อ่านไปอ่านมาก็มาเจอนี่ ความจริงน่าสนใจ
ลักษณะของงานแปลที่ดี สิ่งที่มักประสบเวลาที่ต้องถ่ายทอดจากภาษาหนึ่งมาเป็นอีกภาษาหนึ่ง (ไทย ß à อังกฤษ) คือ การตัดสินใจที่จะเลือกระหว่าง ความตรงกันของความหมาย หรือจะเลือกความสละสลวยของภาษาที่จะใช้ในฉบับแปล ดังที่อาจารย์ วรนาถ เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า “เคยมีผู้กล่าวเปรียบเทียบงานแปลกับสตรีว่า “งานแปลก็เหมือนกับผู้หญิง ถ้าสวยแล้วมักจะไม่ซื่อ (ผมเน้นอีกครั้งเผื่อพิมพ์ตกหรือพิมพ์ผิดว่า มีคำว่า มัก) แต่ถ้าซื่อแล้วมักจะไม่สวย (ดูว่า พิมพ์คำว่า มัก แล้ว) ที่ทั้งสวยและซื่อด้วยนั้นหายาก” ความซื่อ ในการแปลก็คือความตรงกันในด้านความหมายของฉบับแปลและต้นฉบับ ส่วน ความสวย ก็คือ ความสละสลวยของภาษาที่ใช้ในฉบับแปล หากผู้แปลเน้นเรื่องความสวยคือ ความสละสลวยของภาษาแล้วก็มักจะต้องสละความซื่อ คือความตรงกันในเรื่องของความหมาย ว่าอาจจะไม่ได้ตรงกันนัก ในทางตรงกันข้ามหากผู้แปลมุ่งเรื่องความถูกต้องตรงกันในเรื่องความหมายเป็นสำคัญ ภาษาที่ใช้แปลนั้นก็อาจจะฟังดูไม่สละสลวยเท่าที่ควร ยากที่ผู้แปลจะบรรลุจุดประสงค์ทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ แต่งานแปลที่ดีนั้นก็คือ งานแปลที่มีคุณสมบัติทั้งสองอย่างนี้........”
ครูสอนแปลมักบอกว่าที่ไหนมีการแปลที่นั่นย่อมมีการแปลผิดครับ ฮ่าๆๆ ขอบคุณอาจารย์มากครับ..
ขอบคุณ อ.ขจิต
จริงอย่างที่อาจารย์ว่า ผู้แปลควรศึกษาจุดที่มักผิดบ่อยๆ อาจารย์วรนารถ ได้รวบรวมไว้ในหนังสือ นั้นด้วย สนใจลองไปอ่านเพิ่มเติมครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
หนังสือวิชาการ คนแปลบางคนอาจจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องวิชาการ โดยเฉพาะศัพท์เฉพาะในเรื่องต่างๆ มักจะให้ความหมายที่ไม่ถูกต้อง
ส่วนหนังสือวรรณกรรม นิยายต่างๆ อันนี้พอรับได้ เพราะว่าต้องใช้คำสละสลวย เพื่อให้มีความน่าอ่าน ถึงจะไม่ซื่อก็เหอะ ถ้าซื่อแล้วยอดขายหนังสืออาจจะไม่ดี
แต่ถ้าคนเก่งภาษาอังกฤษ ก็ควรอ่านหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษไปเลย
ขอบคุณ คุณ aonjung
ในความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ
อ่านแล้วครับ เรื่องคู่มือสอนแปล ของวรนารถ วิมลเฉลา ที่จุฬาฯอิอิๆๆรู้จักกับอาจารย์ครับ โลกกลมๆๆ แต่ตอนนี้อาจารย์น่าจะเกษียณแล้วครับ ขอบคุณครับ
ขอบคุณอาจารย์ขจิต อีกครั้ง สงสัยอาจารย์จะมีหนังสือของอาจารย์วรนาถ เยอะแน่ (เหมือนเอามะพร้าวห้าว มาขายสวน อ.ขจิต เลย ฮา)
ขอบคุณ คุณ Nan & Ball ครับ
สวัสดีครับ
แปลผิดเป็นเรื่องธรรมดา อย่างที่ อ.ขจิตว่า แต่อย่าบ่อย ;) เคยอ่านงานแปล คนแปลเป็นผู้มีชื่อเสียง แต่แปลตกหล่นเป็นครึ่งหน้า หรือหน้าหนึ่งก็มี
ผู้แปลควรรู้ดีทั้งสองภาษา และควรจะเขียนได้ดีในภาษาที่จะให้คนอ่าน
คนอ่านส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมด ไม่ได้อ่านตั้งฉบับ มักตัดสินงานจาก ฉบับที่แปลแล้ว บางครั้งงานที่แปลแล้วอ่านได้สละสลวย ภาษางดงาม แต่ความหมายคลาดเคลื่อน ขาดความละเอียดไปมากก็มี
การอ่านเพื่อสะสมความศัพท์และความหมายถึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักแปล จะพบบ่อยๆ ว่า เข้าใจภาษาต้นฉบับ แต่นึกคำเหมาะๆ ที่จะถอดออกมาไม่ได้
นอกจากนี้นักแปลยังต้องมีเครื่องมือ ได้แก่ พจนานุกรม สารานุกรม อภิธานศัพท์ และเอกสารอื่นๆ รวมทั้งการจดบันทึกเพื่อได้ใช้งานด้วย ฯลฯ
เคยอ่านงานแปลชิ้นหนึ่ง ผู้แปลเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ในส่วนบรรยายท่านแปลได้ดีมาก แต่ส่วนที่เป็นบทสนทนา อ่านแล้วตะกุกตะกัก ไม่น่าจะเป็นภาษาพูดจริงๆ
ขอบคุณ อ. ธวัชชัย
อาจารย์สอนดนตรี หรือเปล่าครับ ผมไปเยี่ยมชมเว็บไซต์มา
ขอบคุณสำหรับ ความคิดเห็นจากประสบการณ์ และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ครับ
ขอเพิ่มเติมอีกนิดครับ แว้บขึ้นในห้วงคิดว่า นักแปลนั้นเปรียบเสมือนวิศวกรผู้สร้างสะพานให้คนอีกฝั่งหนึ่งสามารถข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งเพื่อเรียนรู้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือผู้สร้างโอกาสให้คนอีกจำนวนมากสามารถเข้าถึงงานเขียนต่างๆ (โดยเฉพาะคนที่ไม่มีความรู้ด้านภาษาต้นฉบับหนังสือนั้น) ผมว่านักแปลนั้นสร้างคุณูปการที่สำคัญ ทราบมาว่า คนญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่จะฟังพูดอ่านภาษาต่างประเทศได้น้อย แต่พวกเขาสามารถอ่านหนังสือ(ฉบับแปล)ที่นักวิชาการตะวันตกเขียนในภาษาญี่ปุ่นไม่นานนักหลังจากหนังสือนั้นวางตลาด และเท่าที่ทราบชาวอินโดนีเซียก็เป็นเช่นนี้ มันทำให้ชาวญี่ปุ่นรู้เท่าทันวิชาการใหม่ที่ออกมา