ไม้ตะกูปลูก 5 ปี ได้ความโต 1 คนโอบจริงหรือ ?
ไม้ตะกู หรือ กระทุ่ม มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Anthocephalus chinensis Rich. ex Walp. อยู่ในวงศ์ Rubiaceae พบกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติเกือบทั่วประเทศ มีชื่อสามัญเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นว่า ไม้กระทุ่มหรือกระทุ่มบก (ภาคกลางและภาคเหนือ) ตะโกใหญ่ หรือตะโกส้ม (ภาคตะวันออก) และตุ้มขี้หมู (ภาคใต้) ไม้ตะกูเป็นไม้เบิกนำที่เจริญเติบโตได้เร็วมากชนิดหนึ่ง แต่ปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญมากต่อการเจริญเติบโตของไม้ตะกูคือ ปริมาณความชื้นทั้งในดินและอากาศ โดยไม้ตะกูที่พบในธรรมชาติมักพบที่ราบลุ่มบริเวณใกล้แหล่งน้ำเช่นร่องห้วย หุบในป่าที่ชุ่มชื้น ริมหนองน้ำ หายากที่จะพบบริเวณที่ไกลจากแหล่งน้ำหรือตามลาดเขาที่สูงชัน ถ้าจะปลูกเป็นสวนป่าก็ควรต้องปลูกเลียนแบบสภาพความเป็นอยู่ในธรรมชาติจึงจะเจริญเติบโตได้ดี จากรายงานการศึกษาที่สวนป่าลาดกระทิง จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่ออายุประมาณ 6 ปีครึ่ง ไม้ตะกูมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 12.62 เมตร มีความโตทางเส้นรอบวง 56.8 ซม. (เส้นผ่านศูนย์กลาง 18.7 ซม.) ในประเทศฟิลิปปินส์ Manzo et al. (1971) ได้บันทึกไว้ว่า ในเวลา 12 ปี ตะกูสามารถเจริญเติบโตถึงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย 45 ซม. และสูง 12.6 เมตร ที่เปอร์โตริโก สวนป่าตะกูที่นำพันธุ์ไปจากเอเชียบางต้นหลังจากปลูกแล้ว 5 ปี มีความโตทางเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 38.10 ซม. และสูง 15 เมตร โดยที่หมู่ไม้ตะกูอายุ 17 ปี จำนวน 37 ต้น ที่ขึ้นหลังจากเกิดวาตภัยเมื่อปี 2532 ในบริเวณร่องห้วยในป่าธรรมชาติในจังหวัดชุมพร พบว่า มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 23.5 เมตร มีความโตทางเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงอกเฉลี่ย 44.75 ซม.
|
|
|
|
หมู่ไม้ตะกูอายุ 17 ปี ตามธรรมชาติที่จังหวัดชุมพร |
ลักษณะทั่วไปของไม้ตะกู
ไม้ตะกูสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการทำเครื่องเรือน ไม้ประสาน กรอบและบานหน้าต่าง งานกลึง แกะสลัก ทำพื้นและฝาที่ใช้งานในร่ม ทำไม้อัด ไม้บาง ก้านไม้ขีดไฟ ไฟเบอร์บอร์ด พาร์ติเคิลบอร์ด แปรงลบกระดาน และรองเท้าได้เป็นอย่างดี การใช้ประโยชน์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของไม้ตะกู ได้แก่ ใช้ในการทำเยื่อและกระดาษ
ในด้านคุณภาพของเนื้อไม้ ไม้ตะกูถูกจัดให้อยู่ในประเภทไม้เนื้อแข็งปานกลางแต่ความทนทานตามธรรมชาติต่ำ/ไม่มี โดยหลักเกณฑ์การแบ่งไม้เนื้ออ่อนเนื้อแข็งตามมาตรฐานกรมป่าไม้
โดยพิจารณาจาก
1. ค่าปริมาณความชื้น (moisture content) หมายถึงปริมาณความชื้นที่มีอยู่ในเนื้อไม้ คิดเป็นส่วนร้อยของน้ำหนักไม้อบแห้ง
2. ความถ่วงจำเพาะ (specific gravity) หมายถึงอัตราส่วนของน้ำหนักไม้อบแห้งต่อน้ำหนักของปริมาตรเท่านั้น
3. ความแน่น (density) หมายถึงอัตราส่วนน้ำหนักต่อปริมาตรของไม้ที่มีความชื้นในขณะที่ทำการทดลองเป็นเกณฑ์
4. ความแข็งแรงจากการตัด (static bending)
4.1 ค่าสัมประสิทธิ์ของการหัก (M.O.R.) หมายถึงแรงสูงสุดที่ทำให้ไม้แตกหัก เสียหาย
4.2 ค่าสัมประสิทธิ์ของการยืดหยุ่น (M.O.E., ค่าความแข็งตึง) เป็นค่าที่ชี้ความดื้อของไม้จากการตัด
5. ความแข็งแรงจากการบีบขนานเสี้ยน (compression// to grain) คือ ค่าแรงบีบสูงสุดตามแนวเสี้ยน
6. ความแข็งแรงจากการเชือดขนานเสี้ยน (shear// to grain) คือ ค่าแรงเชือดสูงสุดที่ทำให้ไม้ขาดออกจากกันแนวขนานเสี้ยน
7. ความเหนียวจากการเดาะ (impact bending) คือค่าพลังงานที่ใช้ทำให้ไม้หัก เป็นค่าที่บอกความเหนียวของไม้ที่มีต่อแรงกระแทก
8. ความแข็ง (hardness) คือ ค่าน้ำหนักที่ใช้ในการกดลูกปืนให้จมลงไปในเนื้อไม้ในระดับที่กำหนด
9. ความทนทานตามธรรมชาติจากการทดลองปักดิน (durability) คือ ความทนทานตามธรรมชาติของไม้ที่ฝังดิน เพื่อดูความคงทนต่อมอด ปลวก และต่อการผุ (ธีระและคณะ, 2533)
ในด้านคุณสมบัติในการใช้งาน ทั้งการเลื่อย การไส การเจาะและการกลึงทำได้ ค่อนข้างง่าย ส่วนการยึดเหนี่ยวตะปูมีน้อย การขัดเงาทำได้ง่ายมาก
|
เนื้อไม้มีทั้งสีน้ำตาลอ่อนและสีเหลืองอ่อน |
ตารางที่ 1. เปรียบเทียบคุณสมบัติของไม้โตเร็วบางชนิดกับไม้ตะกู
ที่มา : กลุ่มงานพัฒนาผลิตผลป่าไม้ สำนักวิจัยการจัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้ กรมป่าไม้ (2548)
จากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่าเมื่อเปรียบเทียบความแข็งแรงกับไม้โตเร็วบางชนิด เช่น ยางพารา จำปาป่า กระถินเทพา และยูคาลิปตัสแล้ว ไม้ตะกูมีค่าความแข็งแรง ความเหนียวจากการเดาะและความแข็งต่ำที่สุด
ส่วนเรื่องราคาไม้ตะกูยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากไม่มีเผยแพร่จากกลุ่มผู้ค้าไม้ และราคาจากการสอบถามชาวบ้านแต่ละท้องที่ก็ยังไม่แน่นอน
แต่ข้อจำกัดของการปลูกไม้ตะกูก็คือ ถ้าปลูกในที่ค่อนข้างแห้งแล้งและสภาพแวดล้อมไม่ใกล้เคียงกับความเป็นอยู่ในธรรมชาติดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว จะได้ผลผลิตที่ดีดังที่มีการโฆษณาเพื่อชักชวนให้ปลูกหรือไม่ อีกทั้งควรมีการตรวจสอบวงปี (annual ring)โดยผู้เชี่ยวชาญทางกายวิภาคและการพิสูจน์ไม้เสียก่อนว่าสวนป่าไม้ตะกูที่มีความโตประมาณ 1 คนโอบมีอายุการปลูกประมาณ 5-6 ปีจริงหรือไม่ เพื่อความมั่นใจได้ว่าเกษตรกรหรือเอกชนผู้สนใจจะปลูกสร้างสวนป่าไม้ตะกูจะไม่ถูกหลอกลวงหรือโฆษณาชวนเชื่อเกินความเป็นจริงเพื่อขายกล้าไม้ซึ่งมีราคาสูงมากในตลาดซื้อขายกล้าไม้ โดยอยู่ระหว่างช่วงราคาประมาณต้นละ 70-150 บาทหรือถ้าไม้ตะกูเป็นไม้ที่มีการเจริญเติบโตที่เร็วมากดังกล่าวจริง คุณภาพของเนื้อไม้จะเป็นอย่างไรบ้าง เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วการปลูกสร้างสวนป่าถ้ามีการเร่งให้ต้นไม้มีการเจริญเติบโตมากเร็วเกินไปแล้วคุณภาพเนื้อไม้และความแข็งแรงทนทานก็จะต่ำลงไปด้วย เพราะฉะนั้นก่อนที่ท่านจะพิจารณาที่จะปลูกไม้ตะกูโดยซื้อกล้าไม้มาปลูกควรคิดให้รอบคอบเสียก่อนว่าคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ มิฉะนั้นแล้วประวัติศาสตร์จะไปซ้ำรอยกับไม้เพาโลเนีย ซึ่งมีการการโฆษณาเพื่อชักชวนให้ปลูกเพื่อที่จะทำกำไรในการขายกล้าไม้ในราคาแพงของผู้ประกอบการและก็ไม่ได้ผลดีจริงเหมือนอย่างที่บอก
หวัดดีครับ
เดี๋ยวนี้ที่บ้านผมหาดูยากแล้ว
เมล็ดพันธุ์ดาวเรืองงตัดดอกลูกผสม ภูพานเพชร เมล็ดพันธุ์ดาวเรืองกระถางลูกผสม ภูพานทอง
Marigold Seeds F1 PhuPhanPhet – PhuPhanThong
hạt giống hoa cúc vạn thọ (PhuPhanPhet) - PhuPhanThong
เมล็ดพันธุ์ดาวเรืองลูกผสม ภูพานเพชร
ความสูงต้น 70-100 ซม. ขนาดดอก 8-10 ซม. อายุออกดอก 58 วัน หลังเพาะเมล็ด
Marigold Seed F1 PhuPhanPhet
Plant Height 70-100 cm. Flower size 8-10 cm. first flower 58 days after seedling.
hạt giống hoa cúc vạn thọ (PhuPhanPhet)
Cây cao từ 70-100 cm cho hoa kích thước 8-10cm. Cây sẽ ra hoa sau 58 ngày gieo hạt
เมล็ดพันธุ์ดาวเรืองลูกผสม ภูพานทอง
ความสูงต้น 30-45 ซม. ขนาดดอก 7-9 ซม. อายุออกดอก 45 วัน หลังเพาะเมล็ด
Marigold Seed F1 PhuPhanThong
Plant Height 30-45 cm. Flower Size 7-9 cm. first flowering 45 days after seedling
hạt giống hoa cúc vạn thọ (PhuPhanThong)
Cây cao từ 30-45cm cho hoa kích thước 7-9cm. Cây sẽ ra hoa sau 45 ngày gieo hạt
ดูรายละเอียด เพิ่มเตืม
Email: [email protected]