"ความอุดมสมบูรณ์ของพืชและสัตว์ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน การระบาดของโรค/แมลงเกิดจากการที่พืชนั้นอ่อนแอและระบบนิเวศน์ขาดสมดุลตามธรรมชาติ"
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเจริญเติบโต และการระบาดของโรคแมลงจึงต้องมุ่งสู่แก่นแท้ของปัญหา มิใช้ที่อาการของโรคด้วยการใช้สารเคมี เพราะนอกจากจะแก้ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้แล้วยังเป็นสาเหตุของปัญหาการเกษตรใหม่ๆ ที่ซับซ้อนและรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก ตัวอย่างเช่นการใส่ปุ๋ยเคมีลงในดินจะทำให้สมดุลของสิ่งมีชีวิตในดินถูกทำลาย สมดุลของแร่ธาตุอาหารซึ่งเกิดจากกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตเล็กต่างๆ ก็จะถูกรบกวน ธาตุอาหารซึ่งเกิดจากกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตเล็กต่างๆ ก็จะถูกรบกวน ธาตุอาหารที่พืชได้รับจึงเป็นเพียงสารเคมีเพียงไม่กี่ชนิด การเจริญเติบโตของพืชที่ได้รับปุ๋ยเคมียังมิใช่การเจริญเติบโตที่แท้จริงแต่เป็นการเติบโตในบางลักษณะที่ขาดความแข็งแรง พืชที่ได้รับปุ๋ยเคมีจึงอ่อนแอต่อโรคพลอยได้รับธาตุอาหารที่ไม่สมบูรณ์ไปด้วย การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชก็เช่นเดียวกัน ในที่สุดก็จะก่อให้เกิดที่ซับซ้อนขึ้นเนื่องจากไม่ได้แก้ที่สาเหตุของปัญหาของยาปราบศัตูพืชที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้แก่ปัญหาการดื้อยาของแมลงที่เพิ่มชนิดและปริมาณมากขึ้นทุกที ปัญหาการตกค้างของสารเคมีในอาหารและสิ่งแวดล้อมล้วนเป็นปัญหาซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเทคโนโลยีการเกษตรที่เป็นอยู่นั้นก่อให้เกิดปัญหามากมาย เนื่องจากคิดว่าสารเคมีที่หาได้อย่างง่ายและเห็นผลอย่างรวดเร็วจะช่วยแก้ปั้ญหาได้อย่างแท้จริง
จากเหตุผลดังกล่าว และการตื่นตัวกับพิษภัยจากการบริโภคผักที่ปนเปื้อนสารพิษ เกษตรกรบ้านหนองกระเบา หมู่ที่ 5 ต.ห้วยงู อ.หันคา จ.ชัยนาท จึงรวมกลุ่มผักปลอดภัยจากสารพิษ เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันหันมาใช้การป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสานตั้งแต่การปรับปรุงดินโดยอินทรีย์วัตถุและปุ๋ยน้ำชีวภาพทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี การใช้พันธุ์พืชที่ดี การใช้เขตเกษตรกรรม การควบคุมศัตรูพืชโดยใช้ศัตรูของแมลงศัตรูพืชควบคู่กับการใช้สมุนไพร โดยมีนายสมชาย ทองชื่น นักวิชาส่งเสริมการเกษตรประจำตำบล เป็นพี่เลี้ยงในการเรียนรู้ตลอดมา ตั้งแต่เดือน กันยายน 2546 ที่ผ่านมา
สำหรับการเยียนได้เข้าพบ พี่ไสว ม่วงศรีจันทร์ สมาชิกกลุ่มผักปลอดภัยจากสารพิษ บ้านเลขที่ 115 หมู่ 5 ต.ห้วยงู กล่าวว่า จากการรวมกลุ่มของสมาชิกจำนวน 22 คน เพื่อเรียนรู้ร่วมกันทุกสัปดาห์ ๆ ละ 1 วัน ซึ่งจะนัดเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นพี่เลี้ยงในกระบวนการเรียนรู้ และได้ระดมหุ้น คนละ 1 หุ้น ๆ ละ 100 บาทเพื่อนำเงินมาจัดหาอุปกรณ์การหมักปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ สมุนไพรที่จัดหามาได้อย่างง่ายในท้องถิ่น การดำเนินงานนั้น สมาชิกทุกคนจะปลูกผักไว้ที่บ้านของตนเอง คนละ 1 - 2 งาน ผักที่ปลูกสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เช่น ผักคะน้า กวางตุ้ง ถั่วฝักยาว กระเจี๊ยบเขียว และผักคื่นไช่ ในส่วนของตนเองนั้นได้ปลูกกระเจี๊ยบเขียวเพื่อจัดส่งโรงงาน ผลิตกระเจี๊ยบเขียวส่งออกต่างประเทศ จำนวน 2 ไร่ 2 งาน และจะปลูกเพิ่มอีกหลังจากเก็บเกี่ยวอ้อยโรงงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วอีก 2 ไร่
การดำเนินงานจะต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยการนำดินให้หมอดินอาสาตรวจวิเคราะห์ การเตรียมดินมีความสำคัญมากคล้ายคลึงกันในพืชผักทุกชนิด โดยเฉพาะกระเจี๊ยบเขียว เนื่องจากระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตนานถึง 6 เดือน ดินปลูกต้องร่วนซุยไม่แน่น การพรวนดินต้องลึก ใส่อินทรีย์วัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก มูลเป็ด มูลไก่ ฯลฯ และใส่ปูนขาว เพื่อปรับสภาพความเป็นกรดด่างของดินให้เหมาะสม การเตรียมแปลงตากดิน 3-5 วัน ไถครั้งที่ 2 พรวนดิน ปลูกแถวคู่ ระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร พื้นที่ 1 ไร่ เตรียมหลุมปลูก 8,480 หลุม กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่โตเร็ว เมื่ออายุได้ 40 วัน จะเริ่มออกดอก หลังดอกบาน 5 วัน ฝักจะยาว 4-9 เซนติเมตร ฝักกระเจี๊ยบเขียวโตเร็วมากโดยเฉพาะอากาศร้อนจะเติบโตวันละ 2-3 เซนติเมตร เกษตรกรจึงต้องเก็บเกี่ยวทุกวัน ผลผลิตที่ได้เฉลี่ยตลอดฤดูปลูก 30 กิโลกรัมต่อไร่ต่อวัน หรือประมาณ 3,000-5,000 กิโลกรัมต่อไร่ต่อฤดูปลูก (ก.ย.-พ.ค.) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและความยาวนานในการเก็บผลผลิต การดูแลรักษาจะใช้ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพที่ผลิตจากหอยเชอรี่ ผักและผลไม้สุก และป้องกันและกำจัดโรคแมลงศัตรูพืชด้วยสมุนไพร และอนุรักษ์แมลงตัวห้ำและตัวเบียน ช่วยลดค่าปุ๋ยเคมีและสารเคมีได้เป็นจำนวนมาก เพราะตั้งแต่เริ่มทำมายังไม่ได้ใช้สารเคมีกำจัดแมลงศัตรูผักเลย ส่งผลดีให้ผลผลิตที่จัดส่งไม่ถูกส่งคืน สร้างรายได้ที่ดีเป็นที่น่าพอใจ
นายรังสรรค์ กองเงิน เกษตรจังหวัดชัยนาท กล่าวว่า การดำเนินงานทุกกิจกรรมจะสำเร็จหรือไม่นั้นที่สำคัญขึ้นอยู่กับพี่น้องเกษตรกร จะมีความจริงใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อให้ได้ความรู้ที่แท้จริงสามารถนำไปปฏิบัติได้จนประสบความสำเร็จ ให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารที่มีคุณภาพปลอดภัยจากสารพิษ หรือเป็นครัวของโลก ซึ่งเมื่อนั้นความเป็นอยู่ของเกษตรกรจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและผู้บริโภคจะได้บริโภคอาหารอย่างสบายใจ ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะบริโภคสารพิษเข้าไปในร่างกาย และจะต้องเจ็บป่วยเมื่อมีปริมาณมากเกินกว่าร่างกายจะต้านทานได้
ดีค่ะ ครูเอชอบเกษตรแบบยั่งยืน
สวัสดีค่ะ
แวะมาดูการสร้างผักปลอดภัยจากสารพิษ พลิกฟื้นสมดุลยคืนธรรมชาติค่ะ ขอบคุณสำหรับสาระดี ๆ ได้ประโยชน์มากเลยค่ะ
สวัสดีค่ะ
หจก. พรจันทร์มาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป จำหน่ายปุ๋ยปลาปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ตราชาวประมง
ปุ๋ยปลา คือปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็น สารละลายเข้มข้น ที่ได้จากปลาสดโดยกระบวนการหมักซึ่งมีกลุ่มจุลินทรีย์ช่วยย่อยสลาย มีธาตุอาหารหลักและรองครบตามที่พืชต้องการ
วัตถุดิบ
ปลาสดจากทะเล : ให้ ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก แก่ต้นพืช
ส่าเหล้า : สารอินทรีย์ และ อนินทรีย์ มีสีน้ำตาลเข้ม และมีธาตุอาหาร N: P: K ซึ่งเป็นสารอาหารที่พืชต้องการ
จุลลินทรีย์ : สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เป็นตัวกลางช่วยเร่งปฏิกิริยาการดูดซึมธาตุอาหารของพืชได้เร็วขึ้น
ประโยชน์ของปุ๋ยปลาตราชาวประมง
-ปรับสภาพดินและฟื้นฟูสภาพดินที่เสื่อมโทรมจากการทำเกษตกรรมมายาวนาน และจากการใช้ปุ๋ยเคมีที่เกินขนาด ช่วยให้ดินโปรง ร่วนซุย
-ปรับความเป็นกรด-ด่างในดิน สร้างความต้านทานโรครากเน่าโคนเน่า
-ช่วยเปิดรากพืชเสริมการดูดซึมธาตุอาหารแก่พืช
-มีสารเร่งการเจริญเติบโต
-เพิ่มความเขียวสดเป็นมันวาวให้ไม้ใบ ยืดอายุการบานของไม้ดอก
-มีกลิ่นและสารช่วยไล่แมลง
-ใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพสูงสุด
มีขนาด 1 ลิตร 5 ลิตร 20 ลิตร มีทั้งราคาส่งและปลีก
อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
หจก. พรจันทร์มาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป
อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
คุณกัญญา คุณอัญชรี โทร. 077-541-347, 077-544-473
หรือคุณวิรัตน์ หมวดแทน โทร. 089-645-5239