หน้าแรก
สมาชิก
ไก่...กัญญา
สมุด
ชาว AE รพ.ศรีนคริ...
กระบวนทัศน์ใหม่ :...
ไก่...กัญญา
นางสาว ไก่...กัญญา วังศรี
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
กระบวนทัศน์ใหม่ : เครื่องมือในการทำงาน (2)
เทคนิควิธีและเครื่องมือในการทำงาน (2)
สวัสดีค่ะ วันนี้ ต้องเตรียมความรู้ใหม่ ๆ เพื่อนำไปแชร์ให้กับพยาบาลน้องใหม่ของแผนก AE ให้รับทราบข้อมูลด้านคุณภาพว่าทำไมต้อง HA เครื่องมือคุณภาพ ต่อจากตอนที่ 1 ค่ะ
ตอนที่ 2
เทคนิควิธีและเครื่องมือในการทำงาน
ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น หน้าที่สำคัญประการหนึ่งของวิทยากรเครือข่ายชุมชน คือ การฟื้นฟูและพัฒนาความเชื่อมั่นในศักยภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่แล้วให้เกิดขึ้นให้ได้เพื่อชุมชนสามารถแก้ปัญหาและพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพในการ พัฒนาศักยภาพดังกล่าว วิทยากรเครือข่ายชุมชนต้องมีเทคนิคและเครื่องมือในการทำงานดังนี้
ก. เทคนิคและเครื่องมือในการพัฒนา
1.
เทคนิคการพัฒนาขีดความสามารถของคน
1.1
เทคนิคการพัฒนาระดับการคิดของประชาชน
การช่วยยกระดับการคิดของประชาชนให้มีความสามารถในการคิดสูงขึ้น เพื่อช่วยให้ประชาชนมองเห็นทิศทางและแนวทางใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาและพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้งและกว้างขวางมากยิ่งขึ้น จำแนกได้
7
ระดับ ดังนี้
1)
การแลกเปลี่ยนความคิด (
Sharing ideas)
2)
การคิดเพื่อการจับประเด็นสำคัญร่วมกัน (
Exploring ideas )
เป็นการที่มีการกำหนดขอบเขตและเป้าหมาย ผู้เข้าร่วมประชุมจะช่วยกันพิจารณาเสนอและมีสรุปประเด็นสำคัญ ๆ ร่วมกัน
3)
การคิดเพื่อการระดมสมอง (
Brainstroming)
เป็นการร่วมกันแสดงความคิดหลังจากที่สามารถกำหนดประเด็นที่สำคัญ ๆ ได้แล้ว โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะช่วยกันแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนั้น ๆ อย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง
4)
การคิดสร้างสรรค์ (
Creative Thinking)
เป็นการคิดที่พัฒนาขึ้นมาจากระยะที่
3
ภายหลังที่ได้ร่วมแสดงความคิดต่อประเด็นนั้น ๆ อย่างกว้างขวางแล้ว หากวิทยากรเครือข่ายชุมชนสามารถดำเนินการประชุมได้เป็นอย่างดี ก็สามารถช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมค้นพบความคิดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น
5)
การคิดที่เกิดจากแรงบันดาลใจใหม่ ๆ (
Inspiration)
เป็นการคิดที่พัฒนาจากระดับที่
4
ผู้เข้าร่วมประชุมจะเกิดจินตนาการและเกิดความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาทิศทางและแนวทางใหม่รวมทั้งเกิดความเชื่อมั่นในพลังแห่งการคิดของตนเอง
6)
การคิดเชิงวิเคราะห์ (
Analysis)
เป็นการคิดที่ต้องอาศัยวิจารณญาณอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง มองเห็นการเชื่อมโยงของเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรอบด้าน ทำให้คิดพิจารณาในเรื่องนั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง
7)
การคิดในขั้นสูงสุด (
Critical Thinking)
หมายถึงระดับการคิดที่ช่วยให้สามารถเข้าใจเรื่องหนึ่งได้อย่างแจ่มแจ้ง ถึงขั้นที่สามารถจัดการกับเรื่องนั้นได้อย่างเด็ดขาด เป็นความคิดที่จะปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของคนในท้องถิ่นได้
1.2
เทคนิคการฟัง
ในการสื่อสารกันระหว่างมนุษย์นั้น ร้อยละแปดสิบใช้การฟัง
เพียงร้อยละยี่สิบเท่านั้นที่ใช้ในการพูด การรู้จักฟังอย่างฉลาด
เป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การฟังจึงเป็น
เรื่องสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของวิทยากรเครือข่ายชุมชน
วิทยากรเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นชุมชนต้องรู้จักฟังอย่างลึกซึ้ง
ซึ่งหมายถึง การฟังด้วยกายและใจ เป็นการฟังที่มีความหมายมาก
เพราะเป็นการแสดงออกซึ่งการเคารพและเชื่อมั่นในคุณค่าของผู้พูด
การฟังเช่นนี้จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญ
3
ประการ คือ
1)
ต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลาที่ฟัง
2)
ต้องมีจิตใจที่จดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฟัง
3)
ต้องมีที่ท่าที่ช่วยให้ผู้พูดเกิดความเชื่อมั่นและ
ภูมิใจที่จะพูดให้ฟังวิทยากรเครือข่ายชุมชนต้องสามารถจับ
ประเด็นและเชื่อมโยงประเด็นได้เป็นระบบ รวมทั้งต้อง
สามารถมองเห็นคุณค่าของเรื่องที่กำลังฟังได้อย่างชัดเจนด้วย
วิทยากรเครือข่ายชุมชนฟังโดยไม่ประเมินและตัดสินความคิดของผู้พูด
เพราะจะเป็นการสกัดกลั้นและบั่นทอนการพูด แต่ต้องเป็นการฟัง
ที่ช่วยให้ผู้พูดเกิดความมั่นใจและภาคภูมิใจที่พูดอย่างเต็มที่
ดังนั้น การฟังของวิทยากรเครือข่ายชุมชนจึงต้องฟังอย่างสร้างสรรค์โดยแท้
1.3
เทคนิคการพูด
คนโดยทั่วไปมักเข้าใจว่า การพูดเป็นการเปล่งถ้อยคำ
ออกมาเป็นเรื่องราวเท่านั้น แท้จริงการพูดที่ลึกซึ้งหมายรวมถึง
การใช้ถ้อยคำและท่าทางผสมกลมกลืนกันไป รวมทั้งการแสดง
สีหน้าที่ปรากฏต่อการรับฟังของผู้ฟังด้วย วิทยากรเครือข่ายชุมชน
จะต้อง
ตระหนักอยู่เสมอว่าท่านสามารถใช้เสียงพูดและกริยาท่าทางของท่านประดุจนักดนตรี
กล่าวคือ ท่านสามารถใช้เสียงพูดเพื่อประโยชน์อย่างน้อย
6
ประการ ดังต่อไปนี้
1)
ใช้เสียงพูดเพื่อการชี้นำ
2)
ใช้เสียงพูดเพื่อการกระตุ้นและปลุกเร้า
3)
ใช้เสียงพูดเพื่อการสนับสนุน
4)
ใช้เสียงพูดเพื่อการผ่อนคลาย
5)
ใช้เสียงพูดเพื่อการเสริมสร้างแรงบันดาลใจ
6)
ใช้เสียงพูดเพื่อการหยอกล้อ
การพูดที่ดีสามารถขับเคลื่อนมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์เคล็ดลับของการพูดที่มีประสิทธิภาพ
คือการพูดที่ตรงออกมาจากหัวใจแห่งความรักและความปรารถนาดี
มิใช่พูดออกมาจากหัวสมองอันแห้งแล้ง
การพูดที่มุ่งประโยชน์เพื่อผู้ฟังอย่างจริงจังและจริงใจ
วิทยากรเครือข่ายชุมชน จึงไม่ต้องเป็น
นักพูดหากแต่ต้องเป็นผู้มีความจริงใจในสิ่งที่พูด
และมีความรักในตัวผู้ฟัง
1.4
เทคนิคการจัดการข้อมูลข่าวสาร
วิทยากรเครือข่ายชุมชน
ต้องมีเทคนิคด้านการจัดการข้อมูลข่าวสาร
เพื่อสามารถกำหนดแนวทางไปสู่เป้าหมายที่ต้องได้ซึ่งได้แก่
การจัดหาและประเมินข้อมูลข่าวสาร
*
การนำข้อมูลข่าวสารแปลความสามารถแปลความและสื่อสาร
*
การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อประมวลข้อมูลข่าวสาร
1.5
เทคนิคการทำงานเป็นทีม
วิทยากรเครือข่ายชุมชน
ต้องสามารถทำงานเป็นทีมได้เข้าร่วมกับทีมที่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมต่างกันได้
ซึ่งการทำงานเป็นทีมมีเทคนิคดังนี้
*
การมีส่วนร่วมในฐานะสมาชิกของกลุ่ม โดยการให้ความร่วมมือร่วมใจอย่างเต็มความสามารถ
*
สอนหรือเผยแพร่ทักษะใหม่ ๆ
ให้กับบุคคลอื่น
*
บริการให้ผู้รับเกิดความพอใจ
*
แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้วยการแสดงความคิดเห็นที่ถูกต้องชัดเจนเหมาะสม
สามารถโน้มน้าวและชักจูงผู้อื่นได้
*
ริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ
คือการทำงานด้วยวิธีการคิดแบบใหม่ ๆ กำหนดและออกแบบหรือวางระบบใหม่
ๆ มีแนวทางแก้ปัญหาและพัฒนางานใหม่
ๆ ที่หลากหลาย
*
ทำงานร่วมกับบุคคลที่มีความหลากหลายได้ดี
1.6
เทคนิคการใช้เทคโนโลยี
*
การเลือกสรรเทคโนโลยี เช่น
การเลือกกระบวนการเครื่องมือ
หรืออุปกรณ์ รวมทั้งคอมพิวเตอร์และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
*
การประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อการทำงาน
*
การดูแลและการแก้ไขอุปกรณ์
ได้แก่ การป้องกันการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ทั้งที่เป็นคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีต่าง
ๆ
2.
เทคนิคการพัฒนาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน
ความสำเร็จของการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่น
ซึ่งสามารถจำแนกได้
7
ระดับ ดังต่อไปนี้
2.1
ระดับการมีส่วนร่วมโดยมีผู้กำกับอยู่เบื้องหลัง (
Manipulation)
หมายถึงการมีส่วนร่วมที่ประชาชนไม่ได้มีอิสรภาพ
เพราะไม่ได้ใช้ความคิดพิจารณาของตัวเองอย่างแท้จริง
แต่มีผู้กำหนดบทบาท จุดมุ่งหมายตลอดจนวิธีการดำเนินการ
คนในท้องถิ่นเพียงดำเนินการตามที่ผู้มีบทบาท
กำหนดไว้
2.2
ระดับการมีส่วนร่วมแบบปรึกษาหารือ
(Consultation)
หมายถึงการที่คนในท้องถิ่นถูกเชิญเข้าร่วมประชุมเพื่อขอความคิดเห็นโดยมีการกำหนดจุดมุ่งหมายและประเด็นตลอดจนมีการกำหนด
ข้อสรุปไว้ล่วงหน้า
ประชาชนเพียงแต่ทำหน้าที่ให้การรองรับตามความประสงค์ของผู้ดำเนินการเท่านั้น
2.3
ระดับการมีส่วนร่วมเพื่อรับรอง
(Consensus Building)
หมายถึงการที่ประชาชนถูกเชิญให้เข้าร่วมประชุม
เพื่อแสดงความเห็นพ้องกับสิ่งที่ผู้จัดประชุมได้มีข้อสรุปไว้แล้ว
ซึ่งอาจจะเป็นข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงก็ได้
หรือเป็นข้อสรุปที่แฝงผลประโยชน์ของผู้จัดการประชุม
2.4
ระดับการมีส่วนร่วมเพื่อการตัดสินใจ (
Decision Making)
หมายถึงการมีส่วนร่วมที่ประชาชนมีสิทธิมีเสียงในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
โดยคำนึงถึงความคิดเห็นและความต้องการของประชาชนเป็นสำคัญ
จึงเป็นการมีส่วนร่วมที่ให้ความสำคัญต่อความเห็นและความต้องการของประชาชนมากขึ้น
2.5
ระดับการมีส่วนร่วมที่ประชาชนมีส่วนต้องรับผิดชอบในผลของการตัดสินใจ
(Risk Sharing)
เป็นการมีส่วนร่วมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
รวมถึงมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อผลทีเกิดจากการตัดสินใจนั้นด้วย
การมีส่วนร่วมในระดับนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติยศและเชื่อมั่นในความคิดเห็นของประชาชนเป็นอย่างมาก
2.6
ระดับการมีส่วนร่วมแบบคนที่เท่าเทียมกัน (
Partnerships)
หมายถึงการมีส่วนร่วมที่ประชาชนเป็นผู้มีสิทธิในการตัดสินใจอย่างเต็มที่เป็นการเคารพในภูมิปัญญาตลอดจนในวัฒนธรรมของประชาชน
โดยถือว่าความคิดและวิถีของประชาชนมิได้มีคุณค่าน้อยไปกว่าความคิดและวิถีชีวิตของใคร
2.7
ระดับการมีส่วนร่วมที่ประชาชนพึ่งพาตนเอง (
Self Reliance)
หมายถึงการมีส่วนร่วมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนกำหนดทิศทางและแนวทางในการแก้ปัญหาและพัฒนาด้วยตัวของประชาชนเอง
อย่างเต็มที่
หน้าที่ของวิทยากรเครือข่ายชุมชน คือ การส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนร่วมกันใช้ความคิด
และภูมิปัญญาที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
เพื่อคนในท้องถิ่น โดยคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
ความหวังอันสูงสุดในการปฏิบัติหน้าที่ของวิทยากรเครือข่ายชุมชน
ก็คือการช่วยให้คนในท้องถิ่นสามารถมีส่วนร่วมในระดับที่เจ็ด
ซึ่งจะเป็นหลักประกันได้ว่าคนในท้องถิ่นจะสามารถพึ่งตนเองในการแก้ปัญหาและพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนการที่จะช่วยให้คนในท้องถิ่นบรรลุสู่ระดับนี้ได้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความเพียรพยายามอย่างเสียสละของผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน
3.
เทคนิคการจัดการความขัดแย้ง
ในการทำหน้าที่ของวิทยากรเครือข่ายชุมชน
ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะพบกับความขัดแย้งในรูปแบบต่าง
ๆ วิทยากรเครือข่ายชมุชนต้องไม่รู้สึกตื่นตระหนก
หากต้องเสียสละและพิจารณาหาวิธีการจัดการกับความขัดแย้งนั้นอย่างใจเย็นความขัดแย้งที่วิทยากรเครือข่ายชุมชนจะพบเห็นในการดำเนินงานอาจจำแนกออกได้เป็น
6
ลักษณะต่อไปนี้
3.1
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกขุ่นเคืองใจของ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม
ซึ่งมักจะแสดงออกโดยไม่รู้สึกตัวหรือไม่ตั้งใจแต่มีผลทำให้บรรยากาศของการจัดกิจกรรมไม่ราบรื่น
ความขุ่นเคืองนี้อาจติดค้างมาในใจก่อนที่จะเข้าร่วมกิจกรรมหรือเกิดขึ้นหลังจากเข้าร่วมกิจกรรมนี้แล้วก็ได้
หน้าที่ของวิทยากรเครือข่ายชุมชนก็คือ
ต้องคอยสังเกตและจับความขุ่นเคืองที่มีอยู่ภายในจิตใจของผู้เข้าร่วมประชุมโดยการสังเกตจากสีหน้าท่าทางตลอดจนวิธีการแสดงความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างใกล้ชิดวิธีการจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ตัววิทยากรเครือข่ายชุมชนก็ต้องคอยตรวจสอบความขุ่นเคืองที่อาจมีอยู่ในจิตใจของตัวเองด้วย
หากปล่อยไว้จะทำให้ปฏิบัติหน้าที่ไม่ราบรื่น
3.2
ความขัดแย้งที่เกิดจากการตำหนิติเตียนและการหาผู้รับผิดชอบเป็นธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์
ที่มักหนีไม่พ้นการตำหนิติเตียนและการหาผู้รับผิดชอบในปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นสาเหตุสำคัญของเรื่องนี้เกิดจากความรู้สึกด้อยคุณค่าและด้อยอุดมการณ์
ของผู้ที่ตำหนิ ซึ่งจะนำไปสู่การติเตียนหรือ
การโยนความผิดให้ผู้อื่น
วิทยากรเครือข่ายชุมชนจักต้องจัดการกับความขัดแย้งในลักษณะนี้ทันทีที่สังเกตเห็น
โดยจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ได้พูดคุยหรือระบายความรู้สึกเกี่ยวกับปัญหานั้นๆทันที
โดยถือว่าเป็นปัญหาที่คนทั้งกลุ่มต้องรับทราบและช่วยกันแก้ไขก็ทำให้
ปัญหานั้นละลายหายไปในที่สุด
3.3
ความขัดแย้งที่เกิดจากการแยกเป็นกลุ่มย่อยในกลุ่มใหญ่วิทยากรเครือข่ายชุมชนต้องถือเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะมีการแยกกลุ่มย่อยในกลุ่มใหญ่
วิธีการจัดการกับปัญหานี้คือใช้กิจกรรมเพื่อให้เกิดการตัดสินใจร่วมกัน
(Collective Dicision Making)
แทนการใช้กิจกรรมที่ส่งเสริมการตัดสินใจเฉพาะกลุ่ม
ตลอดจนอาจใช้วิธีการกระจายคนออกไปสู่การรวมกลุ่มในลักษณะอื่น
ๆ ด้วยก็ได้
3.4
ความขัดแย้งที่เกิดจากการคิดเป็นกลุ่ม
ความขัดแย้งในลักษณะการคิดเป็นกลุ่มจะเกิดขึ้นในกรณีที่ปล่อยให้การรวมกลุ่มดำเนินไปในเวลายาวนานเกินสมควร
หรือเกิดจากการส่งเสริมให้มีการแข่งขันระหว่างกลุ่มอย่างเอาจริงเอาจังในกรณีที่มีความขัดแย้งดังกล่าวเกิดขึ้น
วิทยากรเครือข่าย
ชุมชนจักต้องชี้ให้สมาชิก
มีความตระหนักและมีความตื่นตัวต่อปัญหาดังกล่าวทันที
หรืออาจจะสลายความคิดของกลุ่มโดยการโยงความคิดนั้นไปสู่คุณค่า
จุดมุ่งหมาย ตลอดจนวิสัยทัศน์ร่วมที่ตกลงไว้แล้วก็ได้
3.5
ความขัดแย้งที่เกิดจากการท้าทายระหว่างสมาชิกเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะเกิดการท้าทายระหว่างสมาชิกในกลุ่มทั้งที่ท้าทายอย่างชัดเจนและอย่างนุ่มนวล
หน้าที่ของวิทยากรเครือข่ายชุมชนก็คือ
จักต้องใช้กิจกรรมที่สามารถสร้างความยอมรับและนับถือในความคิดของกันและกันโดยที่สมาชิกแต่ละคนตระหนักในคุณค่าของกันและกันเช่น
กิจกรรมส่งเสริมให้แต่ละคนได้แสดงความเห็นประเด็นใดประเด็นหนึ่ง
ซึ่งเป็นประเด็นกลางตามแง่มุมที่แต่ละคนเห็น
จะมีผลให้แต่ละคนได้มีความเข้าใจ
ในประเด็นนั้น
ๆ ได้อย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง พึงเข้าใจด้วยว่าการท้าทายมีผลในทางบวกได้
หากวิทยากรเครือข่ายชุมชนสามารถพลิกความท้าทายนั้นให้เป็นพลังในการแสวงหาทิศทางหรือแนวทางคำตอบที่ดียิ่งขึ้นได้
3.6
ความขัดแย้งที่เกิดจากการท้าทายตัววิทยากรเครือข่ายชุมชนโดยตรงผู้เป็นวิทยากรเครือข่ายชุมชนในระยะแรก
ๆ มักเกิดความวิตกว่าจะถูกท้าทายจากสมาชิกซึ่งอาจเป็นการท้าทายโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ได้วิทยากรเครือข่ายชุมชนจะต้องถือว่าปัญหานี้เป็นเรื่องปกติและธรรมดาและไม่ควรปล่อยให้ผ่านไปหรือแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจหรือไม่เห็น
หากควรหาวิธีจัดการกับปัญหานี้ทันทีโดยการเปิดโอกาสให้สมาชิกได้แสดงความรู้สึกที่มีต่อวิทยากรเครือข่ายชุมชนอย่างตรงไปตรงมา
และรับฟังความคิดนั้นด้วยความเคารพโดยไม่ปกป้องตัวเอง
แต่ควรย้ำว่าเป็นสิทธิของสมาชิกที่สามารถจะสงสัยในคุณวุฒิหรือ
คุณสมบัติของผู้เป็นวิทยากรเครือข่ายชุมชนได้เสมอ
วิทยากรเครือข่ายชุมชนพึงเข้าใจว่า
ถึงแม้ว่าจะพบกับการท้าทายถึงขั้นไม่เป็นที่ยอมรับของสมาชิก
ก็มิได้หมายความว่าจะต้องสูญเสียความมั่นใจ
หรือรู้สึกว่าเป็นการเสียศักดิ์ศรีของการเป็นวิทยากรเครือข่ายชุมชน
หากแต่เป็นสัญญาณที่เตือนให้ต้องมีความตระหนักว่าจะต้องฝึกฝนพัฒนาตนเองให้มาก
ๆ ยิ่งขึ้น การยอมรับการท้าทายอย่างตรงไปตรงมา
ด้วยจิตใจที่เปิดกว้างแต่หนักแน่นและมั่นคง
โดยพร้อมที่จะปรับปรุงยืดหยุ่นจักช่วยคลี่คลายปัญหานี้ได้ในที่สุด
4.
เทคนิคการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
เป็นการวิจัยที่ประชาชนผู้เคยเป็นประชากรที่ถูกวิจัยเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ร่วมในกระบวนการวิจัยนั่นเอง
การมีส่วนร่วมนี้จะต้องมีตลอดทุกขั้นตอนของกระบวนการวิจัย
นับตั้งแต่การกำหนดปัญหาที่เริ่มศึกษาวิจัยในชุมชนนั้นๆ
การเลือกระบุประเด็นปัญหา
การสร้างเครื่องมือ
การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และการเสนอสิ่งที่ค้นพบ
จนกระทั่งถึงการกระจายความรู้ที่ได้จากการวิจัยไปสู่การปฎิบัติ
หรือการใช้ประโยชน์จากผลการวิจัยในการแก้ปัญหาและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมก็คือ
กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นระบบ
หลีกเลี่ยงการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมากเกินไป
แต่เป็นการทำงานและเรียนรู้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอภาคระหว่างนักวิจัยและคนในท้องถิ่นยอมรับและเชื่อมั่นในภูมิปัญญา
ตลอดจนศักยภาพในการแก้ปัญหาและพัฒนาชชุมชนของคนในท้องถิ่น
โดยคนในท้องถิ่น
เพื่อคนในท้องถิ่น
วิทยากรเครือข่ายชุมชนพึงเข้าใจว่า
การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับใช้พัฒนาความสามารถในการคิดและการมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่น
นอกจากจะส่งเสริมการคิดและการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนในท้องถิ่นแล้ว
คนในท้องถิ่นยังสามารถใช้ความรู้เกิดขึ้นในการแก้ปัญหาและพัฒนาท้องถิ่นได้ทันทีอีกด้วย
ติดตามต่อตอนที่ 3 ค่ะ
เขียนใน
GotoKnow
โดย
ไก่...กัญญา
ใน
ชาว AE รพ.ศรีนครินทร์
คำสำคัญ (Tags):
#aic
#การพัฒนาคน
#เครื่องมือคุณภาพแบบใหม่
#เครื่องมือในการทำงาน
หมายเลขบันทึก: 188495
เขียนเมื่อ 17 มิถุนายน 2008 10:00 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 21:20 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
ไก่...กัญญา
สมุด
ชาว AE รพ.ศรีนคริ...
กระบวนทัศน์ใหม่ :...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท