เจตนาในการทำนิติกรรม
ม.154 = เจตนาซ่อนเร้น (ผู้แสดงเจตนารู้ตัวแต่ผู้เดียว)
ผู้รับเจตนาไม่รู้เจตนาซ่อนเร้น = สมบูรณ์ ,
ผู้รับเจตนารู้เจตนาซ่อนเร้น = โมฆะ
ม.155 ว.1 = เจตนาลวง (ผู้แสดงเจตนารู้ตัวร่วมกับผู้อื่น) = โมฆะ
แต่ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหาย
จากการแสดงเจตนาลวงมิได้
1. บุคคลภายนอก+สุจริต+ต้องเสียหาย = กฎหมายคุ้มครองไม่ต้องคืนทรัพย์
2. สุจริต (ไม่รู้เจตนาลวง) + ต้องเสียหาย (เสียเงิน/ค่าตอบแทน ถึงขนาด)
3. สัญญาให้ บุคคลภายนอกสุจริตแต่ไม่เสียหาย ต้องคืนทรัพย์
4. ผู้แสดงเจตนาสามารถเรียกคืนจากคู่กรณีได้ หากไม่มีตัวทรัพย์ ต้องชดใช้เป็นตัวเงิน
ม.155 ว.2 = นิติกรรมอำพราง (นิติกรรมที่เปิดเผย แต่ไม่ต้องการผูกพัน) = โมฆะ
= นิติกรรมที่ถูกอำพราง (นิติกรรมที่ปกปิด แต่ต้องการผูกพัน) = สมบูรณ์
ถ้านิติกรรมนั้นถูกต้องตามกฎหมาย เช่น
- สัญญาซื้อขาย ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ ต้องทำหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ ตาม ม.453
- สัญญากู้เงิน ถ้ายืมมากกว่า 2,000 บาท ต้องทำหนังสือและลงลายมือชื่อผู้ยืม ตาม ม.653
- สัญญาให้ ต้องมีการส่งมอบทรัพย์สิน ตาม ม.523
- สัญญาจ้างงาน ต้องดูวัตถุประสงค์ของนิติกรรมว่าไม่ต้องห้ามไว้โดยชัดแจ้งโดยกฎหมายและ
ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตาม ม.150
- ม.152 การใดไม่ทำตามแบบ การนั้นเป็นโมฆะ
ม.156 = ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม = โมฆะ
1. ต้องสำคัญผิดใน “สิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ” ของนิติกรรม
2. แสดงเจตนาออกมา ไม่ตรงกับ เจตนาภายใน โดยผู้แสดงเจตนาไม่รู้ตัว
ม.157 = ความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน = โมฆียะ
1. คุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน ซึ่งปกติเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม
2. สำคัญผิดในขั้นตอนของการแสดงเจตนาภายใน
ม.158 = ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงอ้างโมฆียะตาม ม.157 และ โมฆะ ตาม ม.156 ไม่ได้
ม.159 = กลฉ้อฉล = โมฆียะ
(กลฉ้อฉล = หลอกลวง + หลงเชื่อ (ถึงขนาด) +แสดงเจตนาทำนิติกรรม)
ม.159 ว. 3 = กลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก = โมฆียะ
เมื่อคู่กรณีได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉล ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น
ม.161 = กลฉ้อฉลเพื่อเหตุ = สมบูรณ์ , ผู้ถูกกลฉ้อฉล มีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนได้
(แม้ไม่มีกลฉ้อฉล ผู้ทำนิติกรรมก็ยังคงแสดงเจตนาเข้าทำนิติกรรมนั้นอยู่ดี)
(แต่เพราะกลฉ้อฉล ผู้ถูกกลฉ้อฉลจึงทำนิติกรรมโดยยอมรับข้อตกลงอันหนัก
ยิ่งกว่าที่จะยอมรับโดยปกติ)
ม.162 = กลฉ้อฉลโดยการนิ่ง = โมฆียะ ตาม ม.162 ประกอบ ม.159 ว.1
ต้องเป็นการจงใจนิ่งในนิติกรรมสองฝ่าย ทั้งๆที่ คู่กรณีมีหน้าที่ๆต้องบอกความจริงให้รู้
ม.163 = กลฉ้อฉลซึ่งกระทำโดยคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย = สมบูรณ์ ,
ทั้ง 2 ฝ่ายอ้างสิทธิกลฉ้อฉลเพื่อบอกล้างหรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนไม่ได้
(มาศาลด้วยมือสกปรก จะอ้างกลฉ้อฉลเพื่อบอกล้างไม่ได้)
ม.164 = ข่มขู่ = โมฆียะ
(ข่มขู่ = ภัยอันใกล้จะถึง + ร้ายแรงถึงขนาด + หวาดกลัวจาการข่มขู่+ทำนิติกรรม)
ม.165 = กรณีที่ไม่ถือเป็นการข่มขู่ = นิติกรรมไม่เป็นโมฆียะ เพราะไม่เป็นการข่มขู่
1. การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม เช่น พ่อแม่
2. การทำนิติกรรมเพราะความเคารพยำเกรง เช่น ครู ผู้บังคับบัญชา
ม.166 = ข่มขู่โดยบุคคลภายนอก = โมฆียะ
ม.167 = การวินิจฉัยความสำคัญผิด กลฉ้อฉลหรือการข่มขู่ ให้พิเคราะห์ถึง เพศ อายุ
ฐานะ สุขอนามัย และภาวะแห่งจิตของผู้แสดงเจตนา ตลอดจนพฤติการณ์และ
สภาพแวดล้อมอื่นๆ ด้วย
ขออนุญาต copy ไปอ่านนะครับ ผมเรียนนิติศาสตร์ภาคบัณฑิตที่ธรรมศาสตร์ งงกับเรื่องกลฉ้อฉลมากทีเดียว พอดีค้นหาจาก google มาเจอเข้า ได้ความกระจ่างอย่างสูง
ขอบคุณอย่างสูงครับ ขออวยพรให้คุณประสบความสำเร็จจงดังทุกประการ
ขอบคุนมากค่ะ
-ขอบคุณมากครับ
-ที่ให้ความรู้ดีดี *-*
ขอบคุณมากนะคะ จะสอบกฏหมายธุรกิจอยู่พอดีมาเจอบทความนี เป็นประโยชน์มากค่ะ
ขอบคุณพี่มากๆนะคะ
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณมาก ๆ ครับ ได้ความรู้ดี ๆ มีประโยชน์ เป็นพระคุณมากครับ
ขอบคุณมากครับ ช่วยได้มากเลยครับ พอดีผมอ่านประมวลแล้วไม่ค่อยเข้าใจอยู่พอดีเลยครับ
ขอบคุณจากใจจริง ครับ