งานอิมมูโนวิทยา มีหน้าที่ตรวจวิเคราะห์หาสาเหตุของโรคต่างๆ หลายชนิดรวมทั้งมะเร็งชนิดต่าง ๆ และไวรัสตับอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ ซึ่งพบในคนไทยจำนวนมาก เป็นโรคที่น่าสนใจมากเลยนำมาแนะนำให้รู้จักเป็นอันดับแรก
ไวรัสตับอักเสบ(Viral hepatitis )
ไวรัสตับอักเสบ หมายถึง ภาวะตับอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสและก่อให้เกิดการทำลายเซลล์ตับ จนเป็นต้นเหตุการณ์เกิดภาวะตับอักเสบขึ้น แม้ว่าโรคตับอักเสบเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ที่สำคัญและพบบ่อยที่สุดคือ เชื้อไวรัส จึงเรียกเชื้อไวรัสกลุ่มนี้ว่า “ไวรัสตับอักเสบ”
ที่พบในปัจจุบันอย่างน้อยมี 5 ชนิด แต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกัน
- ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (A) พบได้ในทุกอายุ ในเด็กหากได้รับเชื้อมักไม่มีอาการ แต่ในผู้ใหญ่มักมีอาการของตับอักเสบ โรคนี้หากเป็นแล้วจะหายขาด ไม่มีโรคเรื้อรังและไม่ทำให้เกิดตับแข็ง
- ไวรัสตับอักเสบชนิดบี (B) เป็นชนิดที่ทำให้เกิดความรุนแรงของโรคมาก และเป็นปัญหาอย่างมาก ในปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจำนวนมาก บางส่วนมีการติดเชื้อแบบเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของตับแข็งและมะเร็งตับ เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี(B) ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากมารดาสู่บุตร(ขณะคลอด) จากการสัมผัสน้ำคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น เลือด น้ำลาย หรือจากการได้รับเลือดที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่
- ไวรัสตับอักเสบชนิดซี (C) เป็นอีกชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรงของโรคมากเช่นกัน เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับ ปัจจุบันกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันเหมือนไวรัสบี เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี(C) ติดต่อจากการสัมผัสกับเลือดของผู้ป่วย หรือได้รับเลือดที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ทางเพศสัมพันธ์ และจากมารดาสู่บุตร(ขณะคลอด)
- ไวรัสตับอักเสบชนิดดี(D) อาจเรียกเดลต้าไวรัส จะพบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดีร่วมกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเสมอ หรือติดซ้ำเติมในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสบีเรื้อรังอยู่ก่อน เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดดี(D) ติดต่อจากการสัมผัสกับเลือดของผู้ป่วย หรือได้รับเลือดที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ทางเพศสัมพันธ์ และจากมารดาสู่บุตร(ขณะคลอด) ส่วนมากมักจะเป็นผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสบีอยู่ก่อน
- ไวรัสตับอักเสบชนิดอี(E) เป็นเชื้อไวรัสคล้ายกับชนิดเอ พบมากในประเทศทางแถบมหาสมุทรอินเดียในประเทศไทยพบน้อย
การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบ
- เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ และชนิดอี (A,E) เชื้อติดต่อผ่านทางอาหารและน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนด้วยสิ่งปฏิกูลของผู้ป่วย และภายในครอบครัวเดียวกันที่มีผู้ติดเชื้อ
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ
ตับอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยมักมีอาการที่พบได้บ่อยคือ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ปวดข้อ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อาจพบผื่นขึ้นตามตัวหรือมีอาการท้องเสีย ปวดมวนในท้อง น้ำหนักตัวลดลง หรือพบอาการตัวเหลือง ตาเหลือง(ดีซ่าน) มีไข้ต่ำๆ แต่ไม่พบในผู้ป่วยโรคตับอักเสบเสมอไป อาการตัวเหลือง ตาเหลือง จะหายไปภายใน 1-4 สัปดาห์ แต่บางรายอาจนาน 2-3 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ ยกเว้น ไวรัสตับอักเสบบีอาจพบบางรายกลายเป็นโรคเรื้อรัง ในไวรัสตับอักเสบซีจะพบโรคเรื้อรังมากกว่า สำหรับไวรัสดีจะขึ้นกับไวรัสบี หากไวรัสบีหายก็หายตาม
ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไม่มีอาการแต่จะมีการอักเสบและมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆจนเกิดตับแข็ง และมีภาวะตับวาย และเป็นมะเร็งตับในที่สุด
ควรไปรับการตรวจเลือดเพื่อหาว่ามีการติดเชื้อหรือไม่โดย
- การตรวจการทำงานของตับ โดยการตรวจหาระดับเอนไซม์ในเซลล์ตับ
- การตรวจเชื้อไวรัส เช่นไวรัสตับอักเสบบี และ ไวรัสตับอักเสบซี
- การตรวจดูลักษณะโครงสร้างของตับ เช่น การตรวจวิธีคลื่นเสียง(อุลตร้าซาวนด์)
- การตรวจชิ้นเนื้อตับ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมในช่วงที่มีอาการตับอักเสบ แต่การ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอในตับอักเสบเรื้อรังสามารถทำได้
- งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ตับเสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ
- ทำจิตใจให้สบาย พยายามลดความเครียด หรือวิตกกังวล
ถ้าท่านพบว่าท่านมีโอกาสที่จะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบตัวไหนตัวหนึ่ง ขอแนะนำให้ไปตรวจเลือดเพื่อจะได้วินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่? และสามารถป้องกันการติดเชื้อไปสู่คนใกล้เคียง ...มาสำรวจสุขภาพกันเถอะ....
<a target="_blank" href="http://www.blingcheese.com/"><img src="http://i153.photobucket.com/albums/s235/revmyspace2/graphics/Greeting/Happy_Birthday/8_birthday_006birthday112.gif" title="MySpace Comments" border="0"></a><br><a target="_blank" href="http://www.blingcheese.com/">MySpace Graphics</a> & <a target="_blank" href="http://www.revolutionmyspace.com/">MySpace Layouts</a><br>
สวัสดีครับ
ตอนนี้ผมเป็นไวรัส ซี ชนิดที่ 3 และกำลังอยู่ในระหว่างการรักษาจากแพทย์โรงพยาบาล ศิริราช คุณหมอบอกว่ารักษาต่อเนื่องหกเดือนมีโอกาสหายขาดได้ ตอนนี้ผ่านมาสามเดือนกว่าแล้วครับ ฉีดยาเองทุกวันศุกร์ มีข้อแนะนำอันใดก็ขอรบกวนชี้แนะด้วยนะครับ (ผลข้างเคียงของยาตอนนี้มีอาการไอครับ)
ขอบคุณครับ
รพี
ผมเป็นไวรัสบี ไม่ทราบมาก่อนจนเมื่อไปตรวจร่างกายแล้วพบว่าตับเล็กลง ม้ามโต (อัลตาซาวด์)แพทย์บอกว่าเป็นตับแข็ง และพบว่าไวรัสยังทำงานอยู่(action)แต่แพทย์ไม่ได้ให้ยาอะไรนอกจากยาบำรุงตับตัวเดียว ความเห็นอาจารย์ ผมต้องได้รับการรักษาที่มากกว่านี้หรือเปล่าครับ
สวัสดีคุณประจักษ์
สวัสดีค่ะคุณรพี
สวัสดีค่ะคุณยงยศ
ไวรัสตับอักเสบบีก็หายได้ถ้าเป็นไม่นานดูแลร่างกายดีๆ ตรวจซาวด์ตับทุกๆ 6 เดือน มีคนหายครับตัวอย่างมี 08-7119-5484 สามีเป็นภรรยาควรฉีดวัคซีนให้มีภูมิคุ้มกันก่อน ภรรยาเป็นไวรัสบี สามารถมีบุตรได้ตามปกติตอนคลอดคุณหมอจะฉีด อิมมูโนโกลบูลิน ให้บุตรภายใน24ช.ม.เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันทันที จากนั้นก็จะฉีดวัคซีนให้อีกสามเข็มภายในหกเดือน สามารถให้นมบุตรได้ตามปกติครับ ระวังเรื่องการแพร่เชื้อดีกว่า
รบกวนหน่อยนะคะ...อยากได้คะแนะนำอะคะ พอดีมีญาติป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบซีคะ แล้วตอนนี้ต้องการจะย้ายผู้ป่วยไปรักษาต่อที่กรุงเทพฯ ( โรงพยาบาลรัฐฯ) มีโรงพยาบาลไหนบ้างคะที่มีแพทย์เชี่ยวชาญทางด้านนี้ แล้วต้องทำอย่างไรบ้างคะถ้าจะย้ายประวัติผู้ป่วยไปด้วย (ด่วนหน่อยนะคะอยากย้ายไปโดยเร็วที่สุด) ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงคะ
การรักษาแบบให่ลองศึกษาดูคับ
การฟื้นฟูรักษาด้วยชีวะโมเลกุล สำหรับการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
ปัจจุบันนี้คนเราเกิดภาวะตรึงเครียดเนื่องด้วยหลายๆสาเหตุ และปัจจัย ทำให้ร่างกายและจิตใจของเกิดโรคต่างๆขึ้นมากมาย แต่พวกเรายังโชคดีที่ว่ามีการค้นพบการป้องกันสภาพที่เสื่อมโทรมนี้
โดยปรัชญาเบื้องต้น สิ่งที่สำคัญพื้นฐานสำหรับการมีสุขภาพที่ดีคือ แสงแดด, ออกซิเจน, น้ำ, การได้รับสารอาหารที่สมดุล และ การออกกำลังกายที่เพียงพอ
การวิจัยใหม่ค้นพบว่าห้าข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต แต่เนื่องด้วยชีวิตปัจจุบันทำให้สิ่งต่างๆ สารอาหาร น้ำดื่ม อากาศที่ไม่บริสุทธิ์ การได้รับแสงแดดที่ไม่เพียงพอหรือผิดช่วงเวลา ทำให้เราได้รับสิ่งไม่มีคุณภาพเพียงพอเราจึงต้องอาศัยตัวช่วยเพื่อให้ได้รับสิ่งสำคัญที่เพียงพอ
ผลของการบำบัดด้วยเซลล์ :
-ต่อต้านความชราและการแก่ก่อนวัยอันควรที่เกิดจากความเหนื่อยล้าทั้งทางร่ายกายและจิตใจ
-ฮอร์โมนไม่สมดุลและไม่มีประสิทธิภาพของต่อมไร้ท่อ
-ปัญหาเรื่องความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ, ความเจ็บป่วยเนื่องจากความเครียด
-อาการอ่อนล้าเรื้อรัง(Chronic Fatigue Syndrome CFS)
-การพักฟื้นหลังจากโรคหรืออุบัติเหตุ
-กระดูกสันหลังและไขข้อเสื่อม
-ความบกพร่องของกล้ามเนื้อและระบบประสาทบางประเภท
-โรคเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเนื้อเยื้อเรื้อรัง
-ปัญหาระบบหมุนเวียน
-โรคเกี่ยวกับระบบย่อย
-ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมสภาพและการติดเชื้อ
-การสร้างเซลล์ เนื้อเยื่อและอวัยวะขึ้นมาใหม่
-ภูมิคุ้มกัน สารต่อต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการอักเสบ
-การควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ
-โปรโมทและบำรุงรักษาการหมุนเวียนเลือด
-เพื่อให้มั่นใจการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการรักษาบาดแผล
-การเพิ่มประสิทธิภาพของการฟื้นฟูระบบประสาท
-ควบคุมความสมดุลของระบบฮอร์โมน
-ปรับปรุงระบบทางเดินอาหารที่จะนำไปสู่การกำจัดอาการท้องผูก
-เพิ่มความยืดหยุ่นที่ข้อต่อและหมอนรองกระดูก
-ปรับปรุงการรับรู้และการตื่นตัวของสมองและเสริมสร้างความชุ่มชื้นของผิวหนังชั้นนอกซึ่งนำไปสู่ผิวที่กระชับ สดใสและเรียบเนียน
-เพิ่มความหนาแน่นของชั้นหนังแท้โดยการเร่งคอลลาเจน