“บุญชัย กับความยากลำบากในการหางานทำ...จึงต้องมาขายของเอง”
เนื่องจากบุญชัยโตมาโดยไม่เคยมีบัตรประจำตัว เมื่อจะไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ค่อยมีคนรับ เพราะกลัวว่าไม่รู้เป็นใครมาจากไหน เวลาที่มีคนถามเรื่องบัตรประจำตัว บุญชัยก็จะหลีกเลี่ยงโดยไม่กล้าบอกใครว่าตนเป็น “คนไม่มีบัตร”
ดังนั้นการทำงานที่ไม่ถูกกดดันจากนายจ้างและเพื่อนร่วมงานมากที่สุด ก็คือการที่จะต้องช่วยแม่เก็บของเก่าไปขาย และการค้าขายที่เป็นของตนเอง
บุญชัย ขายของมาหลายชนิด ทั้งเสื้อผ้า ของใช้ ของแต่งบ้าน หรือของทุกอย่างต่างๆ ที่จะหารับซื้อมาได้
ช่วงหนึ่งบุญชัยขายของหาเงินได้อย่างที่ตนเองคิดว่ามั่นคงมาก เมื่อได้พื้นที่ขายเสื้อผ้าอยู่ที่แถวตรอกข้าวสาร แต่พอขายอยู่ได้ไม่นาน เจ้าของที่ก็ต้องการทำสัญญาเช่าร้าน พี่บุญชัยซึ่งไม่มีเอกสารแสดงตนจะทำสัญญา จึงต้องสละสิทธิไปด้วยความเสียดาย
ต่อมาจึงร่อนเร่ ขายของตามตลาดนัด หรือ ตามพื้นที่ต่างๆ ที่จะขายได้
โชคร้ายที่รุมกระหน่ำ...และวันหนึ่งลูกชายทั้งหมดในครอบครัวก็ต้องมาตกงาน
ช่วงหลายเดือน ถึงหลายปีมานี้ สมาชิกทุกคนในครอบครัวป้าสันที ทำงานหาเช้ากินค่ำกันอย่างไม่มั่นคง
“ป้าสันที” ที่แก่แล้วทำงานในโรงงานไม่ไหว จึงออกมาหาเก็บของเก่าขายเลี้ยงตนเองมาหลายปี
“พี่อดุลย์” ทำโรงงานปุ๋ย(ที่แม่ทำมาแต่เดิม) แต่โรงงานก็ต้องทำประกันสังคมให้ลูกจ้าง จึงเรียกหาเอกสารและเลข 13 หลัก พี่อดุลย์ไม่มีจึงติดสินใจออก แต่พอไปทำงานที่อื่นๆ เช่น ลูกจ้างทำเฟอร์นิเจอร์ก็จะถูกขอบัตรประจำตัวตลอดเวลา จนทนทำต่อไปไม่ไหว ตอนนี้จึงออกมาช่วยแม่เข็นขยะแทน
“พี่สัญชัย” เคยเป็นลูกจ้างในโรงกลึง ฝึกฝนฝีมือในการทำงานมากจนเชี่ยวชาญ ไต่เต้าได้เป็นถึงหัวหน้างาน จากค่าแรงวันละ 135 ขึ้นเป็น วันละ 300 บาท เมื่อรวมกับการทำโอที ก็สามารถหาได้ถึงวันละ 400 บาทขึ้นไป นับว่าเป็นงานที่มั่นคง และพี่สัญชัยก็อยากเริ่มต้นมีชีวิตที่ดีบ้าง
แต่การเป็นขึ้นเป็น “นายช่าง” ซึ่งนายจ้างถือว่าเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย จึงต้องการเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลของพี่สัญชัยเพื่อมาทำประกันสังคม และประกันชีวิตต่างๆ ให้ แต่พี่สัญชัยก็พยายามบ่ายเบี่ยงตลอดมา จนกระทั่งสุดท้ายคิดว่าคงจะบ่ายเบี่ยงต่อไปไม่ไหว เพราะช่างทุกคนก็ต้องทำสวัสดิการสังคมเหล่านี้ จึงตัดสินใจออกจากงานด้วยตนเอง
“พี่อำพล” ซึ่งทำงานในโรงงานปุ๋ย (ที่แม่ทำมาแต่เดิม) มากว่า 20 ปี เกือบตลอดเวลาที่มาอยู่ที่สมุทรปราการ ดูจะเป็นคนที่มีงานทำมั่นคงกว่าคนอื่น ก็เพิ่งจะต้องลาออกจากงานด้วยตนเองอย่างไม่มีเหตุผลกับนายจ้างเมื่อกว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
เนื่องจากตำแหน่งที่พี่อำพลได้รับหลังสุด คือ เป็นคนขับรถจักรกลตักปุ๋ยอยู่ในโรงงาน ซึ่งเมื่อโรงงานต้องการทำมาตรฐานISO ก็ต้องการให้พี่อำพลมีใบอนุญาตขับขี่รถจักรกล
พี่อำพลที่ไม่มีเอกสารแสดงตนอะไรเลย จึงไม่สามารถจะไปขอใบขับขี่มาให้โรงงานได้ ก็เลยตัดสินใจออกจากงานด้วยความเสียใจมาก เพราะไม่เคยคิดว่าจะต้องไปหางานอื่นทำ และตัวเองที่ไม่มีบัตรก็ไม่รู้จะไปงานอะไรดี ประกอบกับลูกกำลังต้องเรียน (พี่อำพลทำงานมา 20 ปีก็จริงเมื่อลาออกก็ไม่ได้ค่าชดเชยอะไร แต่พี่อำพลก็ไม่กล้าไปเรียกร้อง)
“พี่บุญมี” ลูกสาวคนโตของบ้าน จึงเป็นคนเดียวในทุกวันนี้ ที่พอจะมีรายได้แน่นอน จากการไปซื้อผักจากตลาดมาขายในรถเข็นตามปากซอยหมู่บ้าน แต่กำไรก็ได้เพียงนิดเดียว (100-200บาท)ต่อวัน
“เมื่อทุกคนต่างไม่มีงานทำ...ก็ต้องดิ้นรนหาทางทำมาหากิน”
พี่สัญชัย กับ บุญชัย เริ่มที่จะขายของแบกะดินเป็นอาชีพหลัก สลับกับการเก็บของเก่าขาย และขายทุกอย่างที่จะขายได้ โดยไปซื้อเป็นของใหม่มาบ้าง หรือซื้อของเก่ามาขายบ้าง แล้วแต่ทุนที่มีและสินค้าที่คิดว่าจะขายได้ โดยส่วนใหญ่ก็ไปขายตามตลาดนัดเปิดท้าย สนามหลวง ท่าพระจันทร์ ริมคลองหลอด ฯลฯ
แต่เกือบเดือนที่ผ่านมา ฝนตกเกือบตลอดทั้งเดือน จึงไม่ได้มาขายของเป็นเวลานาน
พอเมื่อคืนเห็นฟ้าสว่าง จึงตัดสินใจเอามือถือของตนเองมาขายรวมกับของอื่นๆ ด้วย เพราะหมดหนทางที่จะหาเงินซื้อข้าวแล้ว
“โชคร้ายจึงมาบอกว่า...ต้องระวังตัวให้มากพอๆ กับการกลัวอดตาย”
เพราะขายมือถือ บุญชัยจึงถูกล่อซื้อและจับกุมตัวไปที่สน.ชนะสงคราม ถูกตั้งข้อหาค้าของเก่า มีความผิดตามพรบ.ค้าของเก่าที่ไม่ได้ขออนุญาต
บุญชัยถูกตำรวจนำตัวเข้าห้องขัง และส่งไปฟ้องคดีที่ศาลแขวงดุสิต(ตลิ่งชัน)
ผู้พิพากษามีปราณี สั่งปรับบุญชัยเพียง 1,000 บาท ท่านคงเข้าใจว่าคนเหล่านี้ไร้โอกาสซึ่งช่องทางทำมาหากินที่ดี หากปรับเงินมากก็คงจะเดือดร้อนกันยิ่งไปอีก
บุญชัย...ส่ายหน้าและบอกทันทีว่าจะไม่กล้าขายมือถืออีกต่อไป...คงจะขายแต่เพียงของเก่าอย่างที่เคย...เพราะกลัวว่าจะโดนจับอีก...ซึ่งน่ากลัวพอๆ กับการอดตาย
“อีกครั้งที่เราต่างพากันโล่งใจ...วินาทีร้ายๆ อีกหนได้ผ่านพ้นไป”
ครั้งนี้ฉันได้กระโดดขึ้นแท็กซี่ด้วยความร้อนใจอีกครั้ง ตั้งแต่ทราบข่าวว่าบุญชัยถูกจับเพราะกลัวว่าจะโดนข้อหาเป็น “คนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย”และ “ถูกผลักดันออกนอกประเทศ” เหมือนครั้งที่วิษณุต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะผ่าตัดไส้ติ่ง ที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ[1]
เมื่อไปถึงสน.ชนะสงคราม ตอนหกโมงครึ่ง ฉันยังเข้าเยี่ยมบุญชัยไม่ได้ แต่ก็ได้คุยกับร้อยเวร ได้รับทราบข้อกล่าวหา และได้อธิบายความเป็นคนไร้เอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลของบุญชัยให้ตำรวจได้ฟัง ...ตำรวจออกจะงงๆ และไม่เคยทราบว่ามีคนที่มีจุดเกาะเกี่ยวเข้มข้นกับประเทศไทยอย่างบุญชัยจะเป็นไร้เอกสารพิสูจน์ตน ที่ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎรไทยได้
แต่ก็ไม่ได้ติดใจที่จะแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ เพิ่มกับบุญชัยอย่างที่พวกเรากลัว
วันนี้ฉันจึงเดินออกจากศาลแขวงมาด้วยความโล่งใจ แต่ก็หวั่นใจว่ามีเรื่องอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นอีกต่อไปหรือเปล่า
จบการศึกษาวิทยานิพนธ์แล้ว ฉันคงต้องรีบดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในเรื่องการเข้าถึงการมีเอกสารพิสูจน์ตนให้แก่ครอบครัวนี้โดยเร็ว...
ก่อนจากกัน...คำขอโทษของฉันจึงดังและเร็วกว่าคำขอบคุณ...เพราะฉันรู้สึกผิดมากไม่น้อย ที่ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาของครอบครัวนี้เป็นไปได้ช้าเหลือเกิน
[1] โปรดอ่านเพิ่มเติมใน : ชลฤทัย แก้วรุ่งเรือง, “เมื่อมนุษย์ที่ไม่มีเลข ๑๓ หลัก ป่วยหนัก : กรณี
ของเด็กชายวิษณุ หลานยายเชื้อสายมอญที่เข้าเมืองปี ๒๕๐๖ ป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบ
(ตอนที่ ๑ - การปรากฎตัวของมนุษย์ผู้ไม่มีเลข ๑๓ หลัก : ความเป็นจริง ในสังคม)”, วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙, http://gotoknow.org/blog/chon-statelessperson/101597 และ
ชลฤทัย แก้วรุ่งเรือง, “เมื่อมนุษย์ที่ไม่มีเลข ๑๓ หลัก ป่วยหนัก : กรณีของเด็กชายวิษณุ หลานยายเชื้อสายมอญที่เข้าไทยปี ๒๕๐๖ ป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบ (ตอนจบ - ข้อสังเกตและข้อค้นพบบางประการที่จำเป็นต้องเร่งทำการแก้ไข)”, วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙, http://gotoknow.org/blog/chon-statelessperson/101887
สวัสดีครับ
โปรดติดตามอ่านงานเขียนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว ป้าสันที ได้