วันหยุดอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ได้เริ่มอ่านหนังสือเรื่อง “วิถีมนุษย์ในศตวรรษที่ 21” ของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เพียงแค่อ่านคำนำของหนังสือ ที่เขียนโดย ท่านสันติกโรภิกขุ ที่ท่านกล่าวถึง “อิทัปปัจจยตา” ได้อย่างกินใจ ... เลยบันทึกข้อเขียนท่านบางตอนนำมาแบ่งปันกันในวันอาสาฬหบูชาครับ
“...มนุษย์ดีมนุษย์เลวก็อยู่ภายใต้อำนาจกฎนี้(ซึ่งมักเรียกว่ากฎแห่งกรรม) ชื่อที่เหมาะที่สุดสำหรับกฎนี้คือ อิทัปปัจจยตา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็โดยเหตุโดยปัจจัย เปลี่ยนก็เปลี่ยนเพราะเหตุปัจจัย ...การที่สิ่งทั้งหลายดับลงหรือหายไปก็เพราะว่าไม่มีเหตุปัจจัยมาหล่อเลี้ยง มันก็เลยอยู่ไม่ได้ กฎนี้เป็นกฎใหญ่ที่สุด ครอบคลุมเรื่องทั้งหมด...กฏนี้อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมะ
...เมื่อธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปโดยอำนาจกฎนี้ ...บทบาทของเม็ดฝน บทบาทของเชื้อรา ปลาฉลาม จนกระทั่งลิงและมนุษย์ ล้วนกำหนดขึ้นมาโดยเหตุปัจจัย
...สำหรับมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ที่สามารถตระหนักรู้และเข้าถึงธรรมชาตินี้ได้ดีที่สุด เรามีหน้าที่อันใหญ่หลวงยิ่งกว่าสัตว์อื่นๆ หน้าที่นั้นคือ ไม่ใช่แค่ปล่อยให้เป็นไปตามกฎธรรมชาติ เหมือนอย่างหินหรือเครื่องยนต์ที่รู้สึกนึกคิดอะไรไม่ได้ แต่เป็นไปอย่างตระหนักรู้และเลือกที่จะรับใช้กลมกลืนกับกฎธรรมชาติหรือธรรมชาติทั้งหมด
...ตรงนี้เองเป็นปัญหาใหญ่หลวงของมนุษย์ เรามีการนึกคิดที่สามารถสร้างความเห็นแก่ตัวได้ เราจึงเห็นแก่ตัวชนิดที่สัตว์ทำไม่เป็น เราจึงสร้างวิกฤตขึ้นมาชนิดที่สัตว์ทำไม่เป็น เพราะว่าเราสามารถคิดและรู้สึกตามความคิดที่เรียกว่ากิเลส ที่จริงกิเลสก็คือ ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวที่จะได้ ที่จะทำลาย หรือมัวเมา
...มนุษย์มีศักยภาพที่จะคิด รู้สึก จินตนาการ ฝัน และกระทำตามสติปัญญาของเรา ศักยภาพนี้ถ้าไม่ระวังก็จะถูกใช้ในแง่ที่เห็นแก่ตัว ทำลายทั้งชีวิตจิตวิญญาณตนเองและผู้อื่น แต่ศักยภาพเดียวกันนี้เอง สามารถพัฒนาไปใช้ในการที่จะเข้าใจธรรมชาติ กฎธรรมชาติ และเห็นบทบาทหน้าที่ของตนเองว่าตนเองมีฐานะอย่างไร มีความรู้อย่างไร มีอาชีพอย่างไร มีเพื่อนฝูงพี่น้องอย่างไร ถ้าสังเกตสภาพที่เป็นจริงของชีวิต แต่ละคนสามารถค้นพบหน้าที่และความหมายของชีวิตตนเองได้...
การทำหน้าที่นั้นเรียกว่า การปฏิบัติธรรม...ถ้าทำหน้าที่เหมาะสมถูกต้องตามธรรมชาติ กลมกลืนกับธรรมชาติ แล้วผลที่ตามมาคือความสุข ชีวิตจะไม่เครียด ไม่คับแคบ ชีวิตจะเต็มไปด้วยความรัก ด้วยความอิ่มเอิบของผู้ที่มีคุณธรรม และมั่นใจว่าชีวิตที่เกิดขึ้นมานี้มีคุณค่า และพัฒนาตามคุณค่านั้น ตรงนี้ก็แปลว่าธรรมะเหมือนกัน...”
มาอ่านและซึมซับเอาบทความดีๆครับ อาจารย์ครับ
ตรงเฉพาะไฮไลท์สีสดๆนี้ ทำให้ผมคิดอะไรต่อไปได้มากมายครับ กระผมมองว่า เราล้วนแต่อยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม และชีวิตหนึ่งอันน้อยนิดนี้ เป็นโอกาสให้เราบำเพ็ญเพียร หากเราละทิ้งซึ่งโอกาส เราก็เหมือนเดินทางเข้าสู่จุดสุดท้ายของวัฏจักรนี้แบบประมาท ขาดเสบียงกรังอันเป็นปัญญา
หน้าที่วันนี้จึงเป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น เพื่อการอยู่อย่างมีความสุข สมดุล ซึ่งกระผมก็พยายามเรียนรู้ไปอย่างไม่หยุดครับ
ขอบคุณครับผม
ผมได้อ่านและติดตามการทำงานของคุณจตุพรมาเช่นกัน รู้สึกชื่นชม ที่มีคนหนุ่มไฟแรง และมีแนวคิด วิถีชีวิต สอดคล้องกับบันทึกของผมข้างต้น ขออนุโมทนาด้วยครับ