป็นเป้าหมายเพื่อทำให้เกิดขึ้นจริงด้วยแผนงาน โครงการที่ประกาศไว้เป็นนโยบาย
คำว่า vision นั้นดั้งเดิมมาจากภาษาศาสนา ซึ่งเรียกกันว่า “ภาพนิมิต” ซึ่งคนดีผู้มีบุญ ผู้นำบางคนได้ “เห็น” หรือได้ “ฝันเห็น” ภาพนิมิตนั้นสำแดงไว้ว่า อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นภาพสังคมที่สมบูรณ์ สวยงาม ไม่มีความทุกข์ มีแต่ความสุข ซึ่งมีอยู่ในคัมภีร์ของศาสนาต่างๆ ที่สอนไว้ว่า อนาคตจะเกิด “ฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่” จะเกิดสังคม “พระศรีอาริย์” หรืออย่างที่กบฏผีบุญเมื่อปี 2446 ที่วังสะพุง จังหวัดเลยประกาศว่า “ต่อไปนี้จะไม่มีเจ้ามีนาย ใบไม้จะเป็นเงินเป็นทอง”
ว่าที่นายกหลายคนประกาศตอนหาเสียงว่า ถ้าได้เป็นนายกจะทำให้บ้านนี้เมืองนี้ไม่มีทุกข์หนี้สินและความยากจนจะต้องหมดไป ชาวนาชาวไร่จะมีน้ำอย่างพอเพียง ทุ่งนาจะเป็นทุ่งรวงทอง ถนนหนทางจะไม่มีฝุ่นมีดิน แต่จะลาดยางลาดซีเมนต์ให้หมดทุกสาย ครอบครัวจะอยู่ดีมีสุข รายได้พอเพียงไม่ต้องแยกย้ายกันไปหาเงินในเมืองอีกต่อไป......
วิสัยทัศน์ที่มีพลังมักจะเป็นอะไรที่ “จี้ใจ” ชาวบ้าน ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นอะไรที่ถูกใจอย่างเดียว แต่เป็นอะไรที่ชาวบ้านเชื่อว่าสามารถเกิดขึ้นได้จริง ไม่ใช่แค่ฝันลมๆ แล้งๆ ประเภทกลอนพาไป หรือพูดไปเพื่อให้ได้คะแนน
วิสัยทัศน์ที่ดีสามารถ “ซื้อใจ” ชาวบ้านได้ เพราะเมื่อขยายความออกมาเป็น “นโยบาย” หรือเป็นแผนงาน โครงการต่างๆ ที่จะตามมาแล้ว ชาวบ้านเห็นว่าเป็นอะไรที่แก้ปัญหาความทุกข์ร้อนของพวกเขาได้จริง ลองพิจารณาดูวิสัยทัศน์ของพรรคการเมือง และนโยบายของพรรคด้วยการ วิเคราะห์เชิงวิชาการดูก็จะพบความจริงข้อนี้
วิสัยทัศน์เปลี่ยนได้ และนายกหลายคนที่รับเลือกเข้าไปแล้วก็เปลี่ยนวิสัยทัศน์ของตนเอง เปลี่ยนนโยบายหลายประการด้วย อย่างกรณีของคุณวิวัฒน์ เชาวนสมบูรณ์นายกเทศมนตรีหนองระเหว ชัยภูมิที่เล่าให้ฟังว่า ก่อนเป็นนายกก็ฝันว่า หนองบัวระเหวน่าจะเป็นเมืองอุตสาหกรรม แต่พอได้รับเลือกก็พบว่า ศักยภาพที่แท้จริงของที่นี่น่าจะเป็นเรื่องเกษตรมากกว่า จึงปรับวิสัยทัศน์และแผนงานต่างๆ ซึ่งชาวบ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะการปรับเปลี่ยนนั้นทำประโยชน์ให้ประชาชนมากกว่าอีก และ “ตรงใจ-ตรงความต้องการ” ที่แท้จริงของประชาชนมากกว่าเดิม
การเปลี่ยนวิสัยทัศน์เป็นอะไรที่ทำได้และควรทำถ้าหากว่าเมื่อเข้าไปแล้วได้ข้อมูลเชิงลึก ทำให้เห็นปัญหา ความต้องการ และศักยภาพที่แท้จริงของท้องถิ่น เพราะก่อนเข้าไปหลายคนอาจจะใช้ “ความรู้สึก” วัดเอาเอง คิดเอาเอง เมื่อเข้าไปแล้วก็น่าจะปรับปรุงวิสัยทัศน์ใหม่ ปรับนโยบายใหม่ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
วิสัยทัศน์ที่ดีและมีพลังต้องมีข้อมูล เชื่อมโยงข้อมูลให้กลายเป็นความรู้ นำความรู้มาสู่การวิเคราะห์สังเคราะห์จนเกิดเป็นหลักการ หลักคิด เป็นพลังปัญญา นำไปสู่การวาดฝันและจินตนาการที่มีฐานอยู่บนความเป็นจริง
วิสัยทัศน์ที่ดีของผู้นำที่ดี ควรเป็นวิสัยทัศน์ที่ไม่หลอกลวง ไม่ครอบงำด้วยผลประโยชน์ระยะสั้น ไม่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อแบบศรีธนญชัย ใช้อำนาจ ใช้เงิน
วิสัยทัศน์ที่ดีมาจากพลังปัญญา ทำให้ผู้คนพ้นทุกข์ได้จริง เพราะสามารถดึงพวกเขาเข้ามามีส่วนร่วม เปลี่ยนความต้องการให้เป็นความตั้งใจ เปลี่ยนความปรารถนาให้เป็นความมุ่งมั่น เพื่อ เปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริง
ดร.เสรี พงศ์พิศ เขียน.....
ข่าววันที่ 6 สิงหาคม 2551 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ จากบทความข้างต้น ของอาจารย์เสรี พงศ์พิศ ได้แสดงให้เห็นว่า "วิสัยทัศน์" มีความสำคัญ และความหมายยิ่งใหญ่มากน้ก......และ เป็นจินตภาพว่า "ส่วนใหญ่จะเป็นภาพสังคมที่สมบูรณ์ สวยงาม ไม่มีความทุกข์ มีแต่ความสุข" แต่ภาพเหล่านั้นจะไม่เกิดเพราะว่า นายกอบต./เทศบาล เหล่านั้น ยังไม่เข้าใจความหมาย "เศรษฐกิจพอเพียง" เมื่อใดที่ท่านนายกเหล่านั้นเข้าใจ เศรษฐกิจพอเพียง ก็จะได้ "ภาพนิมิต" หรือวิสัยทัศน์ ที่เป็นตัวของตัวเอง มีการพึ่งตนเอง เป็นเป้าหมาย มีกระบวนการเรียนรู้เป็นหัวใจ ครับ.....เพราะว่า วิธีการของการได้มาของ"วิสัยทัศน์" |
คือกระบวนการทำแผนแม่บทชุมชน ที่ต้องการข้อมูล ความรู้ และปัญญาที่มีอยู่ในชุมชนนั้น ๆ มาวิเคราะห์ สังเคราะห์กัน กลายมาเป็น"วิสัยทัศน์ของตำบลของตัวเองครับ"
วิสัยทัศน์ คือการมองการไกล การส่องซอด การทำอะไร แล้วผลที่ตามมา จะดี หรือจะไม่ดี ก็ต้องมองกาลไกลเผื่อว้ก่อน
ขอบคุณครับสำหรับ คำแนะนำ เป็นการมอง"วิสัยทัศน์" อีกด้านหนึ่งครับ มองได้หลายด้าน แต่ต้องรับผิดชอบด้วยครับ ถึงจะดี คุณสุว่ามั้ยครับ