ผมไม่ได้เดินทางมากรุงเทพฯ เสียนาน
ถ้าไม่หลง ๆ ลืม ๆ ก็น่าจะนานร่วมครึ่งปีเลยทีเดียวแหละ -
ครั้งนี้มีโอกาสได้มาราชการที่กรุงเทพฯ
ตลอดการเดินทางดูเหมือนชีวิตจะเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย เพราะค่ำคืนก่อนการเดินทางนั้น มีมีกิจกรรมที่ต้องรับผิดชอบมากโข กว่าจะหอบพาสังขารกลับไปล้มพับบนที่นอนได้ก็ในราว ๆ ตีสองเศษ ๆ เลยก็ว่าได้
ระยะสองถึงสามปีหลังนี้ ผมรู้สึกแปลกเปลี่ยวกับกรุงเทพฯ เป็นที่สุด ผมชอบการเดินทาง แต่กลับเหว่ว้าเหลือทนกับการใช้ชีวิตในมหานครอันเป็นที่รักแห่งนี้
ถึงแม้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ห้วงคืนในกรุงเทพฯ นั้นดูน้อยนิดมาก แต่ความรู้สึกภายในของผม กลับกลายทุรนทุรายเป็นที่สุด บ่อยครั้งผมเองก็อดที่จะออกอาการหงุดหงิดกับตัวเองไม่ได้ รวมถึงการร่ำรำคาญตัวเองที่ทำตัวเป็นคนบอบบางต่อห้วงยามอันแปลกเปลี่ยวเช่นนี้
กรุงเทพ ฯ
ผมไม่คุ้นชินกับการไปโน่นไปนี่นัก หลายคนแนะนำสถานที่ผ่อนพักชีวิตให้ผมได้ “ฆ่าเวลา” แต่ผมกลับเลือกที่จะใช้ชีวิตในโรงแรม หรือไม่อย่างนั้น ก็ท่องสัญจรไปขลุกอยู่กับร้านหนังสือแถว ๆ จตุจักร หรือร้านหนังสือเล็ก ๆ แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็เป็นอีกที่ที่เยียวยาความแปลกเปลี่ยวให้กับผมได้เป็นอย่างดียิ่ง และปิดท้ายด้วยการเก็บตัวนอนพักอย่างอ่อนแรงในห้องหับอันเย็นฉ่ำของโรงแรม
ผมมีพรรคพวกเพื่อนฝูง และน้องนุ่งในกรุงเทพฯ เยอะพอสมควร และหลายคนก็พร้อมที่จะออกมาพบปะกับผม แต่ก็แปลก ผมกลับเลือกที่จะมากรุงเทพฯ อย่างเงียบ ๆ
และนั่นคือส่วนหนึ่งที่หลายคนทักเสมอมาว่า ผมเป็นคนแปลกแยกกับสังคม มีโลกส่วนตัวสูง และที่สำคัญก็คือ ผมมีทักษะในการเข้าสังคมค่อนข้างน้อย ซึ่งทั้งปวงนั้น ผมก็ไม่ปฏิเสธ เพราะดูแล้ว ตัวผมเองก็ออกจะเป็นไปในทำนองนั้นจริง ๆ
ในทุกครั้งที่มากรุงเทพฯ ..
นอกจากการเดินเล่นตามร้านหนังสือแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมมักถือฏิบัติเป็นเนืองนิจเสมอ นั่นก็คือ การนั่งกินข้าวตามร้านริมทางเท้าหน้าโรงแรม และร้านเหล่านั้นก็เป็นร้านอาหารอีสานที่มีอาหารอันคุ้นชินให้ชีวิตได้เลือกทานอย่างไม่เคอะเขิน ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ ข้าวเหนียวร้อน ๆ ลาบน้ำตก คอหมูย่าง ซุบหน่อไม้ ....
แต่ที่ผมไล่เรียงมานั้น ก็ใช่ว่าผมจะทานเสียทุกอย่าง เพราะความเป็นจริงแล้ว อย่างมากผมก็มักนิยมสั่งแต่เฉพาะข้าวเหนียว คอหมูย่าง และซุปหน่อไม้เท่านั้นเอง จากนั้นก็นั่งทอดอารมณ์เบ่งมองชีวิตหลากชีวิตที่สัญจรผ่านไปมาอย่างไม่รู้เบื่อ
กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยชีวิตอันหลากวิถี ท้องถนนดูเหมือนไม่เคยร้างคนสัญจร กลางวันและกลางคืนดูมีม่านมายาอันท้าทายให้เปิดค้น -
ผมมีความสุขเสมอที่ได้นั่งทอดอารมณ์ในร้านอาหารรถเข็นริมทางเท้าเช่นนี้
เพราะอย่างน้อยก็ได้ทานอาหารอีสาน ๆ ....
อย่างน้อยก็ได้พูดอีสานกับแม่ค้าและเด็กเสิร์ฟ
ได้ฟังเรื่องจิปาถะของคนอีสานในเมืองใหญ่
ได้ฟังความหลังบนแผ่นดินเกิดในชนบทของแม่ค้า
บางครา ก็ได้ฟังเพลงลูกทุ่งหมอลำผ่านเครื่องเล่นซีดีอย่างสมถะ ๆ ..
ห้วงเวลาเช่นนั้น ดูเหมือนจะเป็นห้วงยามที่ชีวิตผมรู้สึกไม่แปลกเปลี่ยว - คิดถึงบ้านด้วยความรู้สึกอันไม่อ้างว้าง หากแต่เป็นความคิดถึงที่ฉาบเต็มไปด้วยความหวัง และพลังของชีวิตอย่างบอกไม่ถูก
ผมมีความสุขที่ได้บอกกล่าวกับแม่ค้าว่า ตอนนี้แถว ๆ บ้านของตนเองฝนฟ้าเป็นเช่นไรบ้าง ?
และถ้าโชคดีแม่ค้าเป็นคนจังหวัดเดียวกัน การสนทนาของเราก็ยิ่งออกรสออกชาติ บางคราเมื่อว่างเว้นจากแขก เด็กเสิร์ฟ หรือแม้แต่เจ้าของร้านก็มักจะมานั่งร่วมโต๊ะกับผม พร้อม ๆ กับการพูดคุยหลากเรื่องราว ราวกับการระบายความอัดอั้นที่ต้องพลัดถิ่นออกมา และการระบายความในใจนั้น ก็เป็นประหนึ่งน้ำที่กำลังทะลักออกจากสันเขื่อนก็ไม่ปาน
นั่นคือความรื่นรมย์ของชีวิตในเมืองอันแปลกเปลี่ยวของผม
หลากเรื่องราวที่ผมได้รับรู้และรับฟังจากการร่ำระบายของพวกเขา มันทำให้ผมปลอบโยนตัวเองเสมอมาว่า ในพื้นที่แห่งชีวิตนั้น ยังคงมีคนพลัดถิ่นที่โชคร้ายยิ่งกว่าผม หากแต่พวกเขาทั้งหลายนั้น กลับเป็นผู้ที่ซึ่งหนักแน่นและเข้มแข็งกว่าผมหลายร้อยเท่านัก
ผมเรียนรู้การต่อสู้ชีวิตอย่างอดทนจากพวกเขา ..
ผมเรียนรู้การมีความหวังจากพวกเขา
ผมเรียนรู้เหตุผลอันร้าวลึกของการพลัดถิ่นจากพวกเขา.
ผมเรียนรู้การรับมือความคิดถึงที่มีต่อบ้านเกิดจากพวกเขา
และอื่น ๆ อีกมากมายก่ายกอง
และทั้งปวงนั้น ก็ยืนยันได้ว่า ผมยังโชคดีกว่าใครอื่นอีกหลายคน
เหนือสิ่งอื่นใดนั้น
ท่ามกลางเรื่องเล่าอันหลากหลายที่ผมได้สัมผัส ณ ร้านอาหารริมทางเท้าในเมืองใหญ่เช่นนี้ กลับมีสิ่งหนึ่งอันเป็นหนึ่งเดียวที่ผมค้นพบอย่างยิ่งใหญ่เลยก็คือ ....ทุกชีวิตคิดถึงบ้าน .. และความคิดถึงที่ว่านั้น ก็เป็นความคิดถึงที่ไม่รู้จบ และที่สำคัญก็คือ เป็นความคิดถึงที่เต็มไปด้วยพลัง..ไม่สิ้นหวังต่อการดำรงอยู่ (ด้วยหวังว่า สักวันหนึ่ง จะคืนกลับสู่อ้อมกอดของบ้านอย่างถาวร)
ขอให้มีความสุขกับทุกที่ที่เราไปค่ะ อย่างน้อยเรายังได้กินส้มตำใน กทม คงทำให้หายคิดถึงบ้านได้บ้าง
พระอาทิตย์ตอนฟ้าสางสวยงามเหมือนบ้านเราเลยนะคะ
ตอนเช้ามืดอากาศบนโรงแรมสูงๆสดชื่นเหมือนกันค่ะ
กราบนมัสการพระคุณเจ้าค่ะ
สวัสดีครับ
ผมก็คิดถึง "ปาย" บ้านของผมเช่นกันครับ มี blogger หลายท่านไปเที่ยวมาทำให้ความรู้สึกคิดถึงเท่าทวีคูณ
วันนี้ผมมีนัดเจอกัลยาณมิตรคอเดียวกันที่สวนรถไฟ ไปปั่นจักรยานและนั่งคุยกัน (ดร.ปุ๋ม และ วิศวกรหนุ่มดิเรก)
คงได้พูดคุยกันเต็มาที่ในบรรยากาศดีๆ
มาอีกครั้ง มาตอกย้ำ ว่า คิดถึงบ้านค่ะ
* ....
.... เพลงนี้ ให้คุณแผ่นดิน ค่ะ ....
และทุกๆ ท่าน ที่ห่างไกล เรือนรัก ....
http://www.ijigg.com/songs/V2EEG00P0
ให้คุณแผ่นดิน เดินทางกลับปลอดภัย ค่ะ
สวัสดีครับพี่แผ่นดิน
"มีชีวิต คิดถึงบ้าน" ผมเคยคิดถึงคำนี้อยู่เสมอครับ เพราะผม เป็นโรค โฮมซิก อยู่บ่อย และต้องกลับไปเยียวยาเดินละครั้ง ก่อนจะกลับมาวุ่นวายกับชีวิตที่ไกลบ้าน
เรื่องของพี่มีพลังเช่นเคยครับ นึกภาพออกและผมก็เคยผ่านฉากสำคัญเช่นนั้นในเมืองหลวงของเราเช่นกันแม้เป็นเวลาสั้น ๆ แต่ผมก็ได้เห็นชีวิตผู้คนที่มาจากที่ต่าง ๆ กันรวมอยู่ที่นั้นด้วยความแออัดยัดเยียดและ คุณภาพชีวิตแสนต่ำ แต่พวกเขาก็อดทน อย่างที่สุด ก้มหน้าทำงานต่อไป แต่เมืองนั้นก็อยู่ได้เพราะพวกเขาที่ยอมใช้คุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่ามาตรฐานเพื่อยกระดับมาตรฐานที่สูงขึ้นสำหรับผู้คนอื่น ๆ
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า tukkatummo
ผมรู้สึกเสมอ . เตือนตัวเองเสมอว่า โชคดีเหลือเกินกับการได้เกิดเป็นคนไทยภายใต้ร่มพระบารมีของในหลวง.
ผมตั้งชื่อลูกชายว่า "แผ่นดิน หรือแม้แต่ แดนไท" ... ก็ได้แนวคิดหนึ่งมาจากเรื่องความรักต่อแผ่นดินเกิด อย่างน้อยก็เชื่อว่า ชื่อของเขาจะเตือนใจของเขาได้บ้างกระมังว่า ..แผ่นดินนี้ คือ แผ่นดินไทย
....
สัมผัสดิน ทุกถิ่นที่ ....
นี่คือภาพอันงดงามและยิ่งใหญ่ที่คนไทยทั่วทั้งแผ่นดินได้ซึมซับ..รับรู้ไว้ในดวงใจเสมอมา
สวัสดีครับ พี่แก้ว. แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช
ส้มตำที่ กทม. รสชาติอาจไม่อร่อยเท่าที่เราทานเป็นประจำ แต่ผมก็ทานด้วยความรู้สึกอันสนิทแน่น อย่างน้อยก็ "ตำ" โดยคนอีสาน ..และสื่อสารกันด้วยภาษาท้องถิ่นอันคุ้นเคย
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ. NU 11
ผมอ่อนไหวกับเพลงที่เกี่ยวข้องกับ "บ้าน" เสมอ ...
ยิ่งโต ยิ่งเหมือนเราเดินห่างออกมาจากบ้านทุกขณะ ๆ ..
พยายามเตือนตัวเอง. และพยายามพาตัวเองกลับไปบ้านเสมอ แต่บางครั้งบางคราวก็ทำไม่ "ค่อย" ได้
ดีหน่อยยุคสมัยนี้โทรศัพท์ช่วยเป็นสะพานระหว่างเรากับคนที่บ้านได้ แต่นั่นก็สัมผัสได้เหมือนกันว่า มันไม่ใช่ทั้งหมด.
...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ.คุณปู poo
เป็นจริงดังว่าแหละครับ ผมมักมีบันทึกที่ออกเหงา ๆ ในยามที่ต้องออกเดินทางไกลบ้านเสมอ ผมมีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับบ้าน. และความทรงจำเหล่านั้นก็ล้วนเป็นต้นทุนที่ดีสำหรับผม
ผมเองตั้งใจไว้เหมือนกันว่า.
อีกสักสิบปี จะลาออกจากราชการ ไปลงสมัครเป็น อบต. .. หรือไม่ก็กลับไปปลูกผัก เลี้ยงปลาที่บ้านเกิด . อยู่กับญาติ ๆ และวัฒนธรรมของชาวบ้าน
นั่นเป็นความสุขที่ผมรู้ และท้าทายต่อการกลับไปมาก ๆ
อ.แผ่นดินคะ
หลายคนคงเต็มไปด้วยสำนึกรักและอยากคืนสู่...มาตุภูมิ....ดังที่อาจารย์กล่าวไว้.....เหนือสิ่งอื่นใดนั้น ....ทุกชีวิตคิดถึงบ้าน .. และความคิดถึงที่ว่านั้น ก็เป็นความคิดถึงที่ไม่รู้จบ และที่สำคัญก็คือ เป็นความคิดถึงที่เต็มไปด้วยพลัง..ไม่สิ้นหวังต่อการดำรงอยู่ (ด้วยหวังว่า สักวันหนึ่ง จะคืนกลับสู่อ้อมกอดของบ้านอย่างถาวร)
อ่านแล้วให้คิดถึงบ้านเช่นกันค่ะ
สวัสดีครับ.นมินทร์ (นม.)
ไม่ว่าเราเดินทางไกลสักแค่ไหน
ผมก็เชื่อเสมอว่า...
สักวันหนึ่งเราจะกลับบ้าน ...
....
ขอบคุณครับ
...
นี่คงเป็นอีก ความฝันหนึ่งของคุณแผ่นดิน กระมังค่ะ
- อีกสักสิบปี จะลาออกจากราชการ ไปลงสมัครเป็น อบต. .. หรือไม่ก็กลับไปปลูกผัก เลี้ยงปลาที่บ้านเกิด . อยู่กับญาติ ๆ และวัฒนธรรมของชาวบ้าน -
... อ้าว ก็ตอนนั้นชีวิตหนุ่ม ก็เพิ่งเริ่มต้นนะสิค่ะ
เพราะเคยอ่านหนังสือ เค้าบอกว่า ผช. เริ่มต้นที่ 40 .. ?
... เชียร์คุณแผ่นดิน เต็มที่ค่ะ สำหรับฝันนี้ มีพี่ที่เค้าทำงานด้วยกัน ตอนนี้ เค้าก็จะเกษียณ และไปลงสมัครท้องถิ่นค่ะ ... ยินดีๆ ค่ะ ๆ
สิ่งนี้ น่าท้าทาย และ เชื่อมั่นค่ะ ว่า มิยากเกินสำหรับมือชั้นคุณแผ่นดินค่ะ ...
สวัสดีครับ คุณเอก. จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
การได้มีโอกาสพบเจอมิ่งมิตรที่รู้ใจในบริบทแวดล้อมที่ดี ผมถือว่าเป็นกำไรชีวิต - และพลังชีวิตอย่างมหัศจรรย์ ...
ฝากความคิดถึงทั้งสองท่านด้วยนะครับ.
สวัสดีครับ. คุณปู. poo
เพราะบ้านคือทุกอย่างของชีวิต
เดินทางทั่วทุกทิศ. จึงคิดถึง
ใกล้ไกล - หวนหาตราตรึง
ผูกพันลึกซึ้ง. ไม่ร้างเลือน
....
ขอบคุณเพลงเพราะ ๆ ..แต่กำลังใจอันแสนงามที่มีให้เสมอมา นะครับ
สวัสดีครับ.สุมิตรชัย
หลายชีวิตยังต้องก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่อย่างหนักเหนื่อย เพราะมีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะผ่านพ้นไปสู่จุดที่ดีกว่า ..
ผมว่าในความเหนื่อยหนักนั้น เป็นความน่าชื่นชม เพราะยังดีกว่าการทดท้อสิ้นหวัง และยอมพ่ายพับไปกับโชคชะตา
มีเคยใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ ร่วมปี รู้สึกว่าเราไม่ใช่คนของที่นั่น แต่ก็พยายาปรับตัวให้มีความสุขที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพราะเราเองก็เชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า "สักวันหนึ่งเราจะกลับบ้าน"
สวัสดีครับ พี่อนงค์ MSU-KM :panatung
ทุกครั้งที่ผมคิดถึงบ้าน ผมปฏิเสธไม่ได้ว่า ชีวิตดูเหงา ๆ ..พิกล ขณะเดียวกัน ผมกลับสัมผัสได้ว่า พลงชีวิตก็เกิดขึ้นเท่าตัว
บ้านเป็นสถานที่แห่งชีวิตที่ผมแตะต้องสัมผัสได้ ทั้งโดยความเป็นจริงและการร่ำรำลึกถึง ...
ตอนนี้ ยังคิดว่าจะกลับไปปลูกบ้านที่บ้านเกิด . มหาสารคาม จะเป็นเพียงบ้านหลังที่สองของผมเท่านั้น
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คนไม่มีราก
ทุกวันนี้บ้านเกิดเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ยังโชคดีที่ฮีตคองเดิม ๆ ยังมีให้ยึดปฏิบัติอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่า วัฒนธรรมอันดีงามหลายอย่างจากจางไป วัตถุนิยม มีพลังอย่างเหลือเชื่อ ความสะดวกสบายกลายมาเป็นสิ่งที่ชาวบ้านถวิลหา และนั่นก็ทำให้ชาวบ้านมีความอดทน อดกลั้นต่อการดำเนินชีวิตน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม่วิถีเดิม ๆ จะเปลี่ยนรูปแปลงร่างไปจากอดีต แต่ผมก็ยังมีความสุขกับการได้กลับบ้าน หรือแม้แต่การหวนคิดถึงบ้านในวัยเยาว์ของตนเอง และในภายภาคหน้าของชีวิต มันคงเลวร้ายมาก หากชีวิตจะไม่มีบ้านสักหลังเป็นของตัวเอง
...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่สมนึก สะ-มะ-นึก
สวัสดีอีกรอบ ครับ คุณปู poo
ก่อนหน้านี้ ผมเองก็เกือบจะลาออกไปสมัคร อบต. แล้วนะครับ แต่เมื่อทบทวนแล้ว ได้คิดว่ายังไม่ถึงเวลา.. แต่รู้ดีว่า งานในลักษณะนั้น ถือเป็นความสุขและความปรารถนาอันแรงกล้าที่มีอยู่ในตัวตนของผม
บางที ผมอาจไม่เล่นการเมืองท้องถิ่น แต่อาจจะสร้างพื้นที่การเรียนรู้ของเด็ก ๆ ขึ้นในหมู่บ้านของตนเอง ทุกสัปดาห์มีกิจกรรมให้เด็ก ๆ ได้ทำร่วมกัน มีงานศิลปะให้เขียน ให้อ่าน มีละคร มีเกม ..และอื่น ๆ เพื่อพัฒนาแนวคิด จิตใจและจินตนาการ รวมถึงเรื่องสำนึกรักบ้านเกิดด้วยเช่นกัน
....
นั่นเป็นอีกความฝันหนึ่งที่ผมอยากจะทำ.
ขอบคุณครับ