กลับมาเถิด....วันวาน


เรากลับมาเล่น สมมุติกันต่อเถอะ อยากหัวเราะเสียงดังๆเหมือนเคย

 สมัยเป็นเด็ก ชอบที่จะมีเพื่อนมาเล่นด้วยเยอะๆ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ทั้งเจ้าคนแสนงอน และบางครั้งก็คนชอบล้อเลียน เมื่อรวบรวมเพื่อนๆได้พร้อมเพรียงกัน ก็เที่ยวกำหนดบทบาท คนนั้นเป็นแม่ค้า คนนั้นพายเรือ คนโน้นแม่ คนนี้ลูก ก็พากันเล่นไป ตามสมมุติบัญญัติ เหนื่อยล้าเมื่อใด ใครอยากหยุดก็หยุด อยากเปลี่ยนเกมส์ ก็ตามใจ สนุกกันได้ไม่มีวันเบื่อ

 จำความรู้สึกวันเก่าๆแล้วก็มีความสุขใจดี พอโตขึ้นมา เราก็มานึกขำๆตัวเอง ว่าเรื่องของวันวาน มันเรื่องจำลองทั้งนั้น วันนี้ต่างหากที่มีแต่เรื่องจริง เราเป็นหมอ เป็นครู เป็นนักเรียน นักวิชาการ นักบริหาร ต่างๆนาๆ ดังนั้นการกระทำต่อจากนี้ ต้องเป็นจริงเป็นจัง เป็นเรื่องเป็นราว ใครจะมาเปลี่ยนแปลงบทบาท กลับไปกลับมาไม่ได้ นั่นมันเด็กๆ

 ผู้เขียนกำลังมองโลกในวัยนี้ ของตน อย่างขำๆอีกครั้ง อะไรหนอ ทำให้เราวิ่งหนีการสมมติ ทำไมเราจะแกล้งพายเรือบนบกบ้างไม่ได้หรือ ก็สมัยหนึ่ง เรายังจินตนาการ ผืนดินเบื้องหน้า เป็นท้องทะเล อันกว้างใหญ่ ยืนบนสากตำข้าว โยกไปมา ก็คือการพายเรือกลางน้ำนั้น และอีกหลายบทบาท ที่ผู้เขียนพาเพื่อนเล่นกันจนชำนาญ แต่เมื่อมาถึงวันหนึ่ง ณ วันนี้ หากจะชวนเพื่อนพ้องเหล่านั้น มาเล่นกันใหม่ ก็คงไม่มีใครยอมเล่นด้วยเป็นแน่ เพราะโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ผู้ใหญ่ต้องมีมาดที่ดูสุขุมลุ่มลึก ยิ่งมีโช่ทางโลกมาคล้องคอสักสอง สาม เส้น ก็มีอัน ก้มไม่ลง การยิ้มง่าย อภัยง่าย ก็นับวันจะทำยากขึ้นทุกที ใครแสดงจุดยืนที่เด็ดขาด มาดเข้ม ก็เป็นอันรอรับการปรบมือได้

   คิดถึงวัยเด็กอีกครั้ง คิดถึงความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้น เวลาเพื่อนของเรา ทำตัวได้น่าเกลียด ด้วยอาการที่กล่าวมาข้างต้น ด้วยความแก่แดด หรืออยากเป็นผู้ใหญ่เกินตัว(แปลว่าการทำตัวเกินบทบาท หรือเกินวัย อาจเป็นอาการที่คนไม่ค่อยชอบก็ได้) เมื่อนั้นผู้เขียนเอง มักจะเกิดอาการที่เรียกว่า เริ่มจะหมดสนุก สิ่งที่จะตามต่อมาก็คือ ไปหาเพื่อนคนที่ เราอยู่ด้วยแล้วสนุกดีกว่า

 ทุกวันนี้ บ่อยครั้ง ผู้เขียนก็เกิดอาการ เริ่มจะหมดสนุก กับคนบางกลุ่ม เพราะมันรู้สึกเคร่งเครียด อึดอัดเกินไป บางทีนะ ผุู้เขียนยังนึกอยากจะหยุดเล่นด้วยเลย

 อยากจะบอกด้วยความปรารถนาดีด้วยซ้ำว่า เรากลับมาเล่น สมมุติกันต่อเถอะ อยากหัวเราะเสียงดังๆเหมือนเคย อยากให้มีคนเข้ามาพยุง เวลาหกล้ม จนลืมเจ็บ อยากให้กอดคอกันเดินแบ่งขนมก้อนเดียวกินกัน อยากให้เพื่อนๆ พยายามค้นหาเรา เวลาเราเล่นซ่อนหา และนับจำนวนเพื่อนจนครบ ก่อนพากันกลับบ้านเสมอ

แล้วเราก็ลืมอาการแสดง ที่จะทำให้เพื่อนๆ หมองใจ และเกิดอาการ  "เริ่มจะหมดสนุก" นับแต่นั้นมา

      ......กลับมาเถิดวันวาน.....

   

 

หมายเลขบันทึก: 191674เขียนเมื่อ 1 กรกฎาคม 2008 23:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 00:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีค่ะ อะไรที่เราเห็น อาจไม่ใช่ที่เราคิด วานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ แตกต่างกันตามกาลเวลา สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม มีปัจจัยทั้งบวกและลบอีกมากมายค่ะ....ขอให้โชคดีมีความสุขนะคะ

......กลับมาเถิดวันวาน.....

วันวานที่สุขสันติ์หวานชื่น

วันที่เราร่วมแจมร่วมคิดร่วมกันถก

มันกลายเปลี่ยนไปแล้ว

มันเสื่อมสลายไปแล้วหรือ

เหตุเพราะเราไม่เข้าใจกันใช่ไหม

เพราะเราต้องการอะไรกันมากกว่านี้ใช่ไหม

หรืออะไรที่มันคุ้ยเขี่ยกันขึ้นมาให้ระคายเคือง

ความรักความมั่นคงไม่เหนียวแน่นเปลี่ยนแปลงไปแล้วใช่ไหม

ความน่ารักน่าเอ็นดูสูญสลายไปแล้วใช่ไหม

แล้วทำให้อะไรๆดีขึ้นไหม

มันทำให้อะไรๆเปลี่ยนไปในทางที่ถูกใจกระนั้นหรือ

อนาจักรเวทีอันสนุกสนานอบอุ่นสดชื่นร่มรื่นไปไหนแล้วหรือ

พอใจกันใช่ไหม

ถูกใจกันใช่หรือไม่

เปล่าเลย 

ไม่ใช่เลย

มันขัดแย้งไปหมด

เราไม่ต้องการอย่างนี้

เราต้องการบรรยากาศเก่าๆคืนมา

เอามันคืนมา

อนิจจา......................

 

สวัสดีค่ะคุณสิทธิรักษ์

ขอบคุณค่ะ ที่มาย้อนรำลึกถึงวันวานที่หวานชื่นของพวกเรา

วันวานยังไม่ได้หายไปไหน พร้อมที่จะปรากฏต่อไปได้เสมอ เพียงแต่ ตัวตนของเราต่างหากที่เปลี่ยนไป

จงรอท่าเมื่อฟ้าฝนผ่าน โลกก็จะแจ่มใสดังเดิม รอนะคะ

สวัสดีค่ะคุรamp

จริงที่สุดเลยค่ะ ไม่มีสิ่งใดตังอยู่แน่นอน เท่าความไม่แน่นอนเลยค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

วันวานยังฝังใจอยู่เหมือนกัน

ยังคิดถึงเพื่อนที่เคยเล่นสมัยเป็นนักเรียน

นึกถึงภาพที่หันไปเห็นเพื่อนนั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ เมื่อครูบอกให้หยิบหนังสือมาอ่าน แต่เพื่อนซึ่งเป็นลูกนักการภารโรงไม่มีหนังสือ ผมกวักมือให้เขามานั่งอ่านด้วยกัน การกระทำเพียงแค่นี้ทำให้เพื่อนคนนั้นกลายเป็นเพื่อนตาย พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างผมตลอดเวลา

นึกถึงการละเล่นที่เราเล่นกีฬาด้วยกัน

นึกถึงหญ้าไมยะราพที่เราต้องถอนเมื่อไม่ได้ทำการบ้านจำนวนกอละ ๑ ข้อ

นึกถึงหญ้าเจ้าชู้ที่เราต้องถอนเป็นกำๆ และต้องมานั่งถอนออกจากถุงเท้า

พวกเราหลายคนต่างมีตำแหน่งหน้าที่การงาน บางคนก็เปลี่ยนไปอย่างที่หมอรุ่งว่า บางึคนก็ยังเหมือนเดิม เพื่อนๆผมเวลาเจอหน้าก็ยังเล่าเรื่องสมัยนักเรียนกันทุกครั้ง

เวลาเราอยู่ต่อหน้าเพื่อนเราถอดหัวโขนออกหรือเปล่า เพื่อนผมตะโกนเรียกผมด้วยความดีใจเมื่อเห็นผมเข้าไปในที่ทำงานของเขา และก็ถูกผู้อำนวยการดุเอาว่าไม่ให้เกียรติอัยการจังหวัด เพราะเขาเรียก "ไอ้บัณฑูร" อิอิ แต่ที่เพื่อนเรียกอย่างนี้เพราะเราไม่เคยสวมหัวโขนเวลาเจอหน้าเพื่อนต่างหาก

นึกถึงวัยเด้กเมื่อไหร่ก็มีความสุขเมื่อนั้น จริงๆครับ

สวัสดีค่ะท่านอัยการชาวเกาะ

ความเป็นเพื่อนนี้ศักดิ์สิทธิ์เสมอ มีพลานุภาพยิ่งกว่าใดๆ

ขอนับถีอ แห่งมิตรภาพ และความเป็นเพื่อนกัน จะทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้น

มีที่ให้คนหลายๆคน ได้ยืนอยู่บนโลกได้ เพราะเรามีเพื่อนนั่นเอง

ขอบคุณมากค่ะ ที่เล่าเรื่องราวที่ประทับใจให้ฟัง และคิดว่า คงทำให้หลายๆคน ร่วมระลึกถึงความหลังสมัยเด็กๆกันค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท