- แว๊บแรก มองเห็นเป็นเรื่อง ความละเอียด ความหยาบ ของจิตใจครับ
- แขวนไว้สักพัก กลับมองเห็นเป็นว่า ต้องมองแบบ "องค์รวม" หรือ ภาพรวม จึงจะเห็นความจริง ประมาณนั้นก่อนครับ อิ อิ
ท่านลองปล่อยวางทุกอย่างลง แล้วพิจารณาดูภาพเหล่านี้ ทีละภาพ ตามลำดับ
ภาพ A1
ภาพ A2
ภาพ A3
ภาพ A4
ภาพ A5
ภาพ A6
เมื่อท่านพิจารณาภาพตามลำดับ A1 ถึง A6 ด้วยความปล่อยวางแล้ว นั้น ท่าน “คิดถึง” อะไรบ้าง…
สวัสดีครับลุงบางทราย
ผมคิดถึง 2 เรื่อง ครับ
คิดถึง จึงด้อมมอง
เข้ามาดูสองรอบแล้ว..ยังนึกอะไรไม่ค่อยออกเลยค่ะ ^ ^
คิดว่าความแตกต่าง พอขมวดกันเข้า ก็แยกแยะไม่ออกครับ
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
เบิร์ดคิดถึงการเมืองค่ะ ทั้ง 2 ขั้ว และสิ่งที่เราเห็นนั้นยังมีสิ่งที่นอกเหนือออกไปอีกมากมายที่เราไม่เห็นและไม่ทราบและควรค้นคว้าหาข้อมูลที่แท้จริงประกอบด้วยน่ะค่ะ
นอกจากนี้การหมุนวนของเกลียวสี 2 สี ที่ค่อยๆเชื่อมเข้าหากันในรูปสุดท้ายจนกลายเป็นสีออกน้ำตาลทำให้คิดว่ากว่าจะมองที่เป้าหมายเดียวกันและเดินไปด้วยกันได้จะต้องอาศัยแรงเหวี่ยงที่รุนแรงขนาดไหน และจะเหลือคนอยู่เท่าไหร่น่ะค่ะพี่บางทราย
และท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นสีใด ในภาพสุดท้ายบางส่วนก็ไม่ได้เป็นสีเดิมของตนเองเลยแม้แต่น้อยค่ะท่านพี่ ^ ^
นี่มองแบบปล่อยวางแล้วนะเนี่ย อิ อิ อิ
คิดถึงสิ่งที่แตกต่างกัน มาบรรจบกันด้วยจังหวะ เวลาที่เหมาะสม จนกลมกลืน หลอมละลายเป็นหนึ่งเดียว
อยากเห็นคนไทยเป็นแบบนี้จริงๆ เฮ้อ
เห็นการเปลี่ยนแปลง คิดถึงคนอ้วนแล้วจะผอม อิอิๆๆ
สวัสดีครัีบพี่บางทราย....
โอ... นี่เอาพระธรรมมาฝากกันเลยนะครัีบ แบบนี้ขอเอาวิญญาณปรัชญาเข้าสิงหน่อยนะครับ
เรื่องนี้ในความเห็นผม ผมคิดว่าอธิบายคำว่า คน ได้ดีมากๆ เลยครับ
ขอบคุณพี่มากครัีบ คิดไปเพ้อไปนะครัีบ
ถึงเพื่อนๆทุกท่านครับ
ขอเวลานิดหนึ่งนะครับจะเข้ามาแลกเปลี่ยน พอดีตอนนี้มีงานด่วนเข้ามาครับ
ขออนุญาตไปทำงานด่วนก่อนนะครับ
ขอบคุณมากที่เข้ามาดูสีที่แตกต่างและ ขดของสี อิอิ
ขอบคุณครับ เดี๋ยวมาครับ
อีกมุมมองหนึ่งเพิ่มเิติมครัีบ
ดอกทานตะวันดอกนี้ ก็รวมกันเป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะธาตุร้อน(ดอก) และธาุตุเย็น(ใบ) ก็ต้องทำงานร่วมกันประสานกันเป็นหนึ่ง ร้อนกับเย็นมีเป็นธรรมดา ทำให้เกิดพลังในการขับสู่ความเป็นจริง ขั้วบวกและลบ สังคมนิยมและสังคมทุน เหยื่อและผู้ล่า จะต้องขับกันต่อไปในวังวน เพราะนี่คือโลกแห่งความจริงของคนที่คนเข้าหากัน แบบหนีไ่ม่พ้น... แตกต่างได้และก็ร่วมกันอยู่ได้ไม่ว่าจะอยู่ในจิตเดียวกัน องค์กรเดียวกัน สังคมเดียวกัน อ่างเดียวกัน...
ความสมดุลอยู่ที่ใด....ใครจะตอบได้เล่า....หากไ่ม่ใช่ใจเรา
พุทธะ...นะปลงฯ
เพื่อนๆทุกท่านครับ นี่คือภาพต้นฉบับครับ
เป็นใบกล้วยที่มีขอบออกสีเหลือง ถ่ายมา ไม่ชัดด้วยครับ
ผมเอาไปเข้าโปรแกรมหนึ่งแล้วสร้างภาพอีกเป็นสิบๆภาพออกมาดังที่คัดเลือกมาลงใน คิดถึง...๑ นี่แหละครับ
มันน่าสนใจและให้มุมมองมากมายจึงลองเอามาฝากเพื่อนๆลองจินตนาการดูครับ
สวัสดีครับ 1. เด็กข้างบ้าน
ผมคิดถึง 2 เรื่อง ครับ
ขออภัยที่มาแลกเปลี่ยนช้าไปหน่อยนะครับ
ขอบคุณครับ
ครูบาครับ
ใจอยากมาช่วยงานช่วงที่น้องหมอเจ๊ขึ้นมา แต่ติดภาระต้องไปหาคุณหมอ และไปงานศพที่จังหวัดเลย และต้องเตรียมการประชุมอีกครับ...
สวัสดีครับอาจารย์น้อง 3. กมลวัลย์
เข้ามาดูสองรอบแล้ว..ยังนึกอะไรไม่ค่อยออกเลยค่ะ ^ ^
อิอิ...มันก็น่าจะงงๆหรอกครับ ไม่มีเค้าบ่งบอกอะไรเลยนะครับ อิอิ.. อย่าไป serious แต่แหย่เล่นๆน่ะครับ
สวัสดีครับคนเก่งของผม 4. Conductor
คิดว่าความแตกต่าง พอขมวดกันเข้า ก็แยกแยะไม่ออกครับ
จริงๆเป็นอย่างนั้น หากผมจะลองอธิบายว่า สีที่แตกต่างกันนั้นคือ ความต่างทางความคิดเห็นทางการเมือง
เมื่อเอาความเป็นมนุษย์ที่บริสุทธ์ผุดผ่องมาเป็นฐานแห่งการอยู่ร่วมกัน การที่จะอยู่ร่วมกันได้ก็คือการพยายามลดความต่างออกไป เดินเข้าหากัน และหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ สังคมมนุษย์เคยทำ และทำมาแล้ว
ร่างกายมนุษย์ก็เท่านั้นแหละ แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือใจข้างใน หากใจคิดจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ใจนั้นก็จะบังคับให้กายทำในสิ่งที่ใจอยากให้ทำซึ่งสิ่งนั้นๆอาจจะถูกต้องแล้ว หรือไม่ถูกต้องก็ได้
การรวมเป็นหนึ่งคือการแบ่งสิ่งที่มีให้เพื่อน และเพื่อนก็แบ่งสิ่งที่เขามี มันก็จะไม่เขียว ไม่เหลือง มันจะเขียวปนเหลือง หากทำโปรแกรมนี้ถึงที่สุด มันก็เป็นสีเดียวเท่านั้น
หากเราหาจุดร่วมได้ สังคมก็เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น
ที่มันขัดแย้งกันมาเป็นพันๆปีเพราะใจข้างในต่างหากที่ไม่รวม และเป็นใหญ่เสมอ
วุ้ย...ประทานโทษไม่ได้เทศน์นา....
สวัสดรครับน้องสาว 5. เบิร์ด
เบิร์ดคิดถึงการเมืองค่ะ ทั้ง 2 ขั้ว และสิ่งที่เราเห็นนั้นยังมีสิ่งที่นอกเหนือออกไปอีกมากมายที่เราไม่เห็นและไม่ทราบและควรค้นคว้าหาข้อมูลที่แท้จริงประกอบด้วยน่ะค่ะ
ใช่เลย น้องเบิร์ด
พี่อธิบายไว้ในบันทึกเรื่อง "มิติที่ต่างเป็นสิ่งปกติ" เพราะมีพื้นที่ U ซึ่งเป็นพื้นที่ทางการเมืองของประเทศนี้ที่เราๆท่านๆไม่รู้ไม่ทราบข้อมูลจำนวนหนึ่ง แต่มีผลกระทบมากเพราะมีผลประโยชน์อยู่ด้วย
นอกจากนี้การหมุนวนของเกลียวสี 2 สี ที่ค่อยๆเชื่อมเข้าหากันในรูปสุดท้ายจนกลายเป็นสีออกน้ำตาลทำให้คิดว่ากว่าจะมองที่เป้าหมายเดียวกันและเดินไปด้วยกันได้จะต้องอาศัยแรงเหวี่ยงที่รุนแรงขนาดไหน และจะเหลือคนอยู่เท่าไหร่น่ะค่ะพี่บางทราย
เข้าใจจินตนาการนะครับ พี่เองศึกษาประวัติศาสตร์บ้าง ก็เรียนรู้ความจริงข้อนี้ ข้อที่น้องเบิร์ดแสดงอยู่นี่แหละ ดูซิ ออกป่ามาด้วยกัน สู้รบกันมา กอดคอกันร้องให้ และบางคนถึงกับสาบานต่อน้ำดินไฟ แต่แล้ววันนี้ก็อยู่กันคนละขั้วการเมือง แรงเหวี่ยงนี้มีความแรงมากครับ มันเหวี่ยงใจให้กระเด็นกระดอนออกจากฐานเดิมได้..
และท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นสีใด ในภาพสุดท้ายบางส่วนก็ไม่ได้เป็นสีเดิมของตนเองเลยแม้แต่น้อยค่ะท่านพี่ ^ ^
ใช่แล้ว ใครจะเรียก win-win ใครอาจจะเรียกผสมผสาน ใครอาจจะเรียกอลุ่มอล่วยกัน โดยเอาทุกอย่างมาจัดใหม่ให้อยู่ด้วยกันได้
นี่มองแบบปล่อยวางแล้วนะเนี่ย อิ อิ อิ
วางเสียนิ่งสนิทเลยน้องเบิร์ด
สวัสดีครับ 6. ครูเอ
คิดถึงสิ่งที่แตกต่างกัน มาบรรจบกันด้วยจังหวะ เวลาที่เหมาะสม จนกลมกลืน หลอมละลายเป็นหนึ่งเดียว
อยากเห็นคนไทยเป็นแบบนี้จริงๆ เฮ้อ
ถูกใจหลายเด้อครับครูเอครับ
หากใจไม่มาหลอมเข้าด้วยกัน ปัญหามันก็เกิดขึ้นไม่มีที่สิ้นสุดน่ะครับ เราทุกคนอยากเห็นการหลอมเข้าหากันไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม
ป๊าดดดดดด น้องขจิต ถูกใจ พี่...เพราะพี่อ้วน อิอิอิอิ
สวัสดีครับน้องเม้ง 8. เม้ง สมพร ช่วยอารีย์
โอ... นี่เอาพระธรรมมาฝากกันเลยนะครัีบ แบบนี้ขอเอาวิญญาณปรัชญาเข้าสิงหน่อยนะครับ
เรื่องนี้ในความเห็นผม ผมคิดว่าอธิบายคำว่า คน ได้ดีมากๆ เลยครับ
ถูกใจโก๋ (แก่) จิตเราวิ่งไปมาระหว่างจิตร้อนและเย็นจริงๆ พี่เองสังเกตตัวเองก็มีลักษณะเช่นนั้นอยู่บ้าง บางวันขึ้นสูง บางวันต่ำ เพราะเรายังเป็นปุถุชน
สังคมอุดมคติทางธรรมจึงเน้นเรื่องการฝึกจิต ซึ้งเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับคนที่ไม่ตกผลึกทางจิต
ขอบคุณครับน้องเม้ง
สวัสดีครับ 10. หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
เป็นรูปเดียวกันครับ อย่างที่พี่เอารูปต้นฉบับมาให้ดูนั่นแหละครับ พอเอาเข้าโปรแกรมและสั่งให้ทำงาน มันก็ออกมาหลายรูปแบบที่สามารถให้ทำต่อเนื่องกันได้ เลยนึกถึงอะไรหลายๆอย่างน่ะครับ เอามาให้ดูกันครับ
จริงครับหากรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ ความต่างก็จะกลายเป็นเสริมกันไปได้หากจิตมารวมศูนยในเรื่องเดียวกัน เช่นเราเห็นพลังเสื้อเหลืองมาแล้ว ....
นี่ก็เป็นความจริง ระยะห่างมีความสำคัญทั้งบวกและลบ คนอยู่ใกล้มองไม่เห็นก็มีครับ ยกตัวอย่าง พี่ทำงานเรื่องงานสูบน้ำด้วยไฟฟ้าที่ดงหลวง คิดแทบหัวจะแตกว่าจะทำอย่างไรจึงจะส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์สมกับการลงทุน ลองนั่นก็แล้ว ลองนี่ก็แล้ว เพียงเชิญผู้เชี่ยวชาญมาดูแค่วันหนึ่งก็บอกทางออกที่เราไม่คาดคิดมาก่อน ก็เกิดขึ้นแล้วครับ เราติดกับปัญหามากไปก็มองไม่เห็นประเด็นเหมือนกัน สมองเราจึงต้องฝึกการ ซูมอิน ซูมเอ้าท์ เหมือนกล้องถ่ายรูปน่ะครับ