อย่าลืมดูแลสุขภาพตนเอง


สุขภาพตนเอง

มันเป็นประสบการณ์ราคาแพง ที่เราพร่ำสอนน้องๆหรือผู้ร่วมงานอื่นๆแต่ลืมนำกลับมาดูแลตนเอง จึงอยากจะขอนำประสบการณ์มาเล่าสู่ให้พวกเรานักบำบัดทั้งหลายว่า เราดูแลคนไข้จนนับไม่ถ้วนแต่เราไม่ได้ให้เวลาในการดูแลตนเองซักเท่าไร จึงจะขอเล่าเป็นอุทาหรณ์ให้พวกเราฟังดังนี้

 มันเป็นเรื่องจริงหรือฝันไปในวัย 58 ปี 11 เดือน 21 วัน  เริ่มจากก่อนหน้านี้ 2 วัน คือวันที่ 18 มีนาคม 2551  ฉันจำได้แม่นยำว่า วันนั้นเข้าอบรม CBT ที่ห้องประชุม 6  รู้สึกว่าทำไมมีน้ำตาข้างซ้ายไหลอยู่ตลอดเวลาข้างเดียวทั้งวัน ฉันได้แต่เอากระดาษทิชชูซับตลอดเวลารู้สึกรำคาญมาก  วันที่ 19 มีนาคม 2551  อาการน้ำตาไหลนี้ก็ยังไม่หาย  ไม่รู้สึกแสบหรือเจ็บอย่างใด  แต่มันน่ารำคาญเหมือนคนร้องไห้ ที่ต้องนั่งซับน้ำตาตลอดเวลา  รู้สึกแปลกใจจึงพูดกับเพื่อนที่เข้าอบรมด้วยกันว่า “ไม่รู้เป็นอะไร  น้ำตาข้างซ้ายไหลตลอดเวลา” เพื่อนคนนั้นพูดว่า “ระวังนะ ตอนหนูเป็นเบลล์ ก็เป็นอย่างนี้”  เราก็ได้แต่ฟังเฉยๆ  แต่ใจไม่เคยเชื่อว่า  เราคนแข็งแรงมาก ไม่เคยเจ็บป่วยอะไร จะเป็นเบลล์อะไร  และ คุยเรื่องอื่นๆ ต่อไป  เมื่อกลับถึงบ้านก็เล่าให้สามีฟังว่า “เราไม่รู้เป็นอะไรน้ำตาข้างซ้ายไหลอยู่ตลอดเวลามา 2 วันแล้ว  เล่าให้เพื่อนที่ทำงานฟังเขาบอกว่าก่อนเป็นเบลล์ เขาก็มีอาการน้ำตาไหลอย่างนี้ เราไม่สบายใจเลยจริงๆ”  แฟนก็บอกว่า “ไม่เป็นอะไรหรอกน่า เขาก็เคยน้ำตาไหลแบบนี้ไม่เห็นเป็นอะไรเลย อย่าตกใจไปเลย  ตามันคงแห้งต่อมน้ำตามันเลยขับน้ำตาออกมาทำให้น้ำตาไหล”  เราก็ได้แต่ฟังแต่ก็ยังไม่สบายใจอยู่นั่นแหละ 
เช้าวันที่ 3 วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่  21 มีนาคม 2551  ได้แต่งตัวมาทำงานตามปกติ  แต่ด้วยความไม่สบายใจจึงตัดสินใจบอกกับแฟนว่า “จะไปหาหมอตาที่สถาบันประสาทวันนี้แหละ เพราะที่โรงพยาบาลเราไม่มีหมอที่เชี่ยวชาญทางโรคตา” พร้อมทั้งโทรแจ้งหัวหน้าและเพื่อนที่ทำงานทราบว่าลาป่วยเพราะตาเจ็บ วันนี้ได้พบหมอ และตรวจตาข้างซ้าย หมอบอกว่า “ตาเริ่มแดงและอักเสบ” จึงให้ยาหยอดตาทุกชั่วโมง และยาป้ายตาก่อนนอน นัดต่ออีก 1 เดือน มาพบ เราก็ทำตามที่หมอบอก วันต่อมาอาการดีขึ้นเล็กน้อยแต่ต่อมาก็เหมือนเดิมมีอาการน้ำตาข้างซ้ายไหลอยู่ตลอดเวลา  รู้สึกไม่สบายใจมากๆ และมีความรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อใบหน้าด้านซ้ายมีอาการหนาขึ้นไม่เหมือนเดิม เวลาบ้วนน้ำมุมปากด้านซ้ายมีน้ำพุ่งออกมาไม่สามารถควบคุมได้  ตัวเองยังงงว่าหรือเป็นเพราะถอนฟันด้านล่าง แต่เมื่อก่อนไม่เห็นเป็น  ยิ่งมองหน้าตัวเองอย่างพิจารณาพบว่าดวงตาด้านซ้ายมีแววตาเฉยมาก หรี่ตาทำได้ข้างเดียวคือด้านขวา ข้างซ้ายทำไม่ได้  เวลาเคี้ยวอาหารก็ทำได้ไม่เหมือนเดิม กล้ามเนื้อปากทำงานได้ไม่เหมือนปกติ  ถามแฟนว่า “มองเห็นความผิดปกติบนใบหน้าเราไหม” แฟนว่า “ไม่เห็นมีอะไร”
 จนวันจันทร์ฉันไม่ได้ไปทำงานเพราะเป็นช่วงพักร้อน  ฉันได้แต่กลุ้มใจนอนน้ำตาข้างซ้ายไหล นอนหยอดตาอยู่กับบ้าน ตกเย็นแฟนกลับมาจากทำงานชวนออกไปรับประทานอาหารเย็นข้างนอกเราก็ไปอย่างนั้นแหละ เพราะไม่มีกะจิตกะใจทำอาหารให้เขารับประทานจึงต้องออกไปทานข้างนอก  ก็รับประทานก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ลาดหน้าธรรมดาก็เคี้ยวไม่ได้ดีเหมือนปกติ และบอกให้แฟนฟังดูซิฉันเคี้ยวได้ข้างเดียวและกลืนก็ไม่ถนัดด้วย ฉันไม่สบายใจจริงๆเลย ขากลับบ้านเราไม่รู้วาแฟนคิดอะไรขณะนั้นเวลาประมาณ 19 .30 น แฟนได้โทรศัพท์ไปที่สภาบันประสาทวิทยาถามหาหมอคลินิกนอกเวลา ปรากฏว่าหมอกลับไปแล้วจึงบอกว่าพรุ่งนี้คุณหมอสุชาติออก โอพีดี จะฝากหมอให้  เมื่อได้พบคุณหมดสุชาติในวันที่ 25 มีนาคม 2551  แพทย์ตรวจอาการ Neuro sign และบอกว่าเป็นเบลล์ระยะต้นแต่ไม่เป็นไร หมอจะสั่งยาให้ 1 สัปดาห์และมาพบหมออีกครั้ง ใจฉันตอนนั้นงงมากมันเป็นได้อย่างไงไม่รู้จักเลย ถามหมอว่ามันเป็นได้อย่างไร หมอบอกว่ามันไม่รู้สาเหตุ มันเกิดอาการอักเสบของปลายประสาทคู่ที่ 7 ซึ่งเกิดมาจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่ทราบว่ามันเข้ามาได้อย่าไร หรืออาจจะเกิดจากการติดเชื้ออย่างไรก็ได้ แต่หมอจะให้ยาฆ่าเชื้อไวรัส (zovirax 800 mg) และยา Prednisolone  ทานยาที่หมอให้ครบอาทิตย์และมาหาหมออีกครั้ง ฉันตกใจและงงมากมันเกิดอะไรขึ้นกับฉันและมันจะรุนแรงกว่านี้อีกไหม หมอบอกว่าให้ทานยาฆ่าเชื้อไวรัสอย่าให้ขาด ทานทุก 4 ชั่วโมง แต่ยาค่อนข้างแพงมากเม็ดละ 125 บาท ทานวันละ 5 ครั้ง ตกแล้ว 1 สัปดาห์ 3,298 บาท เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะทำได้  นอนพักหยอดตาและป้ายตา แต่อาการน้ำตาไหลก็ยังไม่ค่อยดีขึ้น จึงคอยสังเกตอาการตัวเองและรับประทานยาตามเวลาที่หมอสั่ง มิได้ขาด ไม่รู้ว่าเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า  แต่ฉันว่าอาการทางกล้ามเนื้อใบหน้าดีขึ้น อ้าปากได้ตรงถึงแม้จะยังมีอาการน้ำตาข้างซ้ายไหลอยู่
  ฉันได้แต่ทำตัวตามหมอสั่ง  อย่างเคร่งครัดเป็นเวลา 1 สัปดาห์เต็มๆ  ส่องกระจกอยู่ตลอดเวลา ใจกลัวมากว่า จะไม่เหมือนเดิม หมดกำลังใจและหงุดหงิดมากไม่รู้จะเล่าหรือบอกอะไรให้ใครฟัง จะพึ่งแฟนก็ไม่ได้ มันแสนจะทรมานในการกินยาให้ครบอาทิตย์เพื่อกลับไปพบแพทย์ ตัวเองก็ยังงงๆว่าแล้วมันจะหายหรือไม่ เพราะไม่เคยมีคนใกล้เคียงเป็นโรคนี้ให้คอยสัมผัส  แต่เคยได้ยินแฟนพูดว่า โรคนี้รักษาหายได้ถ้าเป็นในระยะเริ่มแรกและก็เคยเห็นคนเป็นและหายได้เช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลานานเท่าไร  ได้แต่ปฏิบัติตัวเป็นคนไข้ที่ดี ทานอาหารจืดรสไม่จัดที่สำคัญต้องไม่หวานและรอวันมาพบแพทย์ตามนัด
   และเมื่อวันนั้นมาถึง กำลังใจบางส่วนได้จากลูก ซึ่งก็ไม่ได้ให้ตรงๆ  เผอิญว่าหมอผู้นัดติดประชุมด่วนจึงได้พบกับอาจารย์อีกท่านหนึ่งหมอก็ได้ตรวจดูและบอกว่าหายแล้วไม่ต้องสั่งยาให้อีก จึงได้ทำการรักษาในเรื่องของโรคอื่นต่อไป ก็ยังไม่วายถามซ้ำกับหมอว่ามันเกิดจากอะไรหมอบอกว่า ไม่รู้สาเหตุรู้แต่ว่าเกิดจากเชื้อไวรัส และโรคอื่นที่เสริมทำให้มีอาการเป็นขึ้นมาได้ เช่น เบาหวาน และความดัน เพราะฉะนั้นจึงต้องงดอาหารหวานกินอาหารจืดและออกกำลังกาย ทำใจให้สบาย  หมอบอกเพียงเท่านี้
  สรุปได้ว่า มันคือเรื่องจริงหรือเรื่องฝัน เวลาจะเป็นก็เป็นเวลาจะหายไม่บอกใครไม่มีใครรู้ มันเป็นประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นบ้าง รู้แต่ตัวเองต้องไม่กินหวาน กินอาหารจืด และออกกำลังกายอย่างที่หมอบอกเท่านั้น ทำให้รู้ว่า อะไรๆก็ไม่แน่นอน สิ่งที่สวยสดงดงามอาจบิดเบี้ยวไปได้ อย่างที่ไม่มีใครต้องการ มันคงเป็นบุญหรือกรรมของแต่ละคนมั่ง จึงคงต้องทำส่วนที่เหลือให้ดีที่สุด และได้เล่าประสบการณ์ที่ได้พบนี้ให้น้องๆที่ทำงานฟัง ทุกคนตกใจ และไปค้นคว้าข้อมูลต่างๆเรื่อง Bell’s palsy จาก web site ซึ่งมีอาการตรงกับในทฤษฎีทุกประการเหมือนกับ case study ตามเอกสารแนบท้าย ทำให้เราหวนคิดอยู่ตลอดเวลา ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือฝันไป อะไรๆมันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก นี่ถ้าเราไม่รู้หรือสังเกตอาการตัวเองทันเหตุการณ์เราคงต้องเป็นผู้ที่มีใบหน้าเบี้ยวไปตลอดชีวิตที่เหลือไม่มีรอยยิ้มที่สวยงามให้ยิ้มได้อีกต่อไป ฉันจะยิ้ม...ยิ้ม และยิ้มให้สวยที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันจะไม่มีโอกาสได้ยิ้ม  ขอขอบคุณคนใกล้ชิดที่ช่วยติดต่อพาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถึงแม้บางครั้งเขาจะทำได้เหมือนไม่ทันใจเรา ขอขอบคุณถ้าไม่ได้เขาเราก็ไม่รู้ว่าจะหายได้หรือเปล่า ฉันจะเก็บความรู้สึกที่ดีและนำมาคิดทุกครั้งเพื่อให้อภัย ถ้าเขาทำอะไรไม่ถูกใจให้.

Bell palsy (โรคหน้าเบี้ยว) พ.ญ. วาริสา โสพัศสถิตย์

โรค Bell palsy คืออะไร เป็นอาการหน้าเบี้ยวที่เกิดจากเส้นประสาทสมองคู่ที่เจ็ด (facial nerve) อักเสบหรือได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเส้นประสาทสมองคู่ที่เจ็ดดังกล่าวออกจากก้านสมองผ่านใต้กระโหลกศรีษะ มาโผล่ที่หน้าหูแล้วแยกเป็นสองแขนงทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าด้านเดียวกัน แขนงบนช่วยในการหลับตา แขนงล่างช่วยดึงกล้ามเนื้อมุมปาก เช่น การยิ้ม การห่อปาก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแขนงย่อยๆ ไปลี้ยงที่เยื่อแก้วหู และรับรสที่ลิ้นด้วย

(Modified from N Engl J Med 2004;351:1323-31).

เหตุที่เรียกว่า Bell palsy ก็เพราะ ได้ชื่อตามนายแพทย์ Charles Bell ศัลยแพทย์ชาวสก็อตเป็นผู้บรรยายอาการของโรคนี้ไว้เป็นท่านแรกตั้งแต่ศตวรรษที่ 19

Sir Charles Bell

หน้าเบี้ยว หลับตาไม่ได้ ไม่ใช่โรคอัมพาตหรือ? อาการของโรค Bell’s palsy ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเร็วใน 1-2 วัน ตื่นมารู้สึกหน้าหนักๆ หลับตาไม่สนิท ตาแห้ง ทานน้ำมีน้ำไหล จากมุมปาก บางรายมีลิ้นชาหรือหูอื้อๆ ร่วมด้วย ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์เร็วเพราะมีคนทัก และกลัวเป็นอัมพาต ซึ่งอาการของสมองขาดเลือด (อัมพฤกษ์-อัมพาต)จะแยกได้โดย มักจะมีอาการทางระบบประสาทอื่นร่วมด้วย ได้แก่ แขนขาอ่อนแรงข้างเดียวกับที่มีปากเบี้ยว ตาเห็นภาพซ้อน เดินเซหรือมีอาการบ้านหมุน เป็นต้น

(Modified from N Engl J Med 2004;351:1323-31).

แล้วสาเหตุเกิดจากอะไร จะติดต่อกันได้หรือไม่ ? พบว่าอาการหน้าเบี้ยวเกิดขณะที่เส้นประสาทมีการอักเสบ บวม หรือถูกกดทับ ในคนที่ปรกติแข็งแรงดีมาก่อน เชื่อว่าน่าจะมีการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสเริม ไวรัสไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ยังพบบ่อยในสตรีตั้งครรภ์, ผู้ป่วยเบาหวาน, มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือต่อมน้ำเหลือง, ผู้ติดเชื้อไวรัส HIV และกลุ่มผู้ได้รับอุบัติเหตุทางสมอง

  ทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคหน้าเบี้ยว 

ดูจากประวัติและอาการเป็นหลัก และการตรวจร่างกายโดยแพทย์ทางระบบประสาทโดยตรง ในบางรายอาจจำเป็นต้องตรวจเลือด หรือเอกซเรย์ทางสมองเพิ่มเติม

  แล้ววิธีการรักษาในปัจจุบันมีอะไรบ้าง 

อย่างแรกต้องทราบก่อนว่าอาการ Bell’s palsy ในแต่ละรายไม่เท่ากัน สาเหตุหรือการบวมอักเสบของเส้นประสาทก็ต่างกัน ในบางรายที่มีอาการน้อย อาจไม่ต้องทำอะไรก็หายเองได้ใน 2 สัปดาห์ การศึกษาปัจจุบันพบว่ายากลุ่มสเตียรอยด์ (steroid) ช่วยลดการบวมและอักเสบของเส้นประสาท ทำให้หายเร็วขึ้น โดยให้ในวันแรกๆที่เริ่มมีอาการ เนื่องจากยาต้องให้ในขนาดสูง จึงมักพบผลข้างเคียงได้ เช่น นอนไม่หลับ, แสบท้องจากกรดในกระเพาะเพิ่มขึ้น, หิวบ่อยหรือน้ำหนักตัวเพิ่ม, นอกจากนี้ยังอาจทำให้บวมชั่วคราว และน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมากในรายที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว

   ส่วนยาในกลุ่มต้านไวรัสเริม จากผลการทดลองล่าสุดใน New England journal medicine (November 13, 2007) แสดงให้เห็นว่ายาในกลุ่มต้านไวรัสเริมไม่ได้ประโยชน์ในผู้ป่วยโรค Bell’s palsy 

(N Engl J Med 2007;357:1598-607)

เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถหลับตาได้สนิทหรือกระพริบตาน้อยลง ทำให้กระจกตาแห้ง สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาโรค Bell’s palsy คือ ป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบหรือแผลที่กระจกตา ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้โดยการปิดตาและให้หยอดน้ำตาเทียม ส่วนการทำกายภาพโดยการใช้ไฟฟ้ากระตุ้น หรือการแพทย์ทางเลือก เช่น การฝังเข็ม ก็มีรายงานว่าช่วยในบางราย

  ใช้เวลาในการรักษานานแค่ไหน และจะหายสนิท ? 

ส่วนใหญ่จะดีขึ้นมากใน 2 อาทิตย์แรก และประมาณ50% ของผู้ป่วยจะหายสนิท และส่วนที่เหลืออาการจะค่อยๆดีขึ้นใน 3-6 เดือน แต่ในรายที่เส้นประสาทมีปัญหาอยู่เดิม เช่น เบาหวาน หรือ เกิดจากเชื้องูสวัด มักจะไม่หายสนิท โอกาสที่เป็นซ้ำอีกพบน้อยมาก ถ้าเกิดเป็นซ้ำหลายครั้ง แพทย์จะหาสาเหตุเพิ่มเติม

                                                                                                                 คำพร ปาระมี
                                                                                                           พยาบาลวิชาชีพ 8 วช.

หมายเลขบันทึก: 176004เขียนเมื่อ 9 เมษายน 2008 11:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 22:44 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีคะ คุณรุจิรา

บันทึกนี้ ยังไม่ได้จัดหน้าคะ ก็เลยทำให้อ่านยากนิดนึง ลองจัดย่อหน้าดูนะคะ ผู้อ่านท่านอื่นๆ จะได้อ่านง่ายมายิ่งขึ้นคะ :)

ขอบคุณมากครับคุณรุจิรา ผมกำลังเป็นโรคBell’s palsy เดียวกับคุณอยู่คับ มันลำบากมากคับ แทบไม่อยากคุยกะใครเลย อาย กลัวเพื่อนล้อ ไม่กล้าบอกเพื่อน เพิ่งเป็นมา 2อาทิต ยังไม่หายเลยคับ ขอบคุณมากคับที่ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟัง เหมือนกานเลยคับ แต่ผมค่อยข้างแย่เลยคับ เป็นช่วงสอบเลยคับ นอนเกือบเช้าทุกวัน(ทั้งๆที่หมอสั่งให้พักผ่อนเยอะๆ) แต่ดีที่ได้ยาไม่งั้นคงแย่เลยทีเดียว .............สุดท้าย: ถ้าเกิดพี่หายแล้วขอให้อย่าเป็นอีกเลย ถ้าเป็นอยู่ขอให้หายเร็วๆนะคับ(ถ้าเกิดพี่เช็คกระทู้ส่งเมลมาคุยกานนะคับ)

ขอให้ทุกคน: ที่เป็นโรคนี้หายเร็ว อย่าได้เป็นโรคนี้อีกเลย

ขอบคุณมากค่ะคุณรุจิรา หนูกำลังเป็นโรค Bell’s palsy อยู่เป็นตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. 2552 ตอนนั้นหนูท้องใกล้คลอดหนูคลอดลูก วันที่ 15 ก.ค. 2552 ตอนนี้ลูกได้ 9 เดือนแล้วยังไม่หายสนิทเลย ไม่รู้ว่าจะหายสนิทหรือ ยิ้ทปากยังเบี้ยวอยู่เลยรู้สึกไม่มันเลยค่ะ มีบางคนว่าประมาณ 2 ปีถึงจะหายสนิท

สวัสดีค่ะ พอดีหาข้อมูลช่วยน้องที่ออฟฟิศ ค่ะ ลูกสาวเขาเป็นอยู่ อายุ เพิ่งจะ 3 ขวบ หน้าเบี้ยวเยอะอยู่ แต่รักษาอยู่กับย่าที่ต่างจังหวัด แม่ของเด็กอยากเอามาตรวจที่ศิริราช แต่ทางญาติอยากรักษาที่ต่างจังหวัดก่อน ไม่แน่ใจว่าโรคนี้ต้องรักษาเฉพาะทางเลยหรือเปล่าคะ แล้วต่างจังหวัดเชื่อถือได้แค่ไหนคะ

เราเคยเป็นตอนเด็ก แต่ตอนนี้มีผลข้างเคียงคือ กะพริบตาแล้วปกจะกระตุก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท