วันที่ ๓ เม.ย. ๕๑ เป็นวันแห่งความสุขอีกวันหนึ่งของผม เพราะช่วงเช้าก็ได้ชื่นใจกับการประชุมใหญ่ประจำปีของผู้ถือหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งปีนี้มีคนมาประชุมประมาณ ๓๐๐ คน มากกว่าปีที่แล้วมาก และคำอภิปรายซักถามก็แสดงว่าผู้ถือหุ้นไว้วางใจคณะกรรมการธนาคาร และแสดงความรักห่วงใยองค์กรอย่างชัดเจน
ตอนบ่ายผมไปร่วมประชุม “มรดกความทรงจำแห่งพระนครศรีอยุธยา” ของโครงการวิจัยเมธีวิจัยอาวุโส สกว. เรื่อง “กฎหมายตราสามดวง : ประมวลกฎหมายไทยในฐานะมรดกโลก” นำโดย ดร. วินัย พงศ์ศรีเพียร ได้ฟังแล้วเกิดความสุข เพราะได้เห็นผลงานวิจัยที่ยอดเยี่ยม เป็นงานวิจัยเชื่อมศาสตร์ ระหว่างประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ GIS, ICT, และศิลปะ ที่สำคัญ มีการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ ที่เข้มข้นมาก น่าชื่นใจ และมีการนำเสนอผลงานวิจัยประวัติศาสตร์ออกมาเป็นศิลปะคือภาพวาด นับเป็นนวัตกรรม
ผลงานที่แจกในวันนี้เป็นหนังสือ ๒ เล่ม ในชุด มรดกความทรงจำแห่งพระนครศรีอยุธยา (เล่ม ๑ และเล่ม ๒) โดยเล่ม ๑ ชื่อ พรรณนาภูมิสถานพระนครศรีอยุธยา เล่ม ๒ ชื่อ มรดกความทรงจำแห่งพระนครศรีอยุธยา
ดร. วินัย เป็นคนหลักแหลมลึกซึ้งและเสียดสี ในการเสวนาเรื่อง “อนุสติกรุงแตก : ข้อคิดสำหรับสังคมไทยปัจจุบัน” ท่านชี้ให้เห็นสภาพสังคมที่อ่อนแอ ไม่ไว้วางใจกัน พร้อมจะล่มสลายอยู่ทุกเมื่อ พม่าไม่ได้มีฝีมือมากมายนัก สามารถปล้นสดมภ์อยู่ ๓ ปี กรุงก็แตกแบบคล้ายๆ มีคนไทยเอาไปยกให้พม่า เพราะหมดศรัทธาในผู้นำไทย ผมฟังแล้วนึกถึงสภาพปัจจุบัน
อีกเสวนาหนึ่ง ชื่อ “กว่าจะเป็นภาพความทรงจำแห่งพระนครศรีอยุธยา” โดยนักวิจัยรุ่นหนุ่ม ๓ คน คือ อ. พิชญ์ แตงพันธ์, อ. เกรียงไกร เกิดศิริ, และ อ. ปรีดี พิศภูมิวิถี ฟังนักวิจัยรุ่นใหม่ในทีมอภิปรายเล่าเรื่องราวการทำงานแล้ว แม้ผมจะเป็นคนนอกสาขา ก็อดจะตื่นตาตื่นใจมิได้ เพราะจะได้ผลงานการตีความประวัติศาสตร์อยุธยาใหม่อย่างมากมาย เป็นผลงานที่จะพลิกโฉมการเรียนประวัติศาสตร์ นักเรียนชั้นประถมมัธยมจะเรียนประวัติศาสตร์อยุธยาสนุกและเข้าใจง่ายขึ้นมาก เพราะจะมีภาพชีวิตจริงของเหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ ที่ศิลปินวาดขึ้นจากเรื่องราวของบันทึกในประวัติศาสตร์ ประกอบกับผลการวิจัยพื้นที่จาก GIS ภาพถ่ายดาวเทียม และจากบันทึกประวัติศาสตร์
ภาพวาดสีน้ำมันชิ้นเอก (ขนาด ๑.๕ x ๑.๕ เมตร) ที่เป็นผลงานวิจัยชื่อ “อยุธยายศยิ่งฟ้า ลงดิน แลฤา” วาดโดยพิชญ์ แตงพันธ์ เป็นภาพเกาะอยุธยาในสมัยโบราณ ที่ใส่อาคาร วัด เจดีย์ แม่น้ำ เรือ และชีวิตจริงของผู้คนลง ไปด้วย และยังมีภาพวาดสีเทียนแสดงชีวิตจริงของผู้คน ที่วาดแล้วแก้แล้วแก้อีก ตามข้อมูลที่ตีความจากบันทึกประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย ทำให้เข้าใจความยิ่งใหญ่ของกรุงศรีอยุธยา ที่มีพลเมืองระหว่าง ๑๕๐,๐๐๐ – ๒๐๐,๐๐๐ คน ใหญ่เท่าๆ กับลอนดอน และปารีส ในสมัยนั้น และมีผู้คนขวักไขว่ เป็นเมืองหลากหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรม เมืองท่า และศูนย์การค้า
ที่ผมชื่นชมมาก ต่อการจัดพิธีเปิดการประชุม โดยมีพิธีกล่าวสดุดี และมอบดอกไม้เทียนธูปบูชา “เมธาจารย์เกียรติคุณ” (mentor) ๒ ท่าน คือ ดร. ธีรวัต ณ ป้อมเพชร และ ศ. แสวง บุญเฉลิมวิภาส เป็นภาพที่งดงาม เป็นการตอกย้ำภาพคนดีและความดีต่อสังคม เป็นเสมือนฝนอัน ชุ่มใจในท่ามกลางทะเลทรายสังคมอันแห้งแล้งในขณะนี้
ศ. ดร. เจตนา นาควัชระ บอกผมว่าทุนวิจัยเมธีวิจัยอาวุโสของ ดร. วินัย กำลังจะจบรอบ ๒ และจะไม่มีรอบ ๓ ซึ่งน่าเสียดายมาก เพราะพบวิธีทำงานในหน้าที่เมธีวิจัยอาวุโสที่ยอดเยี่ยมมาก น่าจะต้องหาทางจัดทุนสนับสนุน
ผลงานวิจัยประวัติศาสตร์ นำเสนอเป็นภาพวาด เป็นนวัตกรรมของการวิจัยประวัติศาสตร์
วิจารณ์ พานิช
๓ เม.ย. ๕๑
น่าสนใจมากครับ ความจริงที่นี่มีคนเขียนประวัติศาสตร์น้อยจัง
เรียน ท่านอ.วิจารณ์ค่ะ