การะเกดกับต้นเทียนกำลังนั่งอยู่กับเห็ดกองใหญ่มากจะต้องฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ ทั้งหมด เพื่อจะทำลาบเห็ดตอนเช้ามืดพรุ่งนี้ ต้นเทียนเอ่ยว่า “คิดถึงโรงทานวันงานหลวงพ่อชาเมื่อตอนต้นปีนะ แหมคนเยอะดีจัง”
การะเกดพยักหน้า “ใช่ คิดแล้วปลื้ม ไม่เคยเห็นคนมารวมกันมากมายขนาดนั้น เฉพาะพระก็พันกว่ารูปแล้ว แม่ชีอุบาสกอุบาสิกาอีก น่าจะเป็นพันเหมือนกัน”
“แต่ตอนเข้าไปตักอาหารที่โต๊ะ ไม่มีชุลมุนเลยนะ”
“แหม ก็คนปฏิบัติธรรม เขาค่อยๆ ทยอยกันตักได้ ใจเย็นไม่รีบร้อน”
“ชาวบ้านแถวโรงทานข้างนอกก็เหมือนกัน เข้าคิวเป็นแถว แต่โรงทานข้างนอกนี่เหลือเชื่อจริงๆ ชาวบ้านที่มารับทานเยอะจริงๆ เดินกันขวักไขว่ไปหมดเลย เห็นแล้วตาลาย พวกมาแจกทานก็แจกกันเอาจริงเอาจัง เดี๋ยวเดียวหมด ยกกลับไป เดี๋ยวคนใหม่มาแจกอีกละ”
การะเกดหัวเราะ “ดูร้านปาท่องโก๋ซี ชาตินี้เราไม่มีวันลืมเลย อะไรกัน ทอดตั้งแต่เช้ามืดยันค่ำเลย”
“๑๑๓ กิโลฯ ทำได้ไง” ต้นเทียนต่อด้วยเสียงหัวเราะเหมือนกัน นึกถึงความหลังแล้วสนุก
ดังฝันลากถุงมะละกอเข้ามา ๓ ถุง “แหมะไว้นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยทำ”เธอว่าพลางเดินไปล้างมือ แล้วกลับมาร่วมวงช่วยทำเห็ด
การะเกดเล่าเรื่องโรงทานงานหลวงพ่อชาให้ฟัง “คนที่มาแจกทานนี่มีเมตตามากจริงๆ นะอย่างมีเด็กคนหนึ่งเวียนมา ๓ รอบ ๔ รอบ เราเอ่ยว่า เอ๊ .. เด็กคนนี้มาแล้วนี่ เขาบอกมาอีกก็ให้อีกเขาอาจจะเอาไปให้พ่อให้แม่ เอาไปฝากญาติๆก็ได้ ขอเท่าไหร่ให้หมดแหละ กี่รอบก็ช่าง ใครก็ช่างคนดีคนชั่วให้กินหมด ไม่เลือก โอ้โฮ เราฟังแล้ว รู้สึกเลยในน้ำใจของเขา”
ดังฝันฟังแล้วปลื้มไปด้วย แต่แซวว่า “ไม่ดุเหมือนตอนที่สามาวดีไปขออาหารนะ”
“อ๋อ สามาวดี” ต้นเทียนเอ่ย “วันแรกก็ไม่โดนดุหรอก วันหลังๆ ถึงโดนดุ”
การะเกดขอให้ต้นเทียนเล่าเรื่องสามาวดีให้ฟัง ต้นเทียนเล่าว่า
“สามาวดีตอนแรกชื่อสามา เป็นลูกสาวเศรษฐีภัททวดี อยู่ในภัททวดีนคร ทีนี้ในเมืองเกิดมีโรคอหิวาต์ โรคนี้โบราณว่าถ้าจะหนีต้องพังฝาบ้านหนีนะ ออกทางประตูไม่ได้ เป็นเคล็ด
ทีนี้เศรษฐีมีเพื่อนอยู่โกสัมพีชื่อโฆสกเศรษฐี แต่เขาเป็นเพื่อนแบบยังไม่เคยเห็นกันนะ เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงของกันและกัน จากพวกพ่อค้าที่ไปทำมาค้าขายสองเมืองนี้ ได้ยินชื่อเสียงกัน ก็จะฝากของกำนัลไปผูกมิตรกัน เขาเรียกว่า อทิฏฐบุพพสหาย เศรษฐีก็พาลูกเมียหนีไปหาโฆสก ระหว่างทางเสบียงหมด อดอาหาร อิดโรยมาก เลยพักศาลาหน้าเมืองก่อน เพราะสภาพไม่น่าดู ไม่กล้าไปหาโฆสก แต่ก็รู้ว่าโฆสกมีโรงทาน ตอนเช้าเลยให้สามาไปรับข้าวจากโรงทาน สามาก็อายมาก”
“ก็ลูกเศรษฐี” ดังฝันเอ่ยขึ้น “ต้องอายเป็นธรรมดา”ต้นเทียนเล่าต่อ “แต่ก็ไปนะ คนตักข้าวชื่อ มิตตกุฎุมพี ถามว่าเอาเท่าไหร่ ก็บอกเอา ๓ ส่วน ก็เอากลับมาให้พ่อกับแม่ พ่อกินก่อน คืนนั้นอาหารไม่ย่อย ก็ตาย”
“โหย ตายกันง่ายๆ ยังเงี้ยะ” การะเกดว่า
“เออ ใช่ วันที่สองแม่ก็ตายด้วย” ต้นเทียนต่อ การะเกดสั่นหัว “สงสัยไม่กล้ากินข้าวโรงทานนี้มั้ง”ดังฝันหัวเราะ “ไม่ใช่ คนอื่นเขาแย่งกันกินจะตายไป ไม่มีใครตาย มีแต่สองคนนี้แหละ”
“พอวันที่ ๓ สามาขอแค่ส่วนเดียว ทีนี้โดนเลย มิตตกุฎุมพีจำได้ ด่าเลย จงฉิบหายเถอะหญิงถ่อย” ต้นเทียนทำเลียนเสียง “เจ้าเพิ่งรู้ประมาณท้องวันนี้รึ วันก่อนเอา ๓ ส่วน เมื่อวานเอา ๒ ส่วน วันนี้เอาส่วนเดียว”
“สามาเสียเซ้วเลย” ดังฝันหัวเราะ การะเกดหันมาถามว่า “อะไร“คือ เสียความมั่นใจในตัวเองไง” ดังฝันแปลคำสแลง
ต้นเทียนจึงว่า “ใช่ ไม่เชื่อเอียตัวเองเลยว่าจะถูกด่า”“เอียคือ หู น่ะรู้มั้ย” ดังฝันถามการะเกด “เออ รู้แล้ว อันนี้รู้” การะเกดหัวเราะ
“สามายังถามไปอีกว่า ท่านว่าอะไรนะ เลยโดนด่ารอบสอง เหมือนเดิมทั้งคำพูดและอารมณ์” ดังฝันเล่า
ต้นเทียนเล่าต่อ “สามาเลยเล่าเรื่องพ่อแม่ตายให้ฟัง เลยเข้าใจกัน แถมมิตตกุฎุมพีรับไปเป็นลูกสาวเลย คราวนี้ก็ไปช่วยงานโรงทาน เห็นคนเบียดเสียดแย่งกัน สามาเลยบอกพ่อใหม่ว่า ให้ล้อมโรงทาน ให้มีประตู ๒ ด้าน ด้านหนึ่งเข้าด้านหนึ่งออก ให้เข้าออกเป็นแถวเรียงหนึ่ง พอทำอย่างนี้ก็ไม่ชุลมุน สามาเลยได้ชื่อว่า สามาวดี เพราะเป็นคนล้อมรั้วโรงทาน วดีแปลว่ารั้ว
ฝ่ายโฆสกเศรษฐีเจ้าของโรงทาน เอ๊…ทำไมเสียงในโรงทานเงียบไป ไม่ดังอื้ออึงเหมือนปกติก็แปลกใจ ตามไปดู พอรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็เลยรับสามาวดีเป็นลูกสาว”
“วันหนึ่งไปอาบน้ำที่ท่าน้ำกับบริวาร” ดังฝันเริ่มเล่าแทนต้นเทียน “ต้องผ่านพระลานหลวงพระเจ้าอุเทนเห็นเข้าแล้วปิ๊งเลยส่งเมล์ไปหาโฆสก ว่าให้ส่งลูกสาวมาให้ฉัน แต่เศรษฐีไม่ยอมให้ กลัวลูกสาวลำบาก อยู่กับเจ้ากับนายทำอะไรพลาดพลั้ง อาจตายได้
พระราชาส่งเมล์ไปอีก ๒ ครั้ง ไม่ได้ กริ้วมาก สั่งจับเศรษฐีกับเมียออกนอกบ้าน แล้วปิดประตูบ้านเลย สามาวดีกลับจากอาบน้ำ เข้าบ้านไม่ได้ ถามพ่อ พ่อบอกว่า พระราชาต้องการเจ้า พ่อไม่ให้ แต่สามาวดีบอกว่า ถ้าพระราชาประสงค์ก็ต้องถวาย เพราะเห็นว่าฝืนไปจะมีแต่โทษ เลยเข้าวัง ได้รับตำแหน่งอัครมเหสี ก็เลยเป็นพระนางสามาวดี
มีเรื่องพระนางสามาวดี ต่อในตอน นางมาคันทิยา
จากหนังสือธรรมะเอกเขนก : ขวัญ เพียงหทัย
ไม่มีความเห็น