โลกร้อน (2.1)


ต่อจากบันทึก "โลกร้อน (2)"

เมื่อมองจากกฏการอนุรักษ์พลังงานแล้ว เรามองโลกเป็นวัตถุก้อนหนึ่ง ที่มีดวงอาทิตย์แผ่พลังงานมาให้ พลังงานของดวงอาทิตย์ให้มาในรูปของแสงแดด เมื่อเข้ามาในบรรยากาศของโลกแล้ว พลังงานนี้ไม่หายไปไหน แต่เปลี่ยนไปเป็นพลังงานความร้อน

ถ้าโลกระบายพลังงานจากดวงอาทิตย์ออกไปได้ไม่มากพอ ก็จะมีความร้อนสะสมขึ้นเรื่อยๆ พลังงานไม่สูญหายไปไหน มันจะเปลี่ยนรูปเฉยๆ

จากบันทึกที่แล้ว มีนักวิทยาศาสตร์ประมาณเอาไว้ว่ามีพลังงานจากดวงอาทิตย์ตกค้างอยู่ในโลกถึงวันละ 40% ของที่โลกได้รับจากดวงอาทิตย์ ... ท่านเชื่อไหม ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตลอดอายุของโลก ทำไมป่านนี้ไม่ร้อนจนตับแลบไปแล้วล่ะ

ผมไม่ได้สนใจเรื่องตัวเลข 40% หรอกครับ แต่เชื่อว่าพลังงานจากดวงอาทิตย์สะสมอยู่จริง

โลกมีวิธีการจัดการตัวเอง แต่วันนี้ไม่ไหวแล้ว

พื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก เป็นมหาสมุทร ในมหาสมุทรมีสาหร่ายเซลเดียวล่องลอยอยู่ในกระแสน้ำ สาหร่ายเหล่านี้สังเคราะห์แสง เปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายอยู่ในมหาสมุทรเป็นออกซิเจน ทีละเล็กทีละน้อย

ไม่มากเหมือนยุคดึกดำบรรพ์หรอก แต่ก็ยังพอมีอยู่ รูปทางขวา สีส้มคือสาหร่าย ถ่ายจากดาวเทียม บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก มีเป็นเส้นทางเดินทางของวาฬจากอลาสก้า เลาะฝั่งมาแถวนี้เพื่อผสมพันธ์ และเลี้ยงลูกเล็ก (วาฬกินแพลงตอน แพลงตอนกินสาหร่าย)

กระบวนการสังเคราะห์แสงนี้ คือกระบวนการทางเคมี ใช้แร่ธาตุในน้ำทะเล เปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ เป็นการเจริญเติบโต แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่อาหารในทะเล

ในส่วนบนบก เราก็มีต้นไม้ไงครับ กระบวนการเดียวกัน รากต้นไม้ดูดสารเคมีจากดินไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง เปลี่ยนพลังงานที่รับจากดวงอาทิตย์ มาเป็นการเจริญเติบโต

ดูจากภาพถ่ายดาวเทียมแล้ว ต้นไม้เมืองไทยหายไปไหนหมดหนอ ไหนว่าปิดป่าไปตั้งนานแล้วไง จุดแดงคือไฟ (ไฟป่าหรือคนเผา) สีเทาคือควันไฟ

ต้นไม้ (คนละความหมายกับหลานแห่งชาติ) เปลี่ยนพลังงานจากดวงอาทิตย์เป็นการเติบโต ต้นไม้เป็นส่วนของห่วงโซ่อาหาร ต้นไม้ให้ร่วมเงา ต้นไม้คายออกซิเจนในเวลากลางวัน (หยวนให้หายใจในตอนกลางคือ ให้พักได้บ้าง)

ต้นไม้ให้ร่มเงา แสงแดดตกกระทบพื้น พื้นร้อนระอุ กระทบแหล่งน้ำ น้ำก็ระเหย แดดกระทบคน ตัวดำปี๋ ต้องโบ๊ะครีมกันแดดกับยาพอกขาว

อยู่ในบ้านยังร้อนตับแตก เปิดแอร์ก็ใช้พลังงานซึ่งมาจากน้ำมัน โลกร้อนหนักเข้าไปอีก แอร์คือเครื่องมือที่ย้ายความร้อนจากที่หนึ่งไปทิ้งอีกที่หนึ่ง แต่แอร์ใช้ไฟฟ้า การผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่สร้างก๊าซเรือนกระจก

มนุษย์ทำลายโลก

ความก้าวหน้าของมนุษยชาติ ปลดปล่อยพลังงานแสงอาทิตย์ที่เก็บไว้ในรูปของฟอสซิลตลอดหลายล้านปี เอามาสร้างพลังงาน กระบวนการต่างๆ ของมนุษย์ สร้างมลพิษ ทำให้สิ่งแวดล้อมเสียสมดุลย์ไป หากมนุษย์หยุดกระบวนการทำลายโลกลงในทันที ก็ยังอาจจะใช้เวลาอีกเป็นแสนปี กว่าที่โลกจะปรับตัวเองเข้าสู่สมดุลย์อีกครั้งหนึ่ง

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โลกจะยังคงอยู่จนดวงอาทิตย์จะขยายตัวมาเผาโลกในอีกสี่พันห้าร้อยล้านปีข้างหน้า แต่ในยุคของลูกหลานเรา โลกอาจจะกลายเป็นโลกที่ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยในแบบที่เราคุ้นเคยอีกต่อไป

ถึงแม้เราจะหยุดการทำร้ายโลกในวันนี้ ก็จะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งคงจะเกินอายุขัยของเราและรุ่นลูกด้วยซ้ำไป

ถึงกระนั้น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะปล่อยไปตามสบายเพียงเพราะคิดว่าตัวเราคงรอด

พลังงานสกปรก!

พลังงานสะอาดไม่ได้เกิดจากการเผาแน่นอนครับ การเผาคือการเปลี่ยนสถานะของเชื้อเพลิง จากของแข็ง/ของเหลว/ก๊าซ ไปเป็นพลังงานกับอะไรสักอย่าง -- พลังงานเราเอาไปใช้ แต่ไอ้อะไรสักอย่างนั่นแหละที่เป็นปัญหา คือไม่ได้มีการกำจัด ไม่ว่าจะเป็นเถ้า เป็นไอ เป็นควัน เป็นหมาปิ้ง หรืออะไรต่อมิอะไร

ที่ร้ายที่สุดคือการเผาไหม้ในที่โล่ง นอกจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์แล้ว ยังปล่อยอะไรสักอย่างออกสู่บรรยากาศโดยไม่มีการควบคุม

เผาตรงนี้ ผลไปเกิดที่อื่น คนเผาอาจไม่เห็นผลจะๆ แต่จะบอกว่าอ่อนต่อโลกไม่รู้ประสีประสา ก็คงอ้างไม่ได้เหมือนกัน เผาป่า ไม่ใช่แต่ส่งผลข้ามจังหวัดเท่านั้น อันนี้พี่น้องทางภาคใต้รู้ดี

การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล/ไฮโดรคาร์บอนสร้างก๊าซเรือนกระจกเสมอ ตราบใดที่เรายังใช้น้ำมันดิบ เหตุการณ์ก็ยังเป็นอย่างนี้ ยกเว้นว่าจะมีการกักเก็บก๊าซที่เกิดจากการเผาให้เชื่อเพลิงไฮโดรคาร์บอน อันนี้รวมถึงก๊าซชีวมวลและถ่านหินด้วยเพราะเป็นไฮโดรคาร์บอนเหมือนกัน

กระบวนการปิโตรเคมี เป็นการเปลี่ยนแปลงพันธะทางเคมีของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน และปล่อยความร้อนออกมา เกิดสารประกอบต่างๆ มากมาย

พลังงานนิวเคลียร์ ดูเหมือน "มาจาก" ธรรมชาติ ที่จริงแล้วพลังงานนิวเคลียร์ที่เราเอามาใช้ เป็นการเร่งกระบวนการตามธรรมชาติแบบที่ควบคุมได้ เมื่อไปเร่ง ก็จะได้ความร้อนออกมา เอาความร้อนไปใช้ ดูเผินๆเหมือนเป็นพลังงานที่ "ราคาถูก" ที่จริงแล้ว เราจ่ายราคาแพงมากที่ค่ากำจัดกากนิวเคลียร์

ที่ยกตัวอย่างมานี่ มีปัญหา ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งทั้งนั้น จึงได้บอกว่าความก้าวหน้าของมนุษย์ กลับทำลายโลกนี้

อย่างนี้หมายความว่า "ทำอะไรก็มีปัญหาอย่างนั้นหรือ" ที่จริงก็ไม่ทั้งหมด แต่เกรงว่าจะต้องตอบว่าส่วนใหญ่ใช่ครับ

พลังงานสะอาด -- ยากผิดปกติ

ทำดี ทำไมถึงยากเย็นอย่างนี้

ถ้ามองโลกเป็นวัตถุก้อนหนึ่ง ดวงอาทิตย์เผาโลก แต่โลกก็แผ่รังสีออกไป หักกลบแล้วยังตกค้างอยู่อีก 40% ของที่ดวงอาทิตย์ให้มา แต่โลกก็ดูดซับพลังงานเหล่านั้นไว้ในรูปพลังงานเคมี ส่วนใหญ่เป็นฟอสซิล

แต่เราก็เอาฟอสซิลมาเผา ปลดปล่อยพลังงานเคมีที่สะสมอยู่ออกมา เหมือนปล่อยแสงอาทิตย์ที่สะสมไว้ออกมา มันก็ร้อนแหงๆ ไม่เชื่อไปยืนตากแดดดูซิครับ

พลังงานเขียวเป็นพลังงานสะอาดหรือไม่? ไม่หรอกครับ มันเขียวเฉยๆ

มนุษย์ใช้พลังงานทำงานแทน ครั้นจะบอกให้กลับไปใช้วิถีชีวิตแบบมนุษย์ยุคหิน คงไม่ใช่คำแนะนำที่ดี (ถึงดีก็ไม่มีใครทำ)

พลังงานมองไม่เห็น จะบอกว่าสะอาดหรือสกปรก ก็เป็นคำที่พิลึก!

แต่เอาเถอะครับ ยังมีพลังงานที่สะอาดจริงๆ คือพลังงานธรรมชาติ พลังงานเหล่านี้ เอามาใช้ได้อย่างวางใจ ก็เป็นพลังงานที่เกี่ยวเนื่องกับดวงอาทิตย์ (เหมือนได้ฟรี) เพียงแต่ต้องเปลี่ยนให้อยู่ในรูปเหมาะสมก่อน เช่น

  • แสง->ความร้อน->ไฟฟ้า
  • แสง->ลม
  • ดวงจันทร์->นำขึ้นน้ำลง
  • แสง->ลม->คลื่นในทะเล
  • แสง->ไฟฟ้า

พอแค่นี้ก่อน ยาวไปอีกแล้ว... ตอนหน้า จะพยายามเรียบเรียงให้เห็นว่าจะนำเทคโนโลยีแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน มาช่วยการดำเนินชีวิตได้อย่างไรบ้างครับ

หมายเลขบันทึก: 175951เขียนเมื่อ 9 เมษายน 2008 02:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 เมษายน 2012 16:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ดูอาณาเขตจากอวกาศได้ง่ายดีนะครับ

เป็นข้อดีที่พาลน้ำตาจะไหล

ฮ่ะฮ่ะ

สวัสดีครับ

จริงอย่างที่อาจารย์พูดนะครับ

มนุษยืไม่มีทางกลับไปใช้ชีวิตเหมือนยุคหินแน่นอนครับ

เพราะมนุษย์ต้องการหาความสุข สะดวก และสบาย ให้มากที่สุดครับ

มนุษย์ทำลายโลกและกำลังจะทำลายตัวเอง

รุ่นหลานเราจะได้รับชะตากรรมเช่นใด ไม่อยากนึก

บ่นกับตัวเอง แต่ไม่เขียนในอนุทิน...

ที่เขียนมาเป็นวรรคเป็นเวรนี่ เพื่อพยายามนำเสนอเรื่องราวด้านหนึ่ง ให้ผู้อ่านเข้าใจว่าถ้าอพยพคนทั้งหมดไปไว้โลกอื่นทันทีเดี๋ยวนี้ โลกร้อนก็ยังมีปัญหาอยู่ อธิบายด้วยกฏการอนุรักษ์พลังงาน ว่ายังมีพลังงานของดวงอาทิตย์ที่แผ่ให้กับโลกสะสมเพิ่มขึ้นทุกวันๆ

ดังนั้น หากจะย้อนผลกลับไปสู่จุดสมดุลย์อีกที เรากลับต้อง "ทำ" มากกว่าแค่ "หยุด" แล้วนะครับ

ท่านผู้กล้าซ่งเจียงแห่งเขาเหลียงซาน สิทธิรักษ์ ณ เชียงแสน: อย่าเรียกผมว่าอาจารย์เลยครับ ไม่คล้ายเลยครับ

  • เราลืมสอน ให้มนุษย์ รู้วิธีที่จะอยู่ในโลกนี้แบบถูกต้อง และปลอกภัย
  • ไม่มีภาควิชาไหนสอน
  • มหาวิทยาลัยไหนก็ไม่มีหลักสูตร
  • ชาวบ้นเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ชวนปลูกต้นไม้ ยังงอแง
  • เอาแค่อยู่กลางแดด ไม่มีร่มให้ ไม่มีแอร์ ให้หลบร้อน ก็ยังเฉยๆ
  • โรคเฉยๆ กำลังทำให้โลกไม่อยู่นิ่งเฉยๆ
  • หิมะละลายที่ขั่วโลก ไกลตัวเกินไป
  • ป่าไม้หาย เผาป่า เผาฟาง เรื่องใกล้ตัว ก็ยังไม่เข้าใจ
  • คงต้องจัดวิธีเรียน เรื่องที่จะอยู่บนโลกใบนี้ เสียแล้วมนุษย์เอ๋ย 
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท