การนิเทศต้องคงอยู่คู่กับคุณภาพการศึกษา
ธเนศ ขำเกิด
www.gotoknow.org/blog/tanes
พอเอ่ยถึงการนิเทศการศึกษาเรามักจะนึกถึงผู้นิเทศซึ่งหมายถึงศึกษานิเทศก์เป็นเป้าหมายใหญ่ และคนในกลุ่มนี้มักจะถูกวิพากษ์จากผู้ใช้บริการหรือจากคนในวงวิชาการด้วยกันทั้งในแง่บวกและแง่ลบเสมอ แต่ระยะหลังการวิจารณ์จะออกมาในเชิงลบกันมากขึ้น คนที่ออกมาปกป้องและเรียกร้องความเป็นธรรมก็มักจะมาจากกลุ่มของศึกษานิเทศก์เอง โดยคนวิจารณ์ต่างก็ยืนอยู่กันคนละขั้วคนละมุม
ในฐานะที่อยู่ในวิชาชีพนี้มา 25 ปี ทำงานตั้งแต่เป็นศึกษานิเทศก์ปฏิบัติการ จนเป็น
หัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ เขตการศึกษา และเป็นหัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์กรมฯคนสุดท้าย จนถึงเวลาปรับโครงสร้างตามกฎหมาย ก็ต้องไปอยู่ที่เขตพื้นที่การศึกษาเหมือนกับคนอื่นๆ พอได้เห็นคนในและคนนอกวงการวิจารณ์วิชาชีพนี้กันหนาหู ทั้งมีข้อมูลบ้างและใช้ความรู้สึกกันบ้าง ก็รู้สึกอดรนทนไม่ได้ จึงอยากจะพูดในเรื่องนี้บ้าง แต่จะขอพูดด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์มากกว่าความรู้สึก โดยจะนำเสนอแนวคิดด้วยเหตุด้วยผล และด้วยใจที่เป็นกลางที่สุด เป็นประเด็นๆไป กล่าวคือ
การนิเทศการศึกษามีความเป็นมาอย่างไร?
การนิเทศมีมานานแล้วในต่างประเทศ แต่ในเมืองไทยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในสมัยรัชกาลที่ 5 มาพร้อมกับการจัดการศึกษาอย่างมีแบบแผน แต่เป็นลักษณะการควบคุมดูแล และการตรวจตราด้านคุณภาพมากกว่า
เราเริ่มมีศึกษานิเทศก์และหน่วยศึกษานิเทศก์ครั้งแรกใน พ.ศ.2496 มี ดร.ก่อ สวัสดิพาณิชย์ เป็นหัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ กรมวิสามัญศึกษาคนแรก ต่อมาได้มีการก่อตั้งกรมใหม่ และมีการยุบรวมกรมกันหลายครั้ง ซึ่งแต่ละกรมก็จะมีหน่วยศึกษานิเทศก์เป็นของตนเองเกือบทั้งสิ้น รายชื่อหัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์คนต่อๆมาก็ล้วนมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงทั้งสิ้น เช่น หม่อมหลวงบุญเหลือ กุญชร(เทพยสุวรรณ) ดร.สาย ภาณุรัตน์ ศจ.ฐะปะนีย์ นาครทรรพ นายสมาน แสงมลิ นายพะนอม แก้วกำเนิด ดร.อาคม จันทสุนทร ดร.สุวัฒน์ เงินฉ่ำ นายมังกร
กุลวานิช เป็นต้น
การกำหนดให้มีการนิเทศการศึกษา และมีศึกษานิเทศก์ขึ้นมา ก็เพื่อให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ แนะนำครู เพื่อให้การสอนดีขึ้น จะเห็นว่าการนิเทศการศึกษาจะอยู่คู่กับการจัดการศึกษามาตั้งแต่ต้น ซึ่งฝ่ายบริหารสมัยนั้นท่านให้ความสำคัญกับศึกษานิเทศก์อย่างมาก เพราะท่านใช้งานวิชาการเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการศึกษา
-2-
เอาใครมาเป็นศึกษานิเทศก์?
การคัดเลือกคนจะมาเป็นศึกษานิเทศก์สมัยก่อน เขาต้องสรรหามาจากครูเก่งและครูดีจริงๆ โดยกำหนดคุณสมบัติพื้นฐานทั้งด้านคุณวุฒิ ด้านผลงาน และด้านการวางตน ที่มีเกณฑ์สูงมาก โดยต้องผ่านการฝึกอบรมและฝึกปฏิบัติงานเป็นเวลานานจึงจะบรรจุให้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ได้ เพราะถือว่าศึกษานิเทศก์จะต้องมาเป็นครูของครู ด้วยเหตุนี้ศึกษานิเทศก์จึงถือว่าเป็นวิชาชีพโดยสมบูรณ์ เพราะมีมาตรฐานวิชาชีพเฉพาะ มีจรรยาบรรณวิชาชีพ และมีองค์กรบริหารวิชาชีพของตนเอง
เมื่อวันเวลาผ่านไปเกิดอะไรขึ้นกับศึกษานิเทศก์?
วันเวลาผ่านไปผู้บริหารระดับสูงซึ่งต่างก็มีนโยบายให้ความสำคัญในด้านวิชาการทั้งสิ้น แต่กลับปฎิบัติต่อวิชาชีพของผู้ที่ดูแลด้านวิชาการคือศึกษานิเทศก์ในทางตรงกันข้าม นอกจากจะไม่สนใจให้เกียรติในตำแหน่งนี้แล้ว ยังทำร้ายวิชาชีพนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น เมื่อผู้บริหารคนใดมีปัญหาในการบริหารก็แก้ปัญหาโดยให้มาเป็นศึกษานิเทศก์ กำหนดให้คนทำงานทางด้านพัสดุ ธุรการ การเงินมาดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ลดเกณฑ์ด้านคุณสมบัติของคนมาเป็นศึกษานิเทศก์ให้ต่ำลงลง ใช้กลไกการบริหารสั่งการให้ศึกษานิเทศก์ปฏิบัติงานตามความต้องการของผู้บริหารเอง รวมทั้งไม่จูงใจให้ศึกษานิเทศก์เก่งๆอยู่ในองค์กรโดยปล่อยให้สมองไหลไปสร้างชื่อเสียงให้แก่สถาบันอุดมศึกษาเป็นจำนวนมาก และขั้นท้ายสุดก่อนจะปรับโครงสร้างกระทรวงฯ ถึงกับมีการเสนอให้ยุบตำแหน่งศึกษานิเทศก์ เป็นต้น
เมื่อมีกระแสคัดค้านในที่สุดก็ยังคงตำแหน่งนี้ไว้ โดยให้มีตำแหน่งและวิทยฐานะที่มีโอกาสก้าวหน้าเช่นเดียวกับข้าราชการครูซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การไม่มีตำแหน่งนี้อยู่ที่ส่วนกลางโดยให้ไปรวมอยู่ภายใต้เขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 175 เขต เลยกลายเป็น “มังกรไร้หัว” ที่ขาดผู้บริหารในการประสานสัมพันธ์กันทั้งประเทศ ซึ่งผิดหลักการของการเป็นวิชาชีพ เพราะไม่มีหน่วยงานบริหารวิชาชีพของตนเอง
ปัญหาศึกษานิเทศก์ขาดและเกินในเขตพื้นที่
การกระจายศึกษานิเทศก์ จากแต่ละกรม แต่ละพื้นที่ ที่ดูแลการนิเทศต่างระดับการศึกษากัน ลงไปในเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 175 เขต ก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย โดยเฉพาะศึกษานิเทศก์เดิมที่เคยดูแลระดับมัธยมศึกษาซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ส่วนกลาง และ 12 เขตการศึกษา ซึ่งจะมีบางส่วนอยู่ที่ตัวจังหวัดบ้าง เมื่อปรับโครงสร้างใหม่ศึกษานิเทศก์เหล่านี้ จึงสมัครใจอยู่ในเขตพื้นที่ที่เป็นภูมิลำเนาเดิมของตนคือใน กรุงเทพมหานคร และตัวจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของเขตการศึกษาเดิม 12 จังหวัด นอกนั้นก็จะอยู่ตามตัวจังหวัด ทำให้มีศึกษานิเทศก์เกินในเขตเหล่านี้ ส่วนเขตพื้นที่อื่นจะ
-3-
ขาดแคลนศึกษานิเทศก์ระดับมัธยมศึกษาอย่างมาก โดยบางเขตไม่มีศึกษานิเทศก์ระดับมัธยมศึกษาเลย แม้จะจูงใจหรือให้ทำโครงการนิเทศร่วมกันระหว่างเขตแต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้มากนักปัญหาโรงเรียนไม่ยอมรับศึกษานิเทศก์ในบางเขตพื้นที่
นอกจากศึกษานิเทศก์จะขาดและเกินอย่างไม่เป็นสัดส่วนแล้ว ยังมีปัญหาสำคัญอีกคือเรื่องคุณภาพของศึกษานิเทศก์ที่บางคนยังไม่เป็นที่ยอมรับของโรงเรียน
ผมเคยถาม ดร.กอบกิจ ส่งศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนจิรประวัติวิทยาคม จังหวัดนครสวรรค์ว่า "ถ้าท่านจะขอให้ศึกษานิเทศก์ไปช่วยโรงเรียน ท่านต้องการได้ศึกษานิเทศก์อย่างไร ?"
ดร.กอบกิจ ตอบแทบจะไม่ต้องคิดว่า
"ผมต้องการศึกษานิเทศก์ที่เชี่ยวชาญด้านวิชาการจริงๆ และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่โดดเด่น เป็นที่ยอมรับ เช่น เทคนิคการบริหาร เทคนิคการจัดการเรียนการสอน มีวิทยาการอะไรใหม่ๆที่จะเป็นประโยชน์แก่โรงเรียน ผมก็จะไปเชิญให้มาช่วยโรงเรียน ผมไม่ต้องการ
ศึกษานิเทศก์ที่เป็นนักประสานงาน นักจัดการ เพราะครูที่โรงเรียนผมมีเยอะแล้ว ถ้าเข้ามาในลักษณะนี้จะสร้างภาระให้แก่โรงเรียนมากกว่ามาช่วยโรงเรียน"
ผมถาม ศจ.นพ.วิจารณ์ พานิช ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส) อีกท่านหนึ่ง ว่าอยากเห็นศึกษานิเทศก์เป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่า
"ศึกษานิเทศก์ต้องทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ได้จึงจะเป็นที่ยอมรับจากโรงเรียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีเยอะก็ได้ แต่ต้องเก่ง และไม่ใช่ทำหน้าที่เหมือนปัจจุบัน"
จริงๆศึกษานิเทศก์เขตพื้นที่เขาทำงานกันอย่างไร?
ผมสงสัยเหมือนกันว่า ก.ค.ศ.กำหนดมาตรฐานตำแหน่ง มาตรฐานวิทยฐานะของศึกษานิเทศก์ เป็นอย่างหนึ่ง แต่พอศึกษานิเทศก์ไปปฏิบัติงานจริงๆ ในแต่ละเขตพื้นที่ ยังเห็นศึกษานิเทศก์ส่วนใหญ่ยังทำงานในลักษณะนักจัดการ นักประสานงาน มาดูแลรับผิดชอบโครงการ จนถึงงานธุรการต่างๆ ว่าถูกต้องไหม?
ทุกวันนี้ ศึกษานิเทศก์หลายคนถอยห่างทางวิชาการไปมาก ไม่ศึกษาค้นคว้าวิจัยพัฒนา ความรู้ก็ถดถอยไป จนบางคนความรู้ยังสู้ครูไม่ได้ ถ้าขืนปล่อยไปเช่นนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า ศึกษานิเทศก์ขาดความเชี่ยวชาญจะเกิดอะไรขึ้นแก่วงการศึกษา และจะเป็นการทำร้ายวิชาชีพ ศึกษานิเทศก์ทางอ้อมหรือไม่?
ก.ค.ศ.กำหนดตำแหน่งของ ศึกษานิเทศก์ที่แตกต่างจากบุคลากรทางการศึกษาอื่น จนทำให้
บุคลากรในหน่วยงานเดียวกันเขาอิจฉา แต่เวลาทำงานจริงแทบจะไม่ต่างกัน เพียงแต่มีโอกาสก้าวหน้าทางวิทยฐานะมากกว่าเท่านั้น ผมคิดว่าถ้าจะให้ทำงานในลักษณะเดียวกัน ก็ไม่ต้องมีตำแหน่งนี้ก็ได้ ให้เป็นบุคลากรทั้งหมดเลย แต่ใครจะรับผิดชอบดูแลในเรื่องคุณภาพการศึกษา?
-4-
แล้วจะแก้ปัญหาให้ยั่งยืนได้อย่างไร?
ปัญหาปัจจุบันบุคลากรที่เขตพื้นที่มีจำกัด จึงใช้วิธีการแก้ปัญหา โดยการแบ่งเป็นกลุ่มย่อย แต่ให้ทำงานแบบหารเฉลี่ยทุกเรื่องที่มีเข้ามา อย่างนี้คงไม่เรียกว่า บูรณาการหรือทำให้มีเอกภาพ
หากต้องการเอาเรื่องคุณภาพการศึกษาเป็นตัวตั้ง (ไม่จำเป็นต้องเอาศึกษานิเทศก์เป็นตัวตั้ง) และเห็นว่าวิชาชีพนี้ยังมีความสำคัญอย่างที่นานาประเทศเขาปฏิบัติก็ต้องปรับบทบาทภารกิจของศึกษานิเทศก์กันใหม่ และควรให้เขามีองค์กรบริหารวิชาชีพของเขาเอง ไม่ใช่เขียนอย่างหนึ่งแต่ให้ทำงานอีกอย่างหนึ่ง ศึกษานิเทศก์ที่ยังอยู่ในระบบนี้แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากลูกค้าก็ต้องยอมรับ และต้องพัฒนาเขาไป จะให้มีคุณภาพดีเต็มร้อยคงไม่ได้ แต่ต้องมาจัดระบบการสรรหาศึกษานิเทศก์ในรุ่นใหม่ ให้ได้คนที่ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นที่ยอมรับจริงๆเหมือนในอดีต ซึ่งในอนาคตอาจลดจำนวนลงก็ได้ จะปรับหรือแก้อย่างไรก็อยากให้คิดอย่างรอบคอบ ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้กฎหมู่เรียกร้องเพื่อตัวเอง
ดร.อาคม จันทสุนทร อดีตหัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ เคยพูดกับศึกษานิเทศก์ไว้ว่า
"ถ้าเราสามารถทำให้โรงเรียนมีระบบนิเทศภายในที่เข้มแข็งได้ทุกโรงเรียน ก็อาจไม่ต้องใช้ศึกษานิเทศก์อีกก็ได้ แต่ศึกษานิเทศก์อาจมาทำหน้าที่คิดค้นนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนที่สูงขึ้นเพื่อช่วยเหลือครู เฉพาะด้าน เพราะครูเขาไม่มีเวลาพอ"
ผมเลยคิดต่ออีกว่า ถ้าโรงเรียนสามารถบริหารตนเองโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ผู้บริหารสามารถเป็นผู้นำการนิเทศภายในได้ และครูส่วนใหญ่ก้าวหน้าจริงๆ อาจไม่ต้องมีศึกษานิเทศก์ก็ยังได้ ถ้าจะมีก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อเป็นที่ปรึกษาในแต่ละด้านเท่านั้น แต่ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานถ้าจะให้พร้อมคงต้องใช้เวลาอีกนาน จึงยังจะต้องมีศึกษานิเทศก์ต่อไปอีก
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นคือศึกษานิเทศก์กรมการฝึกหัดครู เมื่อสถาบันฝึกหัดครูเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฎ มีอาจารย์เก่งๆมากมายแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องมีศึกษานิเทศก์อีก แต่เรื่องการนิเทศการศึกษาก็ยังคงมีอยู่และจะมีความเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยเป็นการนิเทศภายในมหาวิทยาลัยแทนการนิเทศจากภายนอก
มหาวิทยาลัยต่างๆเขาจึงกำหนดให้มีวิชานิเทศการศึกษา ให้นิสิตนักศึกษาได้เรียนกัน ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการหนึ่งของการบริหารการศึกษา โดยจะอยู่ในคณะหรือภาควิชาบริหารการศึกษา ซึ่งช่วงก่อนปรับโครงสร้างใหม่ ผมเกรงว่าศาสตร์ด้านการนิเทศในอดีตจะถูกลบหายไป จึงได้ให้คณะศึกษานิเทศก์เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “บันทึกไว้ในแผ่นดิน”และได้ส่งให้ห้องสมุดมหาวิทยาลัยต่างๆเพื่อเป็นตำราให้คนที่เรียนทางครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ได้ศึกษากันด้วย
เห็นหรือยังว่า การนิเทศการศึกษาไม่มีวันตาย แต่จะปรับไปตามบริบทของการเปลี่ยนแปลง
**********************************************
เมี้ยวแวะมาเยี่ยมค่ะมีเรื่องน่ารู้น่าสนใจแต่ยังไม่มีเวลาอ่านเลยค่ะ...
เอ๊ะมาแว้วครับ ยาย เรื่องนี้น่าอ่านดีครับ แต่ตาลายแล้ว ไว้พรุ่งนี้ดีกว่า
ขอบคุณ คุณครูเมี้ยว คุณหนุ่มเอ๊ะเจ้า
สวัสดีครับ
แวะมาเยี่ยมครับ
และหวังว่าการศึกษาของเมืองไทยคงได้รับการแก้ไขและพัฒนาให่ดีขึ้นๆต่อไปครับ
สวัสดีค่ะ ขอบุณที่แวะเยี่ยมนะคะ อยากเห็นการศึกษาไทยได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังเช่นกันค่ะ