๑๑. สรุป
ตามที่เล่ามาทั้งหมดอาจสรุปคุณค่าการบวชได้ ๓ ประการ คือ
๑. คุณค่าสูงสุด คือ เพื่อแสวงหาสัจธรรม ดังที่ฟ้าชายสิทธัตถะทรงปริวิตกว่า "คนเราเกิดมาแล้วก็จะต้องแก่ เจ็บ และตายไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารของชีวิต ควรออกบวชแสวงหาสัจธรรมคือความจริงแห่งชีวิต ทำให้การเกิดมาชาติหนึ่งไม่เป็นหมันหรือสูญเปล่า" การบวชลักษณะนี้ถือว่าเป็นคุณค่าสูงสุด
อีกนัยหนึ่ง คุณค่าสูงสุดนี้ อาจกล่าวได้ว่าเพื่อนิพพานหรือเพื่อการดับทุกข์ตามหลักของพระพุทธศาสนาก็ได้ ดังมีคำขานนาคของบวชตอนหนึ่งว่า "สพฺพทุกข นิสฺสรณ นิพพาน สจฺฉิกรณตฺถาย เพื่อประโยชน์แก่การการะทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานเป็นเครื่องสลัดออกจากทุกข์ทั้งปวง"
ตามนัยคุณค่าสูงสุดนี้ แม้เราจะบวชเพียงวันเดียวหรือตลอดชีวิตก็ตาม กล่าวได้ว่าเป็นการบำเพ็ญเนกขัมปารมีซึ่งเป็นปารมีอย่างหนึ่งในปารมีสิบทัศ และผู้มีปารมีสิบทัศเต็มเปี่ยมแล้วเท่านั้นจึงสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์หรือเข้าถึงนิพพานซึ่งเป็นการดับทุกข์ได้ ฉะนั้น การบวชจึงเป็นการสั่งสมเนกขัมมปารมีให้ติดตัวไว้ในชาติต่อๆ ไป กล่าวได้ว่าเป็นคุณค่าสูงสุดในการบวช
ผู้เขียนขอแทรกอธิบายคำว่า เนกขัมมปารมี ย่อๆ คำนี้นิยมใช้ทับศัพท์แปลเป็นภาษาไทยให้ไพเราะได้ว่า การออกบวชเป็นเครื่องทำความปรารถนาแห่งใจให้เต็มเปี่ยม (เนกขัมมะ แปลว่า การออกบวช คำนี้บางครั้งก็ใช้แทนกันได้กับคำว่าบรรพชา... และ ปารมี แปลว่า ทำความปรารถนาแห่งใจให้เต็มเปี่ยม) บางคนอาจสงสัยถามต่อว่า "ใจปรารถนาอะไร ? " ตามหลักพระพุทธศาสนาตอบได้ว่า "ใจปรารถนาการพ้นทุกข์"
๒. คุณค่าทั่วไป คือ คุณค่าที่มีอยู่ทั่วไปคู่กับการบวช กล่าวคือ ตราบเท่าที่การบวชมีอยู่ คุณค่านี้ยังคงมีอยู่ จำแนกได้สองลักษณะ คือ คุณค่าเชิงศาสนา กับ คุณค่าเชิงประเพณี
คุณค่าเชิงศาสนา ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วว่าพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่องมาจนถึงปัจจุบันก็เพราะมีผู้ศรัทธาเลื่อมใส ออกบวช ศึกษาเล่าเรียน ประพฤติปฏิบัิติแนะนำสั่งสอนสืบต่อกันมา ถ้าไม่มีการบวช พระพุทธศาสนาก็ดำรงอยู่ไม่ได้เหมือนหลายๆ สถานที่ซึ่งยังคงมีวัดหรือโบราณสถานของพระพุทธศาสนาอยู่ แต่กล่าวไม่ได้ว่ามีพระพุทธศาสนาอยู่ เช่น บุโรพุทโธในอินโดนีเซีย พระยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่อัฟกานิสถาน บางประเทศซึ่งจำชื่อไม่ได้ที่แยกตัวมาจากสหภาพโซเวียตเดิมก็ปรากฏว่ามีวัดทางพระพุทธศาสนาอยู่ หลังจากพันจากระบอบคอมมิวนิสต์ก็เคยมีข่าวว่าต้องการให้มีการบวชอีกครั้งเพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นใหม่ หรือในอินเดียแดนพุทธภูมิเอง แม้มีวัดพุทธฯ อยู่หลายที่ แต่กล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาคงเหลืออยู่เฉพาะบางท้องถิ่นเท่านั้น ปัจจัยสำคัญที่สุดจะธำรงพระพุทธศาสนาไว้ก็คือการบวชนี้เอง ฉะนั้น การบวชก็คือการธำรงไว้ซึ่งพระศาสนา
ส่วน คุณค่าเชิงประเพณี นั้นมีนัยหลากหลายดังที่กล่าวแล้ว เช่น ประเพณีได้สร้างการบวชเรียน การใช้งานบวชลูกเป็นเครื่องมือประกาศความสำเร็จของชีวิตคู่ หรือความสำเร็จในการเลี้ยงดูลูกก็เป็นสิ่งที่ประเพณีสร้างขึ้นมา การบวชก่อนเบียดก็เป็นสิ่งที่ประเพณีสร้างขึ้นมาเพื่อรับรองความเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ของเจ้านาคในอนาคต งานบวชนาคที่จัดกันอย่างสนุกสนานทำให้คลายความเบื่อหน่ายจำเจไปได้ ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงที่ไม่ค่อยได้เจอหน้าเจอตากันมานานก็ได้พบกันในงานบวชนาค ฯลฯ ฉะนั้น การบวชย่อมมีคุณค่าเชิงประเพณีเหมือนกับประเพณีอื่นๆ อนึ่ง ผู้บวชเอง กล่าวได้ว่าเป็นผู้สืบสานประเพณีงานบวชนาคซึ่งเป็นมรดกของบรรพบุรุษไว้ได้
๓. คุณค่าอติเรก คือ คุณค่าเฉพาะเจาะจงซึ่งผู้บวชย่อมเข้าใจได้เอง เช่น การบวชเพื่อแสดงความจงรักภักดี มีการบวชถวายในหลวงหรือสมเด็จย่า เป็นต้น การบวชแก้บนของเจ้าตัวก็เพื่อให้เกิดความสบายใจหลังจากสิ่งที่ตนอธิษฐานไว้ประสบความสำเร็จ การบวชเพื่ออุทิศให้ใครบางคนเมื่อตนรู้สึกผิด
กรณีนี้ผู้เขียนรู้จักหมอดูฉมังคนหนึ่ง ท่านเล่าว่าตอนที่รับจ้างไปรบเวียตนาม วันนั้นท่านมีหน้าที่ต้องออกลาดตะเวน แต่คำนวนดูแล้วว่าวันนี้จะต้องมีการปะทะและมีการตายก็เลยลาป่วย ปรากฎว่าตายสองคนเจ็บอีกหลาย เมื่อกลับถึงเมืองไทยก็ได้บวชอุทิศให้ผู้ตายสิบวัน... และมีผู้เล่าให้ฟังว่าสาวไทยอิสลามรักกับหนุ่มไทยพุทธฯ ญาติสองฝ่ายกีดกัน หมุ่มไทยพุทธฯ น้อยใจวาสนาจึงฆ่าตัวตาย สาวไทยอิสลามก็มาบวชชีอุทิศไปให้คู่รักระยะหนึ่ง เป็นต้น
เมืองไทยเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาและมีวัดทั่วไป การบวชจึงเป็นสิ่งที่ไม่ยาก ถ้าอยากจะบวช บางคนที่มาบวชบอกว่าเป็นทหารทำงานหนัก ได้พันโทมาหลายปี ปีนี้ก็ยังไม่ได้พันเอก รู้สึกเหนื่อยหน่ายและเบื่อๆ หลายอย่าง ก็เลยลาบวชเพื่อพักผ่อนสักระยะ ทำนองนี้เรียกว่า บวชเพื่อพักผ่อน... ผู้เขียนเคยไปเที่ยววัดใหญ่ระดับประเทศวัดหนึ่งในภาคกลาง วัดนี้จะมีคนมาบวชสะเดาะเคราะห์กันมาก ถ้าบวชเองไม่ได้ก็ให้คนอื่นบวชแทน แต่ต้องเพิ่มจำนวนวันที่บวชเป็นสองเท่า ก็เลยมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ภายในวัด มีอาชีพเสริมก็คือรับจากบวช ถ้าชายก็บวชพระบวชเณร ถ้าหญิงก็บวชชี พวกรับจ้างบวชทำนองนี้กล่าวได้ว่า บวชเพื่อเงิน... หรือผู้เขียนเคยพบที่กรุงเทพฯ ว่ามีผู้ขัดสนคนหนึ่งไปกู้ยืมผู้มั่งคั่งแถวๆ นั้น ไม่มีเงินใช้คืน ประจวบกับญาติผู้ใหญ่ของผู้มั่งคั่งถึงแก่กรรม ก็เลยตกลงกันว่าให้บวชอุทิศส่วนบุญไปให้ญาติผู้ใหญ่ของตนก็แล้วกัน ส่วนหนี้ที่ยืมไปก็หายกันไม่ต้องใช้คืน ทำนองนี้เป็นทั้ง บวชใช้หนี้ และ บวชเพื่อเงิน... คุณค่าอติเรกของการบวชทำนองนี้มีเยอะ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านคงจะเคยประสบที่แปลกๆ กว่านี้ก็ได้
อนึ่ง การให้คุณค่าการบวชนี้ มีผู้ผูกไว้เป็นสำนวนก็มาก เช่น "บวชหนีสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน" ... หรือ "อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารโทรม" ... แม้เพลงยาวเจ้าอิศรญาณก็ให้คุณค่าการบวชไว้ตอนหนึ่งว่า "บวชตั้งอกตั้งใจบวชได้เรื่อง บวชหลบราชการหนักบวชยักเยื้อง บวชหาเฟื้องหาไพบวชไม่ตรง" เป็นต้น ซึ่งอาจนำมาสงเคราะห์เข้ากับคุณค่าทั้งสามนี้ได้
ผู้เขียนคิดว่า แม้ปัจจุบันนี้ คุณค่าการบวชก็ยังคงมีทั้งสามอย่างครบถ้วนไม่แตกต่างจากสมัยพุทธกาลที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าเราจะให้คุณค่าอย่างไหนสำคัญกว่ากันเท่านั้น
พระมหาชัยวุธ ฐานุตฺตโม (โภชนุกูล)
พิมพ์ครั้งแรก ๒๓/๕/๒๕๔๖
เผยแพร่ใน GoToKnow เทศกาลเข้าพรรษาปี ๒๕๕๑
นมัสการพระอาจารย์ครับ
นมัสการพระคุณเจ้าครับ
กระผมเคยเห็นงานเขียนของพระคุณเจ้า ครั้งหรือสองครั้ง แต่นานแล้ว
ยังไม่ได้ตั้งใจอ่านอย่างจริง อาจจัดเป็น "ใกล้เกลือกินด่าง"
มาวันนี้ มีข้อข้องใจ ในคำสอนของพระพุทธองค์ กับ
สิ่งที่ปัจจุบันเป็นอยู่ ก็เลยเข้ามาหาคำตอบให้ตัวเอง
ได้มาพบ ขุมทรัพย์ล้ำค่า เข้า นับเป็นบุญอย่างสูง
ที่กระผมจะได้ศึกษาคำสอนขององค์พระสัมมา
กระผมตังใจไว้ จะอุปสมบท ในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 นี้
บวชให้หลวงพ่อของกระผม(ไม่แน่ใจว่าใช้คำถูกหรือเปล่า)
และโยมป้า โยมอา และผู้ที่เคยได้อุปการะ กระผมมา
จะได้ถือโอกาส ศึกษางานเขียนของพระคุณเจ้า ให้เข้าใจ
ก่อนถึงวันบวช
นมัสการครับ