ตามหนังสือสพฐ. ด่วนที่สุด ที่ ศธ 04002/ว627 ลงวันที่ 26 มีนาคม 2551
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551 ให้จัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวให้แก่โรงเรียนเพิ่มขึ้น โดยเงินอุดหนุนรายหัวระดับก่อนประถมศึกษา คนละ 1,700.- บาท/ปีการศึกษา, ระดับประถมศึกษา คนละ 1,900.- บาท/ปีการศึกษา, ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คนละ 3,500.- บาท/ปีการศึกษา และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คนละ 3,800.- บาท/ปีการศึกษา
รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ได้อนุมัติให้ สพฐ. ใช้อัตราที่ว่างจากการเกษียณอายุในปี 2550 ได้ทั้งหมดในทันที จะช่วยลดอัตราความขาดแคลนข้าราชการครู
เพื่อให้ความสนับสนุนจากรัฐบาลส่งผลต่อการลดภาระให้แก่ผู้ปกครองได้ชัดเชน ในการเปิดภาคเรียนเดือนพฤษภาคม 2551 จึงขอให้ดำเนินการ ดังนี้
1. สถานศึกษาในสังกัด สพฐ. จะต้องไม่เก็บค่าใช้จ่ายจากนักเรียนเป็นรายบุคคลสำหรับการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. การเก็บเงินเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษานอกหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะดำเนินการได้ตามความจำเป็น โดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษา เช่น โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program : EP) หรือห้องเรียนพิเศษต่าง ๆ เป็นต้นและจะต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้เรียนเท่านั้น สำหรับการพัฒนาคุณภาพการศึกษานอกหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานอื่น ๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหากผลเป็นประการใด จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
3. การบริหารจัดการเงินอุดหนุนที่ได้รับจะต้องให้มีความโปร่งใส ความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียน โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพของการเรียนการสอนและการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นลำดับแรก
4. การระดมทรัพยากรเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา สามารถดำเนินการตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อจัดการศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกาศ ณ วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2545 โดยสถานศึกษาจะต้องจัดทำเป็นโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่มีเป้าหมายชัดเจน และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษา รวมทั้งเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้ปกครอง โดยให้ดำเนินการหลังจากการรับนักเรียนสิ้นสุดลง มีการออกใบเสร็จรับเงิน มีการบริหารการเงินที่ถูกต้องและเป็นระบบ
5. สถานศึกษาพึงถือเป็นหน้าที่ที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครอง และพึงหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองด้วยการกำหนดให้ซื้อเครื่องแต่งกายสำหรับโอกาสต่าง ๆ หรือการกำหนดให้ซื้อเครื่องใช้ เช่น กระเป๋า สมุด หนังสือ จากโรงเรียน
6. สำหรับนักเรียนที่ด้อยโอกาสซึ่งยังได้รับเงินช่วยเหลือในอัตราเดิม คือ ร้อยละ 30 ของนักเรียนระดับประถมศึกษา และร้อยละ 20 ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นนั้น ขอให้จัดสรรอย่างเป็นธรรม รวมทั้งดูแลผ่อนภาระในเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น เครื่องแบบนักเรียน หนังสือเรียน หรืออาหารกลางวันให้มากที่สุด และหากมีความจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมเป็นพิเศษเฉพาะราย ให้แจ้ง สพท. หน่วยงานภายในจังหวัดที่มีบทบาทในการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ และ สพฐ. ทราบ เพื่อหาทางช่วยเหลือเพิ่มเติม
7. กรณีที่สถานศึกษามีค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคลากร ค่าสาธารณูปโภค ค่าก่อสร้างซ่อมแซมอาคารสถานที่ของโรงเรียน สพท.สำรวจข้อมูล กลั่นกรองความจำเป็น และให้ความช่วยเหลือโดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร และรายงาน สพฐ. ทราบ เพื่อให้ความสนับสนุนเพิ่มเติม
ไม่มีความเห็น