เรื่องของฝ่ายขวากับฝ่ายซ้าย ดอกไม้ และความรัก


เรื่องของการอยู่ในโลกแบบทวินิยม เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้ามองเห็นว่าเป็นเหตุแห่งความทุกข์และความขัดแย้งอย่างมากในปัจจุบันนี้  น่าแปลกใจที่เมื่อก่อนนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้คิดเห็นเป็นแบบนี้ และไม่รู้ตัวรู้ตนด้วยซ้ำว่าโลกทวินิยมมันเป็นแบบไหนอย่างไรกันแน่  แต่หลังจากไปปฎิบัติธรรมกลับมาและพยายามปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้าก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น  มีหลายเรื่องในชีวิต ที่ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นเปลี่ยนแปลงไป 

ประการแรกคือการเลือกข้างและ การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังมา  ข้าพเจ้าจะพยายามฟังและคิดพิจารณามากขึ้น  และมองเห็นความทุกข์ของคนทั้งสองฝ่ายได้ชัดเจนขึ้น 

มีคำกล่าวหนึ่งที่ได้ยินได้ฟังมาก็คือ การที่เราพยายามทำลายและทำร้ายใครก็ตามที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามเรา นั่นคือการทำลายตัวเราเองด้วย  เมื่อเราทำร้ายศัตรูเรา  ก็เหมือนกับเรากำลังทำร้ายตัวเองด้วย  คำกล่าวดังนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีความสงสัยในใจมาก  สงสัยว่าทำไมมันจึงกลายเป็นเช่นนั้นได้  จนเมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของหลวงปู่ติช ท่านกล่าวถึงเรื่องการแบ่งแยก เราทั้งหลายนั้นเมื่อไม่ชอบสิ่งใด ก็จะพยายามแบ่งแยกมันออกไป และพยายามกำจัดมันออกไปจากชีวิต  ท่านกล่าวว่า เราทำเช่นนั้นไม่ได้  เพราะสิ่งทั้งหลายนั้นมีความเกี่ยวเนื่องกันและดำรงอยู่ได้โดยเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เราจะเห็นคุณค่าของความดีก็เมื่อมีความชั่วปรากฏออกมา  ความคิดเห็นแบบทวินิยมจึงเป็นสิ่งที่เราต้องเอามันออกไป ท่านใช้คำว่า remove   การดำรงอยู่ของสิ่งหนึ่ง ย่อมมีสิ่งอื่นๆ มาเกี่ยวเนื่องด้วยเสมอ เราไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของเราเองอย่างเป็นเอกเทศ   ท่านใช้คำว่า เราเป็นดั่งกันและกัน (interbeing )

ไม่มีเธอไม่มีฉันเราเป็นดั่งกันและกัน  นี่คือคำกล่าวนั้น 

ข้าพเจ้าได้ยินคำกล่าวที่คล้ายคลึงกันนี้เมื่อได้พูดคุยกับท่านวิปัสสนาจารย์ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่  ท่านกล่าวว่า ที่จริงแล้วในโลกนี้ ไม่มีตัวตน บุคคลเราเขาหรอก เขากับเราก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เป็นเพียงรูป กับ นาม เท่านั้น

แต่การที่เราจะมองเห็นแบบชัดเจนแจ่มแจ้งแบบนั้นได้ ต้องผ่านการฝึกปฎิบัติด้วยวิชาของพระพุทธเจ้ามาสักระยะหนึ่ง  ผ่านการทำสมาธิภาวนาจนรู้แจ้งด้วยปัญญา  เมื่อถึงเวลานั้นเราจึงจะเริ่มปล่อยวางตัวตนลงและเลิกแบ่งแยก เลิกคิดแบบทวินิยมได้ในที่สุด ข้าพเจ้าคิดเห็นไปว่า เมื่อเราเลิกแบ่งแยก และสามารถ remove ความคิดเห็นแบบทวินิยมออกไปได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็คือการเริ่มเข้าสู่หนทางแห่งการบรรลุธรรม  อย่างแท้จริง

แต่สำหรับคนทั่วๆไป ออกจะยากอยู่ที่จะมองเห็นแบบนั้น เราทั้งหลายมักจะมองว่า เมื่อมีขาวก็ต้องมีดำ มีดีก็ต้องมีชั่ว การมีคู่ตรงข้ามแบบนั้นอาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้มากจนเกินไปนั่นคือต้นเหตุแห่งความทุกข์ 

มีเรื่องเล่าของหลวงปู่ติชในหนังสือที่ท่านเขียน ท่านกล่าวถึงเรื่องข้างขวากับข้างซ้าย  ท่านกล่าวเปรียบเทียบทำนองว่า  ถ้าเรามีกิ่งไม้อยู่กิ่งหนึ่ง ให้ด้านหนึ่งของกิ่งไม้เป็นด้านขวา อีกด้านหนึ่งเป็นด้านซ้าย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรามีความเห็นว่า เราไม่ชอบกิ่งด้านขวาเลย เราจึงตัดมันออกไป   แต่หลังจากตัดกิ่งไม้นั้นไปเราจะได้กิ่งไม้ที่สั้นลง และปลายอีกด้านมันก็ยังเป็นด้านขวาอยู่ดี  เราได้กิ่งไม้ที่สั้นกว่าเดิมแถมด้านขวายังเข้ามาใกล้ด้านซ้ายฝั่งเรามากขึ้นอีก  และเมื่อเรายังพยายามกำจัดมันออกไปคือตัดทางด้านขวาออกไปอีก  เราก็จะได้กิ่งไม้สั้นๆ  ที่ใช้การใช้งานอะไรไม่ได้อีกต่อไป  พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าจึงนึกถึงคำกล่าวที่เคยได้ยินได้ฟังมาครั้งหนึ่งได้  และเข้าใจอย่างลึกซึ้งขึ้นมาว่า ทำไมการทำร้ายศัตรูก็คือการทำลายตัวของเราเอง   เพราะเราทั้งหลายต่างก็เหมือนกับไม้แท่งนั้น  เมื่อมีฝ่ายรัฐบาลก็ต้องมีฝ่ายค้าน  เมื่อมีภาคเหนือก็ต้องมีภาคใต้ เมื่อเมื่อภาคตะวันออกก็ต้องมีภาคตะวันตก  แต่ทั้งหมดคือหนึ่งเดียวคือประเทศไทยเหมือนกัน  การคิดที่จะกำจัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไปจึงเป็นความคิดเห็นที่อันตรายอย่างยิ่ง  เราต่างดำรงอยู่ได้ขณะนี้เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน  มันเป็นของมันแบบนั้น

ข้าพเจ้าก็มีความเห็นแบบทวินิยมอย่างสุดโต่งมาก่อน เริ่มจากในที่ทำงานของข้าพเจ้า สมัยที่ข้าพเจ้ารับราชการอยู่นั้น ข้าพเจ้ามีความเบื่อหน่ายเพื่อนร่วมงานที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามเป็นอย่างยิ่ง  มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าทนไม่ได้ก็คือการทำงานกับผู้ร่วมงานที่ขี้เกียจและไม่มีความรับผิดชอบ  แถมมีความคิดในใจว่า ถ้าหากมีโอกาสได้เป็นใหญ่เป็นโตหรือมีอำนาจอะไรบางอย่าง ข้าพเจ้าจะขอรื้อระบบและเชิญผู้ที่ขี้เกียจทำงานทั้งหลายให้ออกไปจากระบบเสียให้หมด และมักจะบ่นด่าผู้ร่วมงานบางคนอยู่เป็นประจำ บางครั้งก็คิดว่าทำไมเขาต้องเป็นแบบนั้น  ทำไมไม่เป็นแบบนี้ มานึกย้อนดูข้าพเจ้ามีความคิดในทางที่ร้ายแรงมากทีเดียว  โชคดีที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโต แถมยังเชิญตัวเองออกมาจากระบบเสียเอง ด้วยความเบื่อหน่าย  สงสัยข้าพเจ้าจะคิดว่าตัวเองดีเสียเต็มประดา แล้วอ้างว่าทนอยู่กับระบบไม่ได้  แต่นั่นทำให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นจากผู้ร่วมงานบางคนที่ข้าพเจ้ารู้สึกเบื่อหน่ายมาได้ และบางทีพวกเขาต่างก็อาจจะดีใจด้วยซ้ำที่ข้าพเจ้าไปเสียได้เช่นกัน

บางครั้งเมื่อเรารู้สึกไม่พอใจการกระทำของใครก็ตาม เรามักจะคิดเห็นไปว่า เขาควรจะทำตัวอย่างนั้น น่าจะรู้จักทำแบบนี้  และนี่ก็คือความคิดที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงคนอื่นให้เป็นไปตามที่เราต้องการ  ซึ่งเป็นเรื่องที่เราคิดผิดอย่างมาก เพราะในที่สุดแล้วคนที่เราจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้จริงๆน่าจะเป็นตัวเราเอง  ความคิดเห็นที่จะเปลี่ยนแปลงคนอื่น แล้วพูดว่าเขาควรจะทำอย่างนั้นอย่างนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เราเป็นทุกข์เสียมากกว่า เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้

เรื่องนี้มีคำสอนเปรียบเทียบที่สวยงามจากหลวงพี่พิทยา ลูกศิษย์ชาวไทยของหลวงปู่ติช  ท่านกล่าวว่า การที่คนคนหนึ่งมีนิสัยไม่น่ารัก เพราะเขามีเหตุและปัจจัยมาแบบนั้น เพราะเขามาจากเหตุและปัจจัยที่ต่างจากเรา นิสัยและความคิดเห็นต่างๆจึงไม่เหมือนเรา  เปรียบเทียบคนเราก็เหมือนดอกไม้หลายๆชนิด   คนหนึ่งก็อาจจะเป็นดอกกุหลาบ บางคนก็อาจจะเป็นดอกชนิดนั้น ชนิดนี้  แล้วเราจะพยายามเปลี่ยนให้เขาเป็นดอกบัวเหมือนเราได้อย่างไร ดอกกุหลาบก็คือดอกกุหลาบ เขาก็มีความสวยงาม แบบดอกกุหลาบ  ท่านกล่าวทำนองว่าดอกไม้บางชนิดก็ไม่สวยงามอะไรและอาจจะไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีคุณค่าอะไร แต่เมื่อเรามองอย่างลึกซึ้งแล้ว ดอกไม้บางชนิดที่ว่าก็มีความสวยงามเฉพาะตัวอยู่บ้าง  ท่านพยายามบอกว่าเรานั้นต่างมีความน่ารักและไม่น่ารักอยู่ในตัว  แต่การพยายามจะไปคิดแทนหรือพยายามไปแปรเปลี่ยนคนอื่นนั้น ก็เหมือนการพยายามจะแปรเปลี่ยนให้ดอกกุหลาบ กลายพันธุ์เป็นดอกบัวนั่นแหละ  ข้าพเจ้าเห็นจริงตามที่ท่านว่า  และก็นึกได้ว่าที่ผ่านมานั้น  ข้าพเจ้าเป็นทุกข์อย่างมากมายเพราะว่าไปคิดพยายามเปลี่ยนแปลงพันธุ์ของดอกไม้นี่เอง  เพราะการคิดแบบนั้นยากยิ่งกว่าการตัดต่อพันธุกรรมทำพืช GMO เสียอีก 

แล้วเราจะอยู่อย่างไรกับคนที่ไม่น่ารักในสายตาของเรา  อันนี้หลวงพี่ท่านก็แนะนำว่า  การที่เราจะทอดทิ้งเขาหรือไม่ยอมคบหาเขาเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะการอยู่กับเขาและเมตตาต่อเขาก็อาจจะช่วยให้เขาแปรเปลี่ยนได้  แต่การแปรเปลี่ยนนั้นต้องมาจากใจของเขาเองที่ต้องการจะแปรเปลี่ยน  ท่านเน้นย้ำว่า คนเราแต่ละคนนั้นต่างมีความน่ารัก มีความดีอะไรบางอย่างอยู่ในตัวไม่มากก็น้อย  เมื่อเราเห็นสิ่งที่เขาทำแล้วไม่น่ารัก ไม่ถูกใจเรา ก็ถือว่านี่คือระฆังแห่งสติที่จะเตือนเราไม่ทำตัวแบบนั้น  สุดท้ายเราอาจต้องพยายามมองอย่างลึกซึ้งและเข้าใจเขา เพราะเขามีเหตุมีปัจจัยให้เติบโตมาเป็นแบบนั้น 

สิ่งที่หลวงพี่แบ่งปันทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคนในวัยหนุ่มสาวทั้งหลายที่กำลังมีความทุกข์จากความรัก  พวกเขามีความรักแบบที่มักจะคาดหวังและคิดจะแปรเปลี่ยนคนที่ตัวเองรัก  และนั่นจะเป็นเหตุแห่งความทุกข์อันใหญ่หลวงในที่สุด  ตอนที่รักกันใหม่ๆคนทั้งสองคนมักจะอยู่ในโลกของจินตนาการ และมองตัวตนของแต่ละฝ่ายไม่ชัดเจน และมักจะใส่ความคิดเห็นของตัวเองเข้าไปด้วย ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นแบบนั้น น่าจะทำอย่างนี้ แต่เมื่อวันหนึ่งได้รู้จักกันมากขึ้น ได้มองเห็นตัวตนที่แท้จริงกันมากขึ้น และไม่เป็นไปตามความคิดฝันที่ใส่แต่งเติมไว้ ก็จำต้องเลิกลากันไป  และมักจะมีคำกล่าวอ้างว่า ทัศนคติไม่ต้องกัน

เมื่อเรารักใครสักคน เราอาจจะต้องปล่อยวางความคาดหวังและความคิดเห็นบางอย่างไปก่อน  แถมต้องรู้จักที่จะมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งและเป็นกลางอย่างที่สุดก่อนด้วย   ไม่มีใครจะดีเลิศไปเสียทุกอย่าง  สิ่งที่เราจะต้องยอมรับแต่ต้นๆ คือความไม่น่ารักของเขาในบางเรื่อง  ไม่ใช่การพยายามจะแปรเปลี่ยนให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการ  ที่สำคัญเราต้องรู้จักรักตัวเอง และดูแลตัวเองให้ได้ก่อน     เราต้องมีพื้นที่ที่ว่างมากพอให้เขารู้สึกสบายใจ และไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไปเนื่องจากความรักอันมากมายจนเกินเหตุของเรา 

กลายเป็นว่า แม้แต่ในเรื่องของการใช้ชีวิตแบบทางโลก คำสอนในทางพุทธศาสนาก็สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้  แม้กระทั่งเรื่องการงาน  ความรัก และการอยู่ร่วมกันในสังคม  รวมทั้งมีแนวทางในการนำมาใช้แก้ไขความขัดแย้งในสังคมประเทศชาติด้วย 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #พุทธศาสนา
หมายเลขบันทึก: 189035เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2008 22:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:11 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ

คิดถึงหมอจังเลยอยากเม้าด้วยมากๆๆค่ะตอนนี้กุ้งเริ่มเข้าที่แล้วพร้อมออกตัวอิอิอิไว้กุ้งจะโทรหาหมอนะคะฝากดูแลหมออินทรด้วยนะคะกุ้งเข้าใจหมอนะคะและคิดว่าน้องๆๆทำไม่ถูกเลยเขาถึงไม่โทรมาหากุ้งไงคะ

take care ka

kungchan

สวัสดีจ้ากุ้งจัง

สุขสบายดีนะ อีกสองเดือนอย่าลืมไปขึ้นบ้านใหม่ที่ตึกเฮเลนด้วยกันล่ะ

ช่วงนี้ยุ่งจัง ไม่ค่อยได้เจอหมออินทรเช่นกัน ถ้ามีเวลาคงได้นั่งคุยกันมากขึ้น เรื่องการงานที่เป็นอยู่มีเรื่องต้องคุยกันหลายๆคน นั่งลงคุยกันอย่างเข้าใจน่ะ และคงต้องเปิดใจด้วย

สวัสดีครับ ผมชื่อก๊อดนะครับ คือว่า ผมในตอนนี้ก็เรียนหนังสืออยู่นะครับ ในชีวิตก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ว่าอยากค้นหา สัจธรรมที่แท้จริง วันนี้ผมได้ เข้า google และก็ได้มาอ่านบทความ ข้างบนนี้ ก็รู้สึกว่า อ่านแล้วรู้อะไรขึ้นเยอะเลย จึงอยากขอบคุณที่มีอะไรดีๆ มาให้อ่านนะครับ

ปล. ผมอยากคุยกับท่านๆ ที่พอจะชี้แนะแสงสว่างให้ได้นะครับ ช่วย add มาคุยกันหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ

ทะเลทุกข์กว้างไกลไร้ขอบเขต แต่ก็มิใช่หมดหนทางบรรลุธรรม

สวัสดีค่ะน้องก๊อด

ดีใจค่ะที่ Young generation ต่างหันมาสนใจในเรื่องของ สัจธรรม ค้นหาเรื่องราวด้านใน  คำสอนของพระพุทธองค์ มีความเป็นวิทยาศาสตร์และลึกซึ้ง  วิถีพุทธที่แท้ มีสิ่งดีๆ มากมาย  และเป็นประโยชน์ในการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน  ทำให้เราอยู่อย่างไม่ทุกข์มาก

เป็นดังที่น้องว่าค่ะ " ทะเลทุกข์กว้างไกลไร้ขอบเขต  แต่ก็มิใช่หมดหนทางบรรลุธรรม "

สนใจเรื่องราวเหล่านี้ ไปที่นี่ได้ค่ะ  มีทั้งสามสายการปฎิบัติ 

www.vipassanacm.com/th/home.aspx

www.thaiplumvillage.org

www.vichak.blogspot.com

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท