เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2551 มีโอกาสได้นำเรื่อง PMQA อ่านตอน 1 เข้าวาระการประชุมเกษตรอำเภอประจำเดือน เพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินการในปี 2551 ซึ่งสำนักงานเกษตรจังหวัดเป็น 1 ใน 8 ส่วนราชการหลักของจังหวัด ที่เป็นจิกซอร์มาต่อเป็นภาพของจังหวัดนครศรีธรรมราช ต้องประเมินตนเองก่อนให้ครอบคลุมถึงระดับอำเภอด้วย หลังจากนั้นค่อยบูรณาการเป็นภาพรวมของระดับจังหวัดต่อไป ส่วนราชการทั้ง 8 ที่ว่านี้เป็นส่วนราชการที่มีส่วนราชการย่อยถึงระดับอำเภอ มี สำนักงานจังหวัด ปกครองจังหวัด เกษตรจังหวัด ปศุสัตว์จังหวัด ประมงจังหวัด พัฒนาชุมชนจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด และ ที่ดินจังหวัด
มีหลายคนถามว่าทำไมที่ ก.พ.ร. กำหนด 8 ส่วนราชการนี้ ก็เนื่องจากว่าเป็นส่วนราชการที่ใกล้ชิดผู้รับบริการจากภาครัฐนั้นคือประชาชนซึ่งนับเป็นเป้าหมายใหญ่ในการให้บริการในด้านต่าง ๆ ของส่วนราชการ และส่วนราชการทั้ง 8 นั้น มีบุคลากรอยู่ในพื้นที่ทำงานลงลึกถึงระดับตำบลหมู่บ้านด้วย
ก็ไม่เป็นเรื่องง่ายนักที่นำเรื่องใหม่ชี้แจงในระยะเวลาอันสั้น ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบก็หาวิธีการให้ย่อที่สุดแต่ให้พอเข้าใจได้ ก็ต้องอาศัยเรื่องมือโสต ฯ เข้าช่วยนั้นคือนำเสนอด้วยขั้นตอนที่สร้างด้วยโปรแกรม Power point ก่อนเข้าประชุมก็สังเกตุเห็นว่าเกษตรอำเภอหลายท่านพูดคุยถึง PMQA อยู่ก่อนแล้วและอ่านเอกสารแนบที่ผมสรุปแนบไว้ในวาระให้ ดูจะเป็นกระแสการทำงานอย่างหนึ่งที่พูดถึงกันอยู่ในช่วงนี้ทั้งระดับจังหวัดและอำเภอ และทุกคนก็พยายามจะเรียนรู้อยู่ด้วย
เอาความรู้สึกของตัวเองในการจะชี้แจง คือมีความรู้สึกว่าตัวผมเองถ้าไม่รู้ที่ไปที่มาแล้วมันจะไม่โล่งโปร่งใสในความรู้สึกที่จะเรียนรู้ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็เลยเอาความรู้สึกนี้มาเป็นกระบวนการ เลยคิดว่าเรื่องเล่าน่าจะมาก่อนว่ากันก่อนที่จะชี้แจงเพื่อให้มองเห็นเหมือน PMQA เป็นใครซักคนที่กำลังเดินทางมาหาพวกเรา มาจากไหน มาทำอะไร มาช่วยอะไรเรา และเราจะทำความรู้จักเขาคนนั้นอย่างไรดี จะให้เขาทำงานให้นั้นต้องเข้าใจเขาก่อน ใช้เขาเป็นว่างั้นครับ
เมื่อผมเล่าเรื่องตั้งแต่ ดำเนินการ PMQA เมื่อ ปี 2550 ของจังหวัดนครศรีธรรมราชจบลง และชี้แจงว่าจะเดินเรื่องนี้ในปี 2551 ในเวลาประมาณ 10 นาที เศษ ๆ สังเกตุทุกท่านนั่งเงียบมาก ตาจ้องที่จอฉาย และเมื่อจบจึงเริ่มคุยและพูดว่า ชัด
ผมได้เรียนรู้เพิ่มอีกว่าบางครั้งการวางแผน และทำการบ้านที่ดีทุกขั้นตอนให้สั้นแต่ให้กระชับใช้เครื่องมือให้เหมาะสม และครอบคลุมเรื่องทั้งหมดก็สามารถทำให้เขามองเห็นภาพและเข้าใจได้ และที่สำคัญ อดีต(เรื่องเล่า)เป็นฐาน ปัจจุบัน(ของจริง) และว่าด้วยอนาคตที่จะทำ ผมไม่ได้ลงรายละเอียดเพราะรู้ว่าเขาจะมึนแน่ ๆ ก็เอาเพียงน้ำจิ้มที่ให้หลายท่านเข้าใจและรู้จักก่อนก็พอ เมื่อถึงอีกวันหนึ่งข้างหน้าค่อยว่ากันอีก
สวัสดีครับ น้องตุก
ก็เป็นแนวทางที่ลองทำดูก็เห็นว่าได้ผลดีนะครับ เรื่องเล่ามีพลังมาก เพราะคงจะทำให้คนฟังมีความรู้สึกเหมือนฟังเรื่องราว มากว่าฟังวิชาการมั่งครับ ดีใจครับที่แนวทางนี้ได้รับความสนใจจาก จ.ยะลา
ดูแลตัวเองด้วย