การเยี่ยมบ้านนักเรียน เป็นการทุ่มเทของผู้มีจิตวิญญาณและมีจรรยาบรรณของความเป็นครู…( สมควรให้ใบประกอบวิชาชีพครูตลอดชีวิต ) เพราะเท่าที่พูดคุยกับเพื่อนครูด้วยกัน หลายคนมุ่งหน้าฝ่าฟันไปให้ถึงบ้านลูกศิษย์ให้ได้ ไม่ว่าแดดกล้า ลมแรง สายฝนกระหน่ำโปรยปรายพียงใดก็จะไปให้ถึง...เพื่อให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของลูกศิษย์...ส่วนลูกที่บ้านก็จะเกิดทักษะการดูแลตัวเองไปด้วย....
การเยี่ยมบ้าน....บางบ้านก็มีลูกศิษย์ขอมีส่วนร่วมขณะที่ครูคุยกับพ่อแม่...ขณะที่ฟังนักเรียนนั่งคิ้วขมวดตลอดเวลา...ส่วนพ่อก็คุยถึงชีวิตการดิ้นรนต่อสู้กว่าจะมาถึงวันนี้....กว่าจะมีทุกสิ่งทุกอย่างให้ลูก แล้วสรุปว่าลูกทำไมถึงได้เกเร...ก้าวร้าว...ผลการเรียนก็สู้พ่อแม่ไม่ได้ทั้งที่เกิดมาสบายกว่า....แล้วยังมีทั้งคนที่ช่วยดึงและช่วยดัน อย่างมากมาย พ่อแม่รู้สึกผิดหวังและเสียใจ ที่ลูกไม่เป็นไปตามที่พ่อแม่คาดคิด
เสร็จจากเยี่ยมบ้าน (ที่บอกว่ามีให้ลูกทุกอย่าง )....ช่วงที่ขับรถกลับ....คิดมาตลอดทางว่า ....จริงๆแล้ว ครอบครัวนี้ไม่ได้มีไม่มีให้ลูกทุกอย่างอย่างพอเพียงและสมดุล....แต่ครอบครัวนี้กลับมีสิ่งที่เกินความจำเป็นของลูก....เพียงแค่เห็นภาษากายของนักเรียนที่นั่งขมวดคิ้วตลอดเวลา...บางช่วงที่นักเรียนพูดแทรกด้วยน้ำเสียงกดดันว่าผมรู้ว่าพ่อสร้างตัวมาด้วยเงิน 4 บาท แต่ผม....( ยังไม่ทันที่ลูกจะได้พูดต่อพ่อก็พูดตัดบท )...เป็นการเยี่ยมบ้านที่ใช้เวลานานและเครียดเพราะผู้ปกครองนำเสนอข้อมูลเพียงฝ่ายเดียวแบบหยุดไม่อยู่....ทำให้ผู้มาเยี่ยมและลูกก็เครียดไปด้วย
เหตุการณ์เครียดๆนี้ ....ทำให้กลับมาคิดว่า....การยัดเยียดข้อมูลที่ทุกข์ระทมของผู้ปกครองมากเกินไป แทนที่จะเป็นแบบอย่างให้นักเรียน กลับกลายเป็นต้นแบบของการคาดหวังที่นักเรียนมองเห็นไม่ชัด เพราะการคาดหวังนั้นเป็นการใช้เรื่องราวอันเป็นที่มาของอุดมคติส่วนตัว อันเกิดสังคมที่มีความแตกต่างกับสังคมปัจจุบันอย่างมาก การเปรียบเทียบโดยลืมมองไปว่าสังคมคนรุ่นลูก....เขาก้าวสู่สังคมโลกตามยุคสื่อสารไร้พรมแดนไปแล้ว...ความขัดแย้งก็เกิดขึ้นในใจลูก
การเล่าประสบการณ์ และเรื่องราวที่มาจากความลำบากในอดีต....จึงไม่ควรเล่าพร่ำเพรื่อ..การเล่าเพื่อยัดเยียดให้เห็นแบบอย่างและทำตาม ควรเล่าเป็นสื่อให้ลูกได้ซักถามด้วยความสนใจจะดีกว่า....ที่สำคัญอย่าเอาบรรทัดฐานต่างยุคมาคาดหวัง...การจัดสรรความรู้และประสบการณ์ให้ลูก...ต้องคำนึงถึงวัย ธรรมชาติลูกและสังคมรอบๆตัวลูกด้วย...ว่าเขาควรจะรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้มากน้อยแค่ไหน....อย่าให้เรื่องเล่ากลายเป็นความกดดันที่ลูกไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็นผลร้ายมากกว่า แทนที่ลูกจะเอาเวลาไปหาความรู้เรื่องอื่นหรือพูดคุยกับพ่อแม่เรื่องอื่นบ้าง กลับมาฟังเรื่องทุกข์เข็ญของจอมระทมนิรันดร จากพ่อแม่มีแต่เรื่องเศร้าเล่าไม่รู้จบ นอกจากจะทำลายเวลา แล้วทำลายโอกาสในการรับรู้เรื่องดีๆของลูกไปในเวลาเดียวกันอีกด้วย
ประสบการณ์จากเยี่ยมบ้านนักเรียน ถ้าได้นำแต่ละกรณี มาเขียนแล้วช่วยกันคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาให้นักเรียนได้อย่างเด่นชัด จะเป็นผลงานด้านการดูแลช่วยเหลือและเป็นผลงานเชิงประจักษ์ ที่ครูจะได้เลื่อนวิทยฐานะเป็นครูเชี่ยวชาญ ...ที่มีค่าตอบแทนเป็นบุญกุศลค่ะ..... ลองเอาเรื่องที่ประสบมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ....จะมีพลังและแนวทางช่วยเหลือนักเรียนจะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล ทรัพยากรมนุษย์ก็จะได้รับการพัฒนาอย่างถูกทาง จากประสบการณ์จริง และสังคมจริงๆของเรา.
สวัสดีครับ
***ขอบคุณค่ะครูสุ
***เห็นภาพครูสุไปเยี่ยมบ้านแล้ว..ขอเป็นกำลังใจ
***ใช่ค่ะ...บางบ้านอยู่อย่างพอเพียง..ไม่มีอะไรมากมาย..แต่ก็สามารถบริหารจัดการให้ครอบครัวมีความสุขได้
มาเยี่ยม คุณ กิติยา เตชะวรรณวุฒิ
เป็นการเชื่อมต่อสายสัมพันธ์ระหว่างเด็ก ครู และผู้ปกครองที่ดีนะครับผม
สวัสดีค่ะอาจารย์
***ได้สัมผัสเด็กๆและผู้ปกครองอย่างใกล้ชิดค่ะ
***อาจารย์ และคุณคนตัวเล็ก สบายดีนะคะ
***ขอบคุณที่แวะมาค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์กิติยา
สวัสดีค่ะอาจารย์
***รู้สึกชื่นชมอาจารย์ด้วยใจจริง อาจารย์อยู่กับวิทย์ และเทคโนโลยี แต่มีศิลปะในการประพันธ์ สิ่งที่รังสรรค์ขึ้นมาเป็นทรัพย์สินทางปัญยาที่ทิ้งไว้ให้โลกได้ชื่นชม เหมือนที่ หยก บูรพา กล่าวว่า คนที่สร้างงานเขียน คือคนที่สร้างอนุสาวรีย์สำหรับตัวเอง อยากอ่านหนังสือที่อาจารย์เขียนด้วยค่ะ
***ขอบคุณค่ะ***
เรื่องการคาดหวังของผู้ปกครองนี้หนูเห็นด้วยกับอาจารย์เลยค่ะ ทำไมพ่อแม่ถึงไม่เข้าใจพวกเราบ้าง อย่างครอบครัวของหนู พ่อกับแม่ก็มักจะเปรียบเทียบสมัยเรากับสมัยที่ท่านเรียน สมัยที่ท่านต่อสู้ทำงานต่างๆ ฯลฯ ตัวหนูเองก็ถูกบังคับให้เรียนสายวิทย์ และจะต้องเป็นเภสัชกรให้ได้ ทั้งๆที่หนูเกลียดคณิตศาสตร์สุดชีวิต จะให้คำนวณเลขสู้ให้อ่านหนังสือเป็นพันๆหน้า ท่องจำเรื่องราวเป็นร้อยๆอย่างยังจะดีกว่าอีก แต่หนูไม่เครียดหรอกค่ะ เพราะหนูจะแอบขอย้ายแผนการเรียนโดยไม่บอกที่บ้าน ถึงรู้ตอนหลังก็รู้ไปสิ ก็ย้ายไปแล้วนี่นา เพราะความฝันเดียวของหนูมีอย่างเดียวเท่านั้น คือผู้พิพากษาค่ะ ครอบครัวเพื่อนๆของหนูก็ไม่ต่างกัน ถูกบังคับให้ต้องเรียนอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เลิกเรียน 5 โมงก็เรียนพิเศษต่อถึง 2 ทุ่ม(ห้องที่หนูกำลังเรียน เลิก5โมงเย็นค่ะ) เสาร์ อาทิตย์ก็เรียนพิเศษทั้งวัน บังคับให้ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ พวกเราก็รู้นะคะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความหวังดีทั้งสิ้น แต่อยากให้เข้าใจถึงวัยของพวกเราบ้าง และการที่จะทำงานนั้นๆโดยที่ใจเราไม่รัก แล้วงานจะออกมาดีได้อย่างไร ต้องทำเพราะความจำใจ ไม่ได้ทำออกมาจากใจเลย ทุกวันนี้การเรียนการทำงานมีการแข่งขันกันสูงมาก สังคมก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยการจะขึ้นมาเป็นที่1ได้นั้นยากมาก อยากให้พ่อแม่เข้าใจพวกเราบ้าง อย่าคาดหวังพวกเราไว้มากนัก และชื่นชมอาจารย์ทุกๆท่านเรื่องการเยี่ยมบ้านนักเรียนนะคะ บางท่านนี่เจอฝนตก รถติดหล่มต้องลงมาช่วยกันเข็น เข้าไปในป่าเพื่อที่จะไปให้ถึงบ้านของนักรียนให้ได้ กลับถึงบ้านตนเองก็ดึก บางท่านก็เจอเรื่องเครียดๆของครอบครัวเด็กนักเรียนอีก รู้สึกเลยถึงความเป็นห่วง ความเอาใจใส่ของอาจารย์ค่ะ ขอชื่นชมและขอบคุณแทนเพื่อนๆนักเรียนทุกคนค่ะ
การไปเยี่ยมบ้านนักเรียนเป็นกิจกรรมที่สามารถเข้าใจสภาพนักเรียนและสาเหตุที่ส่งผลกระทบต่อการเรียนของนักเรียนได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ได้เห็นสภาพครอบครัวพื้นฐานความคิดของบุคคลในครอบครัวสภาพแวดล้อม เป็นกิจกรรมที่สร้างความผูกพันระหว่างครูและศิษย์ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ และครูอาจจะเข้าใจนักเรียนมากขึ้น