ปริญญาชีวิต ตอนที่ ๒
“จากการไม่มีสู่การมี”
ในการทำงานพึงมีความขยันหมั่นเพียร หนักเอาเบาสู้ ประหยัดอดออม ในการดำรงชีวิต พึงมีความซื่อสัตย์และกตัญญู ส่งเสริมคนรุ่นหลัง และเสียสละเพื่อสังคม คุณธรรมเหล่านี้ นำท่านให้สามารถพลิกผันชีวิตของตัวเองจากความยากจนของชาวนาในหมู่บ้านเล็กๆ สร้างฐานะ จนกลายเป็นเศรษฐี แต่เศรษฐีอย่างท่านใช้ชีวิตอย่างสมถะในครอบครัว แต่กล้าใช้เงินเพื่อสาธารณะกุศล
สุภาพสตรีท่านนี้อายุท่านก็ไม่ได้มากไปกว่าผู้เขียนสักเท่าไร แต่ผู้เขียนเรียกท่านได้สนิทใจว่า “แม่”
ผู้เขียนรู้จักท่านผ่านทางสายงานธุรกิจที่ลูกชายติดต่อค้าขายอยู่ ได้มีโอกาสพบท่านสองสามครั้ง
ทุกครั้งที่ได้พบพูดคุยกัน ความประทับใจก็เพิ่มขึ้นทุกครั้ง
ความซื่อสัตย์เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆของการทำธุรกิจ พูดคำไหนเป็นคำนั้น เมื่อตกลงซื้อขายกันแล้ว ไม่ว่าราคาจะขึ้นไปเท่าไร เป็นไม่มีการผิดสัญญา ส่งมอบครบตามจำนวน คุณภาพสินค้าก็ได้มาตรฐานไม่มีการผิดเพี้ยนสักนิด คุณสมบัติเหล่านี้มีอยู่ในหัวใจ “คุณแม่” อย่างครบบริบรูณไม่ขาดแม้กระเบียดนิ้ว ซึ่งค่อนข้างจะหาได้ยากในวงการค้าปัจจุบัน
ผู้เขียนตัดสินใจเดินทางไปพบท่านอีกครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อต้องการทราบและสัมผัสชีวิตที่น่าสนใจของท่านนี้ ท่านเล่าว่า ท่านเข้าเรียนชั้นประถมเมื่ออายุ ๙ ขวบ จบประถม ๔ ไม่เรียนต่อ อยากทำงานช่วยเหลือครอบครัวซึ่งมีอาชีพทำนา จึงตัดสินใจออกจากโรงเรียน ตั้งใจเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า โดยยืมเงินจากญาติมาซื้อจักรเย็บผ้า เมื่อมีเวลาว่างจากการตัดเย็บก็ไปช่วยคนในหมู่บ้านทำงาน เก็บเงินได้ครบ ๖๐๐ บาท ท่านดีใจมากรีบนำเงินไปคืนเจ้าของเงินทันที เมื่อท่านออกเรือนมีครอบครัว ท่านแอบคิดในใจว่าทำนามานานหลายปีไม่เคยเห็นมีชาวนาคนไหนตั้งตัวได้ หรือทำนาแล้วรวย เห็นมีแต่พ่อค้าและคนทำโรงสีที่รวยเป็นเถ้าแก่ไปตามๆกัน ท่านตัดสินใจเช่าโรงสีเล็กๆทำการสีข้าวขาย ค้าขายอย่างตรงไปตรงมาบวกกับความขยันขันแข็งไม่ย่อท้อถึงแม้งานโรงสีนั้นจะหนักมากก็ตาม ท่านต่อสู้ด้วยความอดทน กาลเวลาผ่านไปไม่นานนัก จากโรงสีเล็กกลายเป็นโรงสีใหญ่ จากหนึ่งเป็นสองเป็นสาม และเป็นสี่โรง การเจริญเติบโตของกิจการท่านนั้นเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ท่านไม่เพียงประสบความสำร็จในชีวิตเท่านั้น แต่มีความกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้า และต่อแผ่นดินทำกิน ท่านไม่ได้ทอดทิ้งสังคม คอยหมั่นดูแลช่วยเหลือชาวนาที่ยากไร้อยู่เสมอ ทำนุบำรุงโรงเรียนและวัดวาอารามให้เจริญรุ่งเรือง ที่สำคัญกว่านั้นท่านได้อบรมสั่งสอนลูกๆทุกคนให้เป็นคนดี มีศีลมีธรรม มีความซื่อสัตย์ในการค้าการขาย เจริญรอยตามท่าน จนกระทั้งทีชื่อเสียงเลื่องระบือเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคม ผู้เขียนฟังท่านเล่าอย่างใจจดใจจ่อ ตาแทบไม่กระพริบ และด้วยหัวใจอยากรู้อยากสัมผัสท่านจริงๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อยากพักสายตาสักหน่อย ก็เหลือบไปเห็นใบประกาศเกียรติคุณของท่าน “คุณแม่ตัวอย่างแห่งชาติ” คุณ...........
“จากชาวนาเล็กๆกลายเป็นเศรษฐีนีโรงสี ด้วยคุณธรรมแห่งความกตัญญู เป็นคนช่างสังเกต มีสายตาที่มองการณ์ไกล และกล้าลงมือปฏิบัติทันที จากไม่มีอะไรเลย กลายเป็นมีทุกสิ่งทุกอย่าง”
สวัสดีครับ
นับเป็นคนดีที่หายากและน่าชื่นชมครับ
ขอบคุณครับที่นำมาเล่าสู่กันฟัง
จะตามอ่านต่อไปครับ
สวัสดีคะ
ดิฉันชอบบันทึกนี้จังเลยคะ เมื่อมีผู้เป็นตัวอย่างที่ดีมาให้ได้ศึกษา ได้ติตตามอ่าน ทำให้ได้ข้อคิดดีๆ เหมือนได้พลังและแนวคิดในการนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
ขอบคุณมากคะ
ขอบคุณทุกท่านที่ตามมาให้กำลังใจ
ผู้เขียนตั้งใจจะเขียนลงบันทึกทุกวันอาทิตย์
ยังมีอีกหลายตอน ขอเชิญชวนมาอ่าน จะให้คำแนะนำหรือติก็ได้นะครับ ยินดีรับฟังเสมอ มีโอกาสไปเยี่ยมคุณแม่ครั้งหน้า จะถ่ายรูปท่านมาแนะนำให้รู้จัก
บันทึกน่าสนใจครับ
จะติดตามอ่านตอนต่อไป
ขอบคุณครับ คุณร่มไม้ใหญ่ใกล้ทาง
ขอบพระคุณค่ะ
หนิงดีใจจังเลยที่ได้อ่าน blog นี้ และจะขอติดตามอ่านต่อไปนะคะ
สวัสดีครับคุณหนิง
ปริญญาชีวิตตอนที ๔ ได้บันทึกเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับอาทิตย์นี้ ไม่ทราบว่ายังได้ติดตามอ่านอยู่หรือเปล่าครับ ช่วยแวะมาให้กำลังกับผู้เขียนด้วยนะครับ
อ่านบันทึกคุณลุง มีกำลังใจในกานดำเนินชีวิตมากขึ้นเลยครับ